Wednesday, November 05, 2025

REINHARD HAUFF

JOK (2025, Audsada Ounchitti, 34min, A-)

หากโจ๊กหมูไม่ถูกปากอากงคงไม่อยู่บนโลกนี้

 

เหมือนเป็นหนังแนวเดียวกับ “หลานม่า” เสียดายที่เราไม่ค่อยอินกับหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของหนังนะ แต่เป็นเพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมกับตัวละครในเรื่อง

++++

 

ชอบที่ DRACULA เหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนชาติอื่น ๆ ด้วย เพราะอย่างไทยเราก็มีนิยายเรื่อง “แก้วขนเหล็ก” และ “จอมเมฆินทร์” ของตรี อภิรุม ที่น่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก DRACULA

 

ส่วนของอินเดียก็มีหนังเรื่อง THAMMA (2025, Aditya Sarpotdar, India, 150min, A+15) ที่เอา “แวมไพร์” มาผสมกับ “ตำนานเวตาล” และ “ตำนาน Chamunda Goddess” แถมยังเอาเรื่องของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชตอนบุกอินเดียมาผสมด้วย

++++++++++

เห็นพี่สนธยาเขียนถึง Reinhard Hauff หนึ่งในผู้กำกับชาวเยอรมันที่เราชอบสุดขีด เราก็เลยจะเสริมว่า เราเคยดูหนังที่เขากำกับแค่ 3 เรื่องเท่านั้นนะ แต่เราก็ชอบหนังทั้ง 3 เรื่องนี้อย่างสุดขีดมาก ๆ

 

เท่าที่เราเคยดูมาเพียงแค่ 3 เรื่อง เรารู้สึกว่าเขาเหมือนเป็นลูกผสมระหว่าง Wim Wenders + Costa-Gavras นั่นก็คือหนังของเขาเป็น “หนัง narrative” เหมือนหนังของ Wenders, Volker Schlondorff, Margarethe von Trotta, Peter Lilienthal, Helke Sander ไม่ใช่ “หนังพิสดาร” แบบหนังของ Ulrike Ottinger, Werner Schroeter, Hans-Jurgen Syberberg, Harun Farocki, etc.

 

และเราก็รู้สึกว่าหนังของ Reinhard Hauff “มีความเป็นการเมืองสูงมาก มากกว่าหนังของ Wenders เราก็เลยรู้สึกว่า เขาคือลูกผสมระหว่าง Wim Wenders + Costa-Gavras 55555 ซึ่งจริง ๆ แล้วการเรียกแบบนี้อาจจะไม่ถูกต้องนัก แต่ขอเรียกแบบนี้ไว้เล่น ๆ ฮา ๆ เพื่อให้คนอื่น ๆ จินตนาการตามได้ง่าย ๆ

 

หนังของเขาที่เราเคยดู

 

1. MATTHIAS KNEISSL (1971, Reinhard Hauff, West Germany, 94min)

 

เป็นหนังที่เราชอบมากที่สุด ในบรรดาหนัง 3 เรื่องของ Reinhard Hauff ที่เราเคยดู หนังเรื่องนี้ติดอันดับ 17 ใน list of my most favorite films that I saw in 2003 ด้วย

 

หนังสร้างจากชีวิตจริงของ Matthias Kneissl ซึ่งเป็น “โจรที่ชอบปล้นคนรวย” ในเยอรมนีในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19

 

จำได้ว่าเรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับหนังเรื่องนี้มาก ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า มันเป็นหนังที่ถ่ายแบบลองเทค เทคละประมาณ 10 นาทีเกือบทั้งเรื่อง คือหนังทั้งเรื่องอาจจะมีประมาณ 9-10 ซีน และแต่ละซีนเป็นลองเทคที่ไม่มีการตัดภาพเลยตลอดทั้งซีน ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ แต่ลองเทคในหนังเรื่องนี้ไม่ได้ยาวแบบหนังของ Miklos Jancso นะ

 

วิธีการถ่ายแบบลองเทคในหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึง STATIONS OF THE CROSS (2014, Dietrich Brüggermann, Germany, A+30) และ BEAUTY AND THE DOGS (2017, Kaouther Ben Hania, Tunisia) ด้วยเหมือนกัน

 

2. KNIFE IN THE HEAD (1978, Reinhard Hauff, West Germany, 113min)

 

หนังเล่าเรื่องของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ถูกตำรวจยิง เขาฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองความจำเสื่อม และมีสภาพคล้าย ๆ คนพิการ เขาถูกตำรวจใส่ร้ายว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ในขณะที่กลุ่มฝ่ายซ้ายก็ยกให้เขาเป็นฮีโร่ และเป็น “เหยื่อของ police brutality”

 

ถ้าหากเราจำไม่ผิด หนังมัน “ค่อนข้างเย็นชา” ถ้าหากเทียบกับหนังการเมืองโดยทั่ว ๆ ไปในยุคนั้น ซึ่งเป็นจุดที่เราชอบมาก ๆ ในหนังเรื่องนี้

 

หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องนึงที่สะท้อนปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในยุคนั้น ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับ “กลุ่มผู้ก่อการร้ายฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง” โดยเฉพาะกลุ่ม Baader-Meinhof

 

3. LINE 1 (1988, Reinhard Hauff, West Germany, 99min)

 

น่าจะถือเป็น one of my most favorite musical films of all time เลย เพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังเพลงที่เน้นสะท้อนสภาพสังคม ไม่ใช่หนังเพลงที่พูดถึงความรักหนุ่มสาว ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามักจะไม่รู้สึกอินด้วย

หนังเล่าเรื่องของหญิงสาวคนนึงที่นั่งรถไฟไปกรุงเบอร์ลิน และเธอพบเจอกับผู้คนหลากหลายจำพวก หลากหลายชนชั้นในสังคมในระหว่างการเดินทางบนรถไฟ

 

เสียดายที่เราเคยดูหนังของ Reinhard Hauff เพียงแค่ 3 เรื่อง เราอยากให้มีคนจัดงาน retrospective ของเขามาก ๆ

 

ถ้าเข้าใจไม่ผิด Reinhard Hauff ได้ชื่อว่าเป็นคนทำหนังแนว social realist ที่เน้นพูดถึง คนที่เป็น “ขบถของสังคม” และหนังของเขาเน้นวิเคราะห์โครงสร้างของสังคมที่ผลักดันให้เกิดขบถแบบนี้ขึ้นมา โดยเขามักร่วมงานกับคนแบบนั้นจริง ๆ ด้วย เขาเคยทำหนังเรื่อง PAULE PAULÄNDER (1976, 95min) ที่เล่าเรื่องของ “เด็กมีปัญหา” และเขาก็เอา “เด็กมีปัญหา” จริง ๆ มาแสดง และนั่นก็เลยทำให้ปัญหาในชีวิตจริงของนักแสดงในเรื่องส่งผลกระทบลุกลามมาถึงชีวิตจริงของเขาด้วย จนในที่สุดเขาก็เลยนำเอา “ปัญหาในชีวิตจริงของเด็กมีปัญหาที่แสดงเป็นเด็กมีปัญหา” มาสร้างเป็นหนังเรื่อง THE LEADING MAN (1977, 88min) ในเวลาต่อมา

 

เพื่อนร่วมงานคนสำคัญของ Reinhard Hauff คือ Burkhard Driest (1939-2020) ซึ่งก็เป็นคนที่มีชีวิตที่รุนแรงมาก เพราะว่า Driest เคยเป็นนักศึกษาด้านกฎหมาย และกำลังจะเข้าสอบกฎหมาย แต่อยู่ดี ๆ Driest ก็ตัดสินใจไปปล้นธนาคารโดยไม่มีสาเหตุใด ๆ ทั้งสิ้นก่อนที่เขาจะเข้าสอบกฎหมายในปี 1965 เขาก็เลยติดคุกเกือบ 5 ปี และหลังจากนั้นเขาก็ออกจากคุก ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ, คนขับแท็กซี่ และนักแต่งนิยาย และต่อมาเขาก็ได้เข้าสู่วงการบันเทิง และได้ร่วมงานกับ Reinhard Hauff ในหนังหลาย ๆ เรื่อง

 

ในเว็บไซต์ SENSES OF CINEMA มีคนเขียนถึง Reinhard Hauff ไว้อย่างดีงามมาก ๆ ด้วยนะ คนเขียนคือคุณ Robert M. Stowe เขาเขียนว่า

 

Several recurring thematic elements are common to a number of Hauff’s movies, such as the struggle of an individual against authoritarianism, whether perpetrated by a parent (as in Paule Pauländer (1976)), a community (Mathias Kneissl (1970)), an institution (Die Verrohung des Franz Blum (The Brutalization of Franz Blum, 1974), or the police and security apparatus of the state or society at large (Stammheim and Knife in the Head). Another is the herculean struggle of an individual against adversity (e.g. Desaster (1973)). In several of Hauff’s movies these two dynamics coincide, for example in Paule Paulander, where a conduct-disordered boy is brutalized by his father, who in turn is struggling to defend his farm against a giant industrial concern, and is also facing terrible economic stress. Hauff is generally viewed as a social realist director, and in fact made a documentary about the Indian social realist director Mrinal Sen (Ten Days in Calcutta: A Portrait of Mrinal Sen (1984)), whom he admires greatly. Hauff’s films generally demonstrate considerable empathy for the underdog, even when the protagonist engages in serious antisocial acts such as murder and arson.

 https://www.sensesofcinema.com/2011/feature-articles/knife-in-the-head-german-social-realism-meets-cinema-verite/


ภาพจาก LINE 1

+++

 

เราชอบ AFTER THE RAIN (ธีรติ มินทร์ปภาภัทร) กับ ALL ABOUT WINNIE CHOU-CHOU (กิตติวินท์ หาโกสุม) มาก ๆ หนังสองเรื่องนี้จะฉายออนไลน์ในวันพุธ

 

ช่วงนี้เรายังไม่มีเวลาดูหนังในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนปี 2025 นะ เพราะว่างานยุ่งมาก ๆ กรี๊ดดดด เสียดาย

 

ส่วนหนังที่เคยฉายในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนปี 2024 ตอนนี้เราก็ไล่ตามดูที่ห้องสมุด หอภาพยนตร์ ศาลายา ไปจนถึงแค่ตัวอักษร P เรายังไม่ได้ดูหนังที่ขึ้นต้นด้วยอักษร Q-Z และ ก-ฮ ของปี 2024

No comments: