เนื่องจากได้ข่าวว่า http://www.xq28.net/ อาจจะจำเป็นต้องเลิกใช้งาน DATABASE เก่าๆเพื่อความปลอดภัยของเว็บไซท์ ดิฉันก็เลยไม่แน่ใจว่าข้อมูลเก่าๆใน screenout webboard จะถูกลบไปด้วยหรือเปล่า เพราะฉะนั้นดิฉันก็เลยถือโอกาสนี้ก็อปปี้ข้อมูลเก่าๆใน SCREENOUT มาเก็บไว้ในนี้บางส่วนก่อน โดยเป็นข้อมูลที่ยังไม่เคยนำมารวบรวมไว้ใน BLOG นี้
อ่านเรื่องของ XQ28.NET ได้ที่กระทู้นี้
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=16584
คุณ PRINCEGENT เขียนไว้ว่า
โดนแฮกเพราะเกิดจากจุดโหว่ของบอร์ดนะครับ เพื่อป้องกันการเสียหายจากการโดนแฮกอีกในอนาคต อาจจะต้องมีการปรับปรุงบอร์ดใหม่เร็วๆนี้ ใครชอบทู้ไหน ก็ save เก็บๆไว้นะครับ เพราะเมื่อ update ปรับปรุง version บอร์ดใหม่ database เดิมอาจใช้ไม่ได้นะครับ
Copy from screenout page 4
19 mar 2004
MDS
สัปดาห์นี้ได้ข่าวว่าจะมีดีวีดีหนังเกย์ของ Derek Jarman ออกขายหลายเรื่องในกรุงเทพค่ะ ถ้าใครชอบหนังที่ไม่เน้นเนื้อเรื่องและไม่เน้นความเข้าใจ ก็อาจจะชอบหนังของเขาค่ะ
ดิฉันชอบหนังของ Derek Jarman มากค่ะ ดิฉันดูหนังของเขาแทบไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ดูแล้วรู้สึกว่าอารมณ์และจินตนาการมันแตกซ่านอย่างรุนแรงมาก
หนังของดีเรค จาร์แมนที่ดิฉันเคยดู
1.THE GARDEN (A+)
2.EDWARD II (A+)
3.SEBASTIANE (A)
4.CARAVAGGIO (A)
5.THE LAST OF ENGLAND (A-)
6.WITTGENSTEIN (A-)
ถ้าเข้าใจไม่ผิด Edward II เล่าเรื่องของกษัตริย์อังกฤษที่เป็นเกย์ และกษัตริย์องค์นี้อาจจะเป็นองค์เดียวกับที่ปรากฏอยู่ในหนังเรื่อง Braveheart ที่กำกับโดยเมล กิบสัน แต่ในขณะที่หนังของเมล กิบสันให้ภาพว่ากษัตริย์เกย์เป็นคนชั่วและมเหสี (โซฟี มาร์โซ) เป็นคนดี หนังเรื่อง Edward II กลับให้ภาพว่ากษัตริย์เกย์เป็นคนดี และมเหสี (ทิลดา สวินตัน) เป็นคนชั่ว
สรุปก็คือว่าดิฉันเกลียดหนังเรื่อง Braveheart และเมล กิบสันค่ะ
Sebastiane เล่าเรื่องของนักบุญยุคโบราณค่ะ ดูแล้วนึกถึงมิวสิควิดีโอ Losing My Religion ของ R.E.M.ด้วย (ถ้าเข้าใจไม่ผิด ไมเคิล สไตป์ นักร้องนำวง R.E.M. ก็เป็นเกย์) ส่วน Caravaggio เล่าเรื่องของจิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอดีตและความสัมพันธ์ของเขากับนายแบบ ส่วน The Last of England คงพูดถึงการเมืองในอังกฤษ ในขณะที่ Wittgenstein เล่าเรื่องของนักปรัชญา ซึ่งก็เลยทำให้หนังเรื่องนี้ดิฉันดูแล้วมีอารมณ์ร่วมน้อยที่สุดเพราะดิฉันไม่มีความรู้เรื่องปรัชญาเลย
ข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับ Wittgenstein
http://www.planetout.com/popcornq/db/getfilm.html?297
ดูรูปของจอร์จ เนเดอร์ได้ที่
http://www.briansdriveintheater.com/georgenader.html
http://www.briansdriveintheater.com/georgenader2.html
ช่วงหลายวันที่ผ่านมาได้ดูหนังและวิดีโอไป 10 เรื่องค่ะ เรียงตามลำดับความชอบได้ดังนี้
1.O FANTASMA (2000, JOAO PEDRO RODRIGUES)—A+ (หนังเกย์)
2.BENT (1996, SEAN MATHIAS)—A+ (หนังเกย์)
3.LES CHOSES DE LA VIE (1969, CLAUDE SAUTET)---A+
4.ALABAMA—2000 LIGHT YEARS FROM HOME (WIM WENDERS)—A+
5.LOST IN TRANSLATION (SOFIA COPPOLA)—A-
6.WHEEL OF TIME (2003, WERNER HERZOG)—B+
7.BETTER LIVING (2000, MAX MAYER)—B+
8.THE EYE 2—B-
9.THE MIRACLE OF BERN (2003, SONKE WORTMANN)—C+
10.WHEN THE PARTY’S OVER (1992, MATTHEW IRMAS)---C+
MOST DESIRABLE ACTORS
1.NICOLAJ COSTER WALDAU--BENT
2.RICARDO MENESES—O FANTASMA
3.ANDRE BARBOSA—O FANTASMA
4.KNUT HARTWIG—THE MIRACLE OF BERN
5.MICHAEL LANDES—WHEN THE PARTY’S OVER คนนี้เป็นพระเอก Final
Destination 2 ด้วย
6.CLIVE OWEN—BENT
7.MIRKO LANG—THE MIRACLE OF BERN
8.LUKAS GREGOROWICZ—THE MIRACLE OF BERN
9.GERARD LARTIGAU—LES CHOSES DE LA VIE
10.BRIAN MCNAMARA—WHEN THE PARTY’S OVER
11.RAYMOND CRUZ—WHEN THE PARTY’S OVER
ดูรูปของ Nicolaj Coster Waldau ได้ที่
http://costerwaldau.frac.dk/
http://costerwaldau.frac.dk/images.htm
ดูรูปของ Michael Landes ได้ที่
http://www.galleryofcelebrities.com/landes.htm
http://www.imdb.com/name/nm0484680/
ดูรูปของ Mirko Lang ได้ที่
http://www.die-agenten.de/actors/photos_actors.php?job=actor&id_actor=50
ดูรูปของ Lukas Gregorowicz จากหนังเรื่อง Lammbock ได้ที่
http://www.lammbock-derfilm.de/frame2.htm
ดูรูปของ Knut Hartwig จาก The Miracle of Bern ได้ที่ (หารูปหน้าตรงของเขา
ไม่ได้เลยค่ะ)
http://www.glaubeaktuell.net/portal/journal/journal.php?IDD=1066202861
ดูรูปของ Raymond Cruz ได้ที่
http://perso.club-internet.fr/vatzhol/img/alien023.jpg
http://www.tonylukes.com/cruz.htm
MATT:
amores perros ได้ชิงออสการ์หนังต่างประเทศจริงๆครับ แต่ว่าพลาดรางวัลไป
ส่วนนาย BERNAL แฟนผม เขาเถื่อนเท่มากๆ แล้วก็น่าจะทำ"อะไรบางอย่าง" ด้วยจริงๆอย่างที่พี่ kit บอก ถ้างั้นทำไมถึงไม่น่าจะหนีตามไปด้วยล่ะครับ ?
ไม่อยากหนีกันไปทำ "อะไรบางอย่าง" กันเหรอครับ ผมล่ะรีบไปสุดฤทธิ์
======================
โอ้ ดีใจจังที่พี่ MdS มาเยี่ยมที่บอร์ดนี้ ! :D
ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับพี่ MdS นะครับ
พี่เขารู้เรื่องหนังเยอะมาก ส่วนมากเป็นหนังหาดูยากเสียหน่อย
และมักมีอะไรข้อมูลอะไรใหม่ๆ น่าสนใจมาให้อ่านโดยเสมอ
ผมเป็นแฟนประจำติดตามผลงานพี่เขามาตลอดจากบอร์ด Bioscope
มีเรื่องอะไรสงสัยเกี่ยวกับหนัง ถามพี่เขาได้เลยครับ จะพบคำตอบ
หนังของดีเรค จาร์แมน ที่ผมเคยดูมีแค่เรื่องเดียวเองครับคือ SEBASTIANE
ดูไม่ค่อยเข้าใจครับ เพราะเป็นเรื่องทางคริสต์มากๆ
แต่รู้ว่า นักแสดงมีแต่ผู้ชาย และแก้ผ้ากันทั้งเรื่อง
ซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับผม
ส่วน Edward II นี่รอดูอยู่ที่บ้านในรูปแบบวิดิโอ
ผมจำได้คุ้นๆเหมือนกันว่าตอนดู Braveheart ก็รู้สึกนิดหน่อยว่า นำเสนอภาพเกย์ไม่ค่อยดีเลย
แต่ถ้าเราลองมองกันแฟร์ๆ เกย์ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีไม่ใช่เหรอครับ หนังที่พี่แนะนำมาที่เหลือ ผมดูแค่ 3 เรื่องเองครับ
คือเรื่อง Bent , The Deep End และ Adaptation
Bent นั้นพูดไปบ้างแล้วในการโพสต์ครั้งก่อนๆ
The Deep End (หนังเกย์) ไม่ได้ชอบมากครับ แต่ชอบการแสดงของ ทิลด้า สวินตัน นับว่าเป็นนักแสดงโปรดของผมคนหนึ่งเช่นเดียวกัน
สำหรับนักแสดงชายสุดโปรดของพี่
ผมชอบ Clive Owen ใน Bent อยู่เหมือนกัน
เขาดูเท่ห์ดี
พี่ MdS ได้ดูหนังสั้นโฆษณารถยนต์ ชุด THE HIRE ที่เขาเล่นเป็นพระเอก
และรวมผู้กำกับชื่อดังทั่วโลกหลายคน มากำกับหรือเปล่าครับ
สำหรับนักแสดงที่พี่ชอบที๋โพสต์ไว้ที่
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=3479&start=32
ผมก็รู้จักอยู่ไม่กี่คนครับ มี
5.James Franco—THE COMPANY หล่อมากในเรื่องนี้ครับ
14.JOSH LUCAS—SECONDHAND LIONS
18.Mark Ruffalo--MY LIFE WITHOUT ME + IN THE CUT คนนี้ชอบมากๆจากเรื่อง You
Can Count On Me
20.TOPHER GRACE—MONA LISA SMILE
22.ASHTON KUTCHER—THE BUTTERFLY EFFECT
24.Scott Speedman--MY LIFE WITHOUT ME
และก็เหล่านักแสดงจากเรื่อง See How They Run เท่านั้น
ส่วนลิงค์ที่ให้มา ผมทยอยดูอยู่ครับ :D :D
MDS:
จริงๆแล้วก็ต้องยอมรับค่ะว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่ชอบ Braveheart เป็นเพราะหนังเรื่องนี้เป็นผลงานของเมล กิบสันน่ะค่ะ เมล กิบสันเคยแสดงความเห็นในเชิง homophobic เมื่อนานมาแล้ว แต่ดิฉันไม่รู้ว่าเขาพูดว่าอะไร รู้แต่ว่าเมล กิบสันเป็นคนที่มีชื่อเสียงคนนึงในทาง homophobic ถ้าหาก Braveheart เป็นผลงานของคนอื่นๆ ดิฉันก็คงไม่รู้สึกระแวงหนังเรื่องนี้มากเท่านี้
อ่านบทวิจารณ์หนังเรื่องใหม่ของเมล กิบสันได้ที่
http://www.heraldsun.news.com.au/common/story_page/0,5478,8875371%5E25717,00.html
จริงๆแล้วดิฉันก็ชอบหนังหลายเรื่องที่ไม่ได้นำเสนอภาพเกย์/ไบเซ็กชวลในด้านดีเท่าไหร่นัก อย่างเช่น "เดชคัมภีร์เทวดาภาค 2", หนังของไรเนอร์ แวร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์, The Talented Mr.Ripley, O Fantasma, Sister My Sister (สร้างจากเรื่องจริงของเลสเบียน 2 คนที่ฆ่านายจ้างของตัวเองตาย) หรือล่าสุดก็ Monster (A+) เรื่องอย่างนี้บางทีดิฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมหนังบางเรื่องถึงทำให้ตัวเองรู้สึกระแวงในทัศนคติของผู้กำกับ แต่บางเรื่องดูแล้วกลับรู้สึกว่าผู้กำกับเขาไม่ได้เกลียดเกย์หรอก เขามองว่าเกย์ก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ปุถุชนคนนึงที่ย่อมมีข้อบกพร่องในตัวเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ
ดิฉันเคยดูเรื่อง Les Biches (A) ของ Claude Chabrol ซึ่งนำเสนอภาพความสัมพันธ์แบบไบเซ็กชวลในทางลบ แต่ดูแล้วก็ไม่รู้สึกหวาดระแวงทัศนคติของ Chabrol แต่อย่างใด เพราะหนังเรื่องอื่นๆของเขาก็นำเสนอภาพความสัมพันธ์แบบหญิงชายในทางลบอยู่แล้วแทบทุกเรื่อง คู่ผัวเมียหญิงชายในหนังส่วนใหญ่ของเขาไม่ใช่คนดีเท่าไหร่นัก ดังนั้นการที่คู่ไบเซ็กชวลในหนังของเขาไม่ใช่คนดีจึงเป็นเรื่องธรรมดา
สรุปก็คือยอมรับค่ะว่าชื่อเสียงของผู้กำกับบางคนทำให้ดิฉันรู้สึกมีอคติต่อตัวหนังค่ะ
เพิ่งอ่านเจอข่าวเกี่ยวกับนิทานสำหรับเด็กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์ด้วย
http://www.worldnetdaily.com/news/article.asp?ARTICLE_ID=37643
เคยดู Kip Pardue จาก Driven เขาเท่มากเลย ตัวสูงดี Driven เป็นหนังที่ดูแล้วทรมานใจมาก เพราะนอกจาก Kip Pardue แล้ว ยังหลงรัก Til Schweiger (คนนี้เคยเล่นหนังเยอรมันเรื่อง Maybe… Maybe Not ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเกย์) กับ Christian de la Fuente ด้วย
ดูประวัติการทำงานของ Christian de la Fuente ได้ที่
http://www.imdb.com/name/nm0209246/
รู้สึกเหมือนตัวเองจะเคยดูหนังเรื่อง Whatever It Takes ที่ Kip Pardue กับ James Franco แสดงด้วย แต่ทำไมจำอะไรในหนังเรื่องนี้แทบไม่ได้เลยก็ไม่รู้
The Rules of Attraction กับ But I’m a Cheerleader ที่ Kip Pardue เล่น เป็นหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเกย์ แต่ยังไม่ได้หามาดูเลย
เห็นดีวีดีหนังเรื่อง Ned Kelly ที่นำแสดงโดยออร์แลนโด บลูม, Heath Ledger และ Naomi Watts มาวางขายแล้ว ไม่รู้มีใครได้ดูแล้วบ้าง ดิฉันยังไม่ได้ดูเหมือนกันค่ะ
ยังไม่ได้ดู The Hire เลยค่ะ แต่ชอบ Clive Owen มากๆจากเรื่อง Croupier (A-) ในเรื่องนั้นเขาดูเท่มากเลย ตอนหลังก็มาเห็นเขาแสดงใน Gosford Park ด้วย ไม่รู้ว่า Beyond Borders ที่เขาแสดงจะได้เข้ามาฉายในไทยหรือเปล่า สงสัยว่าอาจจะไม่ได้เข้ามา
อยากรู้เหมือนกันว่าตอนที่ Beyond Borders มาถ่ายทำที่เมืองไทย ไคลฟ์ โอเวนได้เดินทางมาเมืองไทยด้วยหรือเปล่า ส่วนทิลดา สวินตันนั้นเคยได้ข่าวว่าเธอก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบเหตุเรือล่ม ต้องลอยตุ๊บป่องอยู่กลางทะเลในไทยตอนที่มาถ่ายทำ The Beach พร้อมกับดิคาปริโอด้วย เฮ้อ นี่ถ้าได้มีโอกาสเจอโอเวนกับสวินตันตัวจริงตอนที่พวกเขามาเมืองไทยก็คงดี อ้อ ถ้าได้เจอ Guillaume Canet ตอนที่เขามาถ่าย The Beach ด้วยก็คงดีเหมือนกัน จำ Guillaume Canet ได้ใช่ไหมคะ คนที่รับบทเป็นแฟนนางเอก (Virginie Ledoyen) ใน The Beach Canet ก็เป็นดาราหนุ่มฝรั่งเศสอีกคนนึงที่น่ารักมาก ได้ข่าวว่าเขาเล่นเรื่อง Vidocq ด้วย แต่ยังไม่ได้หาวีซีดีเรื่องนี้มาดูเลย และอีกอย่างที่น่าชื่นชมก็คือตอนนี้ Canet หันมากำกับหนังเองด้วย ทั้งๆที่อายุยังน้อยอยู่เลย
ที่หยิบ Bent มาดู ก็เพราะเห็นคุณ Matt และหลายๆคนในนี้เขียนถึงหนังเรื่องนี้กัน สำหรับตัวดิฉันนั้น ดิฉันประทับใจกับการถ่ายภาพใน Bent มาก โดยเฉพาะในช่วงหลังของเรื่องที่เน้นพื้นที่โล่งว่างแต่เต็มไปด้วยความแห้งแล้งขรุขระ มันให้บรรยากาศที่งดงาม, ทรงพลัง แต่หมองเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ฉากที่เซอร์ มิค แจ็กเกอร์ล่องลอยอยู่กลางอากาศในช่วงแรกของเรื่องก็เริ่ดมากเหมือนกัน
พูดถึงเซอร์ มิค แจ็กเกอร์ใน Bent ก็เลยนึกไปถึง Marianne Faithful นักร้องหญิงไบเซ็กชวลที่เคยเป็นคนรักของแจ็กเกอร์ ดิฉันเคยอ่านประวัติของเธอแล้วรู้สึกว่านี่เป็นผู้หญิงอีกคนที่น่าสนใจมาก มาเรียนน์ เฟธฟุลเป็นนักร้องสาวเสียงแหบที่เคยติดยาเสพติดและมีสัมพันธ์รักกับผู้ชายและผู้หญิงหลายคน ซึ่งรวมถึงมิค แจ็กเกอร์ นักร้องนำวงโรลลิง สโตนส์, ไบรอัน โจนส์, คีธ ริชาร์ดส์, อนิตา พาลเลนเบิร์ก, เดวิด โบวี, จิมมี เฮนดริกซ์, เจเรมี ไคลด์, อัลเลน คลาร์ก (สมาชิกวงเดอะ ฮอลลีส์), ยีน พิทนีย์, แองจี โบวี, โทนี คาลเดอร์, เจอรี บรอน, ซาเดีย, คริส แบล็คเวล, มาริโอ ชิฟาโน, แพดดี รอสมอร์, ฌอง เดอ เบรเตยล์, โอลิเวอร์ มัสเกอร์, ฮิลลี ไมเคิลส์ และ โฮเวิร์ด โทส นอกจากนี้ เธอยังเคยแต่งงานกับจอห์น ดันบาร์, เบน ไบรเออร์ลีย์ และจอร์จิโอ เดลลาเตร์ซาด้วย
เฟธฟุลเคยออกหนังสือชีวประวัติชื่อ Faithfull ในปี 1994 โดยเธอระบุในหนังสือเล่มนี้ว่าทั้งเธอและมิค แจ็กเกอร์ต่างหลงรักคีธ ริชาร์ดส์ ถึงแม้คีธกับมิคไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกันก็ตาม โดยเฟธฟุลยอมรับว่าเธอเคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับสมาชิกคนอื่นๆในวงโรลลิง สโตนส์ ซึ่งรวมถึง ไบรอัน โจนส์ และอนิตา พาลเลนเบิร์ก (แฟนสาวของคีธ ริชาร์ดส์) ในขณะที่อนิตาเองก็มีสัมพันธ์รักกับไบรอัน โจนส์ และมิค แจ็กเกอร์เช่นกัน
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาเรียนน์ เฟธฟุลได้ที่
http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=5266
มิค แจ็กเกอร์เล่นหนังเรื่อง The Man from Elysian Fields (2001) ด้วย ดิฉันยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เลย แต่ก็อยากดูเพราะหนังเรื่องนี้เพราะหนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายหนุ่ม (แอนดี การ์เซีย) ที่หันมาทำงานบริการเอสคอร์ทให้กับบรรดาสตรีสูงวัยที่ร่ำรวย
หนังอีกเรื่องหนึ่งที่มิค แจ็กเกอร์แสดงและน่าดูมากคือเรื่อง Performance (1970) แต่ไม่รู้ว่าจะหาดูได้จากไหน พอดีมีข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ก็เลยขอนำมาลงให้อ่านกัน
Performance เป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของนิโคลัส โรก (Don't Look Now, The Witches, Cold Heaven) หลังจากที่เขาเคยทำงานเป็นตากล้องมาก่อน โดยมีโดนัลด์ แคมเมลมาช่วยกำกับ และแคมเมลยังทำหน้าที่เขียนบทด้วย โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เคยประสบปัญหาในการออกฉายเมื่อสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ขัดแย้งกับแคมเมลในเรื่องการตัดต่อขั้นสุดท้าย ซึ่งส่งผลให้ภาพยนตร์ถูกดองไว้เป็นเวลาราว 2 ปีก่อนได้ออกฉาย
Performance ใช้ฉากเป็นกรุงลอนดอนในทศวรรษ 1960 โดยเจมส์ ฟ็อกซ์ รับบทเป็นแชส เดฟลิน อาชญากรระดับหางแถวที่พยายามหลบหนีการตามล่าจากเพื่อนร่วมแก๊งหลังจากเกิดเหตุการณ์สังหารผู้ชายชื่อโจอี้ แมดด็อคส์ (แอนโธนี วาเลนไทน์) โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ แชสต้องการหลบหนีออกจากประเทศ แต่ในระหว่างนั้นเขาต้องหาที่ซ่อนตัวให้ได้ก่อน และเขาก็ได้พบกับเกสท์เฮาส์แห่งหนึ่ง
ในตอนแรกทางเกสท์เฮาส์ไม่ยอมให้แชสเข้าพัก แต่ก็ยินยอมในเวลาต่อมาเมื่อแชสยืนกรานที่จะเช่าห้องให้ได้ และแชสก็พบว่าที่พักแห่งนี้ไม่ใช่ที่พักธรรมดา โดยเขาได้พบกับร็อคสตาร์ชื่อเทอร์เนอร์ (มิค แจ็กเกอร์) ที่กำลังแก่ตัว และพบกับหญิงสาวสองคนที่เป็นแฟนของเทอร์เนอร์ ซึ่งได้แก่เฟอร์เบอร์ (อานิตา พาลเลนเบิร์ก) และลูซี (มิเชล เบรตอง) เทอร์เนอร์ซึ่งชอบเก็บตัวพบว่าอาชญากรที่รักความรุนแรงคนนี้มีความกล้าหาญเหมือนกับตัวเขาในวัยหนุ่ม ดังนั้นเขาจึงแนะนำให้แชสได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆที่เกี่ยวกับเซ็กส์, ยาเสพติด และร็อคแอนด์โรล และแชสก็พบว่าตัวตนเดิมของเขากำลังเปลี่ยนแปลงไป เขากลายเป็นเหมือนเด็กที่ถูกควบคุมบงการโดยเทอร์เนอร์ และเขาก็เริ่มสวมใส่เครื่องแต่งกายของเพศหญิงโดยได้รับความช่วยเหลือจากเฟอร์เบอร์ ทั้งนี้ ความเป็นชายของแชสค่อยๆมลายหายไปจนในที่สุดเขาก็ยอมรับว่าเขามีความรู้สึกทางเพศกับเทอร์เนอร์ :D :D :D
เทอร์เนอร์เป็นตัวละครที่ได้กล่าวประโยคที่น่าสนใจหลายประโยคในเรื่องนี้ ซึ่งรวมถึงประโยคที่ว่า "Nothing is true, everything is permitted" และประโยคที่ว่า "ผมขอบอกคุณว่า การแสดงเดียวที่ประสบความสำเร็จ ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ คือการแสดงที่ถึงขั้นบ้าคลั่ง ผมพูดถูกหรือเปล่า คุณเห็นด้วยกับผมไหม"
ถึงแม้นักวิจารณ์บางคนคิดว่า Performance ได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์สวีเดนเรื่อง Persona ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสลับบุคลิกภาพ แต่แคมเมลเปิดเผยว่าแรงบันดาลใจที่แท้จริงของเขามาจากงานประพันธ์ของโฮร์เก หลุยส์ บอร์เกส และงานประพันธ์เรื่อง Despair ของวลาดิมีร์ นาโบคอฟ โดยอิทธิพลของบอร์เกสปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ในส่วนของอาณาจักรของเทอร์เนอร์ที่ยึดถือในกฎเกณฑ์ที่แตกต่างจากสังคมภายนอก, ตัวละครที่มีทั้งความเป็นชายและหญิงอยู่ในคนๆเดียวกัน, ความขัดแย้งระหว่างชีวิตกับหน้าที่การงาน, ตัวตน, ศิลปินที่แท้จริง และกลอุบายของศิลปิน โดยมีการนำรูปของบอร์เกสและข้อความจากหนังสือของบอร์เกสมาใส่ไว้ในภาพยนตร์ด้วย
ส่วนนิยายเรื่อง Despair ของนาโบคอฟนั้นก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของชายสองคนที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยเนื้อหาของหนังสือจะเน้นไปที่ประเด็นทางจิตวิทยาที่ซับซ้อน ทั้งนี้ ไรเนอร์ แวร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์ ผู้กำกับชาวเยอรมันเคยนำ Despair มาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยเดิร์ค โบการ์ด และเคลาส์ โลวิทช์ และภาพยนตร์เรื่องนี้เคยเข้ามาฉายที่สถาบันเกอเธ่ อินเตอร์นาซิโอนเนส ซ.สาทร 1 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
นอกจากบอร์เกสและนาโบคอฟแล้ว แคมเมลยังนำผลงานศิลปะแนวโฮโมอีโรติกของฟรานซิส เบคอนมาใส่ไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
นักวิจารณ์ตั้งข้อสังเกตว่าจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้คือเทคนิคต่างๆในเรื่อง ตั้งแต่การเล่าเรื่องที่ไม่ได้เรียงตามลำดับเวลา และผู้ชมจะต้องคอยถามตัวเองอยู่เสมอว่าเหตุการณ์ในฉากแต่ละฉากเกิดขี้น "พร้อมกับ, ก่อน, หรือหลัง" ฉากก่อนๆ และเหตุการณ์ในแต่ละฉากเป็นเพียงจินตนาการหรือไม่
ช่วงครึ่งแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นช่วงที่แทบไม่มีบทสนทนา และช็อตแต่ละช็อตก็มักกินเวลาไม่เกิน 5 วินาที นอกจากนี้ นักวิจารณ์ยังระบุว่าผู้ชมจะเข้าใจบทสนทนาในเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมากหากได้ชมมากกว่า 1 รอบ และจะพบว่าบางช็อตในช่วงต้นเรื่องเป็นการบอกใบ้ถึงตอนจบของเรื่อง ในขณะที่ดนตรีที่นำมาประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความหมายทับซ้อนกันหลายระดับมากยิ่งขึ้น
นักวิจารณ์ของนิตยสารวิลเลจวอยซ์เคยโหวตให้ Performance ติดอันดับที่ 62 ในอันดับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาล
เพิ่งอ่านเจอว่า John Waters เคยนำเรื่องความ homophobia ของเมล กิบสันมาล้อเลียนในหนังสือชื่อ Director's Cut ด้วยค่ะ
Waters pays particular attention to the opening credits of films, enjoying their potential for poetic effect. In one work, he has selected a frame from a credit sequence featuring the words "Mel Gibson", which are written in a chunky, angular typeface. Waters has named the work, "Straight", alluding simultaneously to the font and Mel Gibson's well-publicised homophobia.
ข้อมูลจาก http://www.sensesofcinema.com/contents/02/20/titles.html
ยังไม่เคยดู My Own Private Idaho เลย แต่เป็นหนังที่อยากดูมากเรื่องนึง ชอบ Gus Van Sant มากจาก To Die For (A+, นำแสดงโดย Joaquin Phoenix) และ Drugstore Cowboy (A-) ่ส่วน Good Will Hunting (B+) กับ Finding Forrester (B) นั้นถึงแม้ว่าจะเป็นหนังที่ดี แต่ดิฉันอยากให้เขาทำหนังแนวอื่นๆมากกว่า ไม่ค่อยอยากให้เขาทำหนังความสัมพันธ์ระหว่างชายสองวัยออกมาในแนวทางครูกับลูกศิษย์อย่างนี้ มันไม่ค่อยท้าทายยังไงไม่รู้ อีกจุดนึงที่น่าสนใจใน My Own Private Idaho ก็คือการที่หนังเรื่องนี้ได้รับอิทธิพลบางส่วนมาจากบทประพันธ์ของเชคสเปียร์ และยังมีการอ้างอิงถึงหนังของออร์สัน เวลส์ อยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วย
อ่านบทวิจารณ์ My Own Private Idaho ที่น่าสนใจมากๆได้ที่นี่
http://www.river-phoenix.org/filmography/idaho/press-kit/
Nowhere in Africa เป็นหนังที่ชอบมากในระดับ A ทั้งๆที่ปกติแล้วดิฉันไม่ค่อยชอบหนังแนวนี้ ขณะที่ดู Nowhere in Africa ก็รู้สึกว่าหนังมันเข้าใกล้ความเป็นหนังฮอลลีวู้ดมากๆ ไม่ใช่หนังเยอรมันในแบบที่ตัวเองคุ้นเคยและไม่ใช่หนังเยอรมันในแบบที่ตัวเองต้องการ แต่พอดูจนจบก็รู้สึกว่าหนังมันก็ซึ้งจริงๆน่ะแหละ และก็รู้สึกชอบมากกว่า Hero (B+) และ The Man Without a Past (B+) ที่เข้าชิงออสการ์สาขาหนังภาษาต่างประเทศในปีเดียวกันด้วย ส่วน The Crime of Father Amaro และ Zus & Zo ที่ชิงออสการ์เหมือนกันนั้นดิฉันยังไม่ได้ดูเลยค่ะ
*****(ข้อมูลข้างล่างนี้มีการเฉลยความลับของหนังบางเรื่อง เพราะในหนังบางเรื่องประเด็นที่ว่าตัวละครตัวไหนเป็นเกย์หรือไม่เป็นเกย์ถือเป็นการหักมุม เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่อยากรู้ twist ล่วงหน้าก็ไม่ควรอ่านอันนี้ค่ะ)*****
My Best Friend’s Wedding (1997, P.J. Hogan) เป็นหนังที่ชอบมากเหมือนกัน บทเกย์ที่ Rupert Everett เล่นเป็นบทที่ทำออกมาได้ดีมากๆ และท่าทีที่หนังเรื่องนี้มีต่อตัวละครตัวนี้ก็ดูดี ในขณะที่หนังเรื่อง The Mexican (2001, Gore Verbinski) ที่นำแสดงโดยจูเลีย โรเบิร์ตส์เหมือนกัน ก็มีตัวละครเด่นเป็นเกย์ (James Gandolfini จากละครชุด The Sopranos) เช่นเดียวกัน และเจมส์ แกนโดลฟินีก็เล่นบทเกย์ได้น่ารักมาก แต่ดิฉันยังไม่ค่อยแน่ใจในท่าทีที่หนังเรื่องนี้มีต่อตัวละครตัวนี้เท่าใดนัก ถ้าหาก The Mexican ปฏิบัติต่อตัวละครเกย์ในเรื่องดีกว่านี้ ดิฉันอาจจะชอบ The Mexican มากกว่านี้
MY BEST FRIEND’S WEDDING เป็นหนึ่งในหนังหลายๆเรื่องที่ตัวละครเอกของเรื่องเป็น heterosexual แต่มีเพื่อนหรือเพื่อนสนิทเป็นเกย์/เลสเบียนนิสัยดี ในที่นี้ดิฉันขอเรียกหนังกลุ่มนี้ว่าหนังแนว My Best Friend Is Gay :D ไม่รู้ว่ามีใครนึกถึงหนังหรือละครแนวๆนี้ออกบ้างมั้ย ท่าทางจะมีหนังแนวนี้อีกหลายเรื่องที่น่าสนใจเหมือนกัน
หนังแนว My Best Friend Is Gay เท่าที่นึกออก
1.CLUELESS (1995, Amy Heckerling, A+) บทของ Justin Walker ที่เป็นเพื่อนของ Alicia Silverstone
2.DANCE ME TO MY SONG (1998, Rolf de Heer, A+) หนังออสเตรเลียเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับสาวพิการ (Heather Rose) ที่ตกหลุมรักชายหนุ่ม (John Brumpton) แต่ก็ต้องเผชิญกับการขัดขวางอย่างชั่วร้ายมากๆจากนางอิจฉาชื่อ Madelaine (Joey Kennedy) อย่างไรก็ดี ในฉากสำคัญฉากหนึ่ง สาวเลสเบียน (Rena Owen) ที่เป็นเพื่อนของนางเอกก็สามารถช่วยเหลือนางเอกไว้ได้อย่างทันท่วงทีไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของนางอิจฉา :D
3.LAST NIGHT (1998, DON MCKELLAR, A+) นี่อาจจะไม่ใช่หนังแนว My Best Friend Is Gay แต่เป็นหนังที่เรียกว่า My best friend wants to try practising bisexuality with me มากกว่า
Patrick (Don McKellar) ซึ่งเป็นพระเอกของเรื่องนี้ มีเพื่อนสนิทเป็นชายหนุ่มชื่อ Craig (Callum Keith Rennie) ที่เป็น heterosexual แต่ในเมื่อโลกมนุษย์กำลังจะถึงกาลแตกดับ Craig ก็เลยตัดสินใจว่าไหนๆแล้วก่อนจะตายทั้งที หนึ่งในสิ่งที่เขาอยากทำก็คือการลองมีเซ็กส์กับผู้ชายดูบ้าง Craig ก็เลยขอลองกับ Patrick :D :D :D
น่าเสียดายที่ Last Night ให้เวลากับเนื้อหาส่วนนี้เพียงแค่ฉากเดียวเท่านั้น เรียกได้ว่าเนื้อหาส่วนนี้กินเนื้อที่เพียงประมาณ 1-3 % ของหนัง แต่เป็นเนื้อหาส่วนที่ชอบมากๆและเป็นสิ่งที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาก ถ้าหากมีชายหนุ่มที่ชอบลองของแบบ Craig เยอะๆก็คงดีไม่น้อย
4.STORYTELLING (2001, Todd Solondz, A) ฉากนึงที่ชอบมากคือฉากของ Mark Webber กับเพื่อนผู้ชาย คนที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วคงพอนึกออกว่าฉากไหน
5.WANEE AND JUNAH (2001, Kim Yong-gyun) บทชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนของนางเอก
6.THE BARBARIAN INVASIONS (2003, Denys Arcand, A-) มีเกย์วัยชราชื่อ Claude (Yves Jacques) ที่เป็นเพื่อนของพระเอก (คนที่ใกล้ตาย) น่าเสียดายที่บทของเกย์ในเรื่องนี้มีอยู่น้อยมาก ไม่รู้ว่าบทของ Claude มีอยู่มากน้อยแค่ไหนใน The Decline of the American Empire (1986, Denys Arcand) ที่เป็นภาคแรกของเรื่องนี้
7.FRANKIE AND JOHNNY (1991, Garry Marshall) บทของรูมเมทของ Michelle Pfeiffer
8.AS GOOD AS IT GETS
9.FACING WINDOW (Ferzan Ozpetek, B) นางเอกหนังเรื่องนี้ได้พบกับชายวัยชราคนนึง (Massimo Girotti) ที่เป็นเกย์และเคยประสบเหตุเศร้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นางเอกได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตจากชายวัยชราคนนี้
Ferzan Ozpetek เคยกำกับเรื่อง Steam: The Turkish Bath และเคยกำกับหนังเกย์เรื่อง His Secret Life อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ His Secret Life ได้ที่
http://www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=4118
10.SWEET HOME ALABAMA (2002, Andy Tennant, C+) มีบทเกย์คนหนึ่งที่เป็นเพื่อนของพระเอกกับนางเอก แต่จำไม่ได้แล้วว่าใครเล่น
11.ALONG CAME POLLY (C+) บทครูสอนเต้นรำที่เป็นเพื่อนของเจนนิเฟอร์ อนิสตัน
12.SWEET NOVEMBER (2001, Pat O’Connor, C) บทของ Jason Isaacs ที่เป็นเพื่อนของ Charlize Theron
การที่ Jason Isaacs มารับบทเป็นเกย์ในหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่แปลกหูแปลกตามากๆ เพราะเพิ่งเห็นเขาเล่นบทที่แมนมากๆใน The Patriot (2000)
Jason Isaacs เคยแสดงหนังเรื่อง Peter Pan (A-), Harry Potter and the Chamber of Secrets, The Tuxedo, Windtalkers, Black Hawk Down, Hotel (A+), The End of the Affair, St. Ives, Soldier, Armageddon, Event Horizon และ Dragonheart ดิฉันชอบเขามากเลยค่ะ ถึงแม้เขาจะอายุค่อนข้างมากก็ตาม (เกิดปี 1963)
13.LAVENDER (2000, RILEY YIP KAM-HUNG, C) นางเอก (Kelly Chan) มีเพื่อนบ้านเป็นเกย์ (Eason Chan) และอยู่ดีๆวันนึง Takeshi Kaneshiro (Chungking Express, Fallen Angels) ก็ร่วงตกจากท้องฟ้าลงมาที่ระเบียงห้องของนางเอก
ส่วนซีรีส์ของฝรั่งนั้นดิฉันไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ติด UBC แต่เคยเห็นแว้บๆว่าใน FELICITY กับใน SEX AND THE CITY นางเอก (Keri Russell และ Sarah Jessica Parker) จะมีเพื่อนเป็นเกย์วัยกลางคนหัวล้านเหมือนกัน
เคยดู MELROSE PLACE ตอนมาฉายช่อง 3 จำได้ว่ามีบทที่ Doug Savant เล่นเป็นเกย์คนนึงที่ค่อนข้างนิสัยดีในสถานที่พักนั้น น่าเสียดายที่บทเขาน้อยมากเมื่อเทียบกับตัวละครคนอื่นๆ แต่ยังไงละครเรื่องนี้ก็สนุกมากอยู่ดี
ส่วนมินิซีรีส์ชุด Tales of the City (1993), More Tales of the City (1998) และ Further Tales of the City ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับซานฟรานซิสโกนั้นดิฉันยังไม่ได้ดูเลยค่ะ รู้แค่ว่ามินิซีรีส์ที่นำแสดงโดย Laura Linney เรื่องนี้มีตัวละครประกอบเป็นเกย์ด้วย
กรณีพิเศษ:-
ถึงแม้หนังหลายเรื่องจะน่าชื่นชมที่ใส่บทตัวประกอบเกย์นิสัยดีเข้ามาในเรื่อง แต่บางเรื่องดูแล้วก็ไม่แน่ใจว่าผู้สร้าง “จริงใจ” หรือเปล่าในการทำเช่นนั้น ตัวอย่างนึงที่ดูแล้วไม่แน่ใจก็คือ 8 Mile ที่กำกับโดย Curtis Hanson และนำแสดงโดย Eminem ที่ต้องมีบท Eminem ไปช่วยเพื่อนร่วมงานที่เป็นเกย์ผิวดำ เพราะดูแล้วไม่แน่ใจว่าผู้สร้างหนังเรื่องนี้แต่งบทนี้มีขึ้นเพื่อช่วยแก้ไขภาพพจน์ Eminem หรือเพราะอะไรกันแน่
Sunday, March 04, 2007
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment