WHITE GOD (2014, Kornél Mundruczó, Hungary, A+30)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1.พอดูถึงตอนจบของหนังเรื่องนี้ เราก็นึกถึงสิ่งที่คุณ Ratchapoom
Boonbunchachoke เขียนถึงหนังเรื่อง SICARIO (2015, Denis Villeneuve)
ขึ้นมาเลย โดยคุณอุ้ยเขียนว่า
“โดยปกติตามโครงสร้างหนัง ทั่วไป ถ้า plot a คือภารกิจหลักที่หนังต้องดำ เนิน ส่วน plot b คือพล็อทรองที่ช่วยเผยแง่มุ มตัวละครในเชิงลึก
ให้เราเห้นว่าจริง ๆ เขาเป้นคนอย่างไร ถ้า plot a เดินเรื่องไปข้างหน้า plot b ก็จะเดินในแนวดิ่ง
ขุดลึกลงไป
โดยปกติ plot b จะตัดกับ
plot a ในจุดที่ว่า
ตัวละครหลักที่มัวแต่เดินเร ื่องพล็อทเอ จนถึงทางตัน เขานึกหาทางออกไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาสร้างหรือเดิน เรื่องกับพล็อทบี
อันมักจะเป็นเส้นความสัมพัน ธ์ เส้นที่ทำให้เราเห้นความเป็ นมนุษย์ของเขา ตัวละครรองในพล็อทบีจะปรากฏ ขึ้นมาและบอกหลักธรรมคำสอนอ ะไรบางอย่าง แล้วตัวละครหลักก็จะปิ๊ง แล้วเดินกลับไปสู่กับอุปสรร คในพล็อทเอจนชนะ
นี่คือจุดตัดกันของพล็อทเอแ ละบี”
เราว่า WHITE GOD เหมือนเป็นตัวอย่างที่ดีอันนึงของพล็อตเรื่องสไตล์ข้างต้นเลย
คือ plot a ของ WHITE GOD อาจจะเป็นเรื่องการผจญภัยของหมา
แต่ plot b ของเรื่องคือปัญหาในการฝึกซ้อมดนตรีของนางเอก ซึ่งอยู่ดีๆในฉากคับขันหรือฉากไคลแมกซ์ช่วงท้ายของเรื่อง
สิ่งที่นางเอกสั่งสมไว้ใน plot b ก็ช่วยให้นางเอกเอาชีวิตรอดใน
plot a ของเรื่องได้ 555
2.ดูแล้วนึกถึงหนังหลายๆเรื่องนะ โดยหลักๆแล้วจะรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการผสมผสานเนื้อเรื่องแบบ
AU HASARD, BALTHAZAR (1966, Robert
Bresson) กับ THE
BIRDS (1963, Alfred Hitchcock) เข้าด้วยกัน
พร้อมกับใส่ประเด็นการเมืองเรื่องเชื้อชาติเข้าไปด้วย โดย THE BIRDS นั้นทุกคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว ส่วน AU HASARD, BALTHAZAR นั้นเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างลากับเด็กสาวคนนึง
โดยลากับเด็กสาวจะเคยอยู่ด้วยกันระยะนึง แล้วลาตัวนั้นก็ต้องจากเด็กสาวไปเพื่อไปเผชิญกับชีวิตระหกระเหิน
เจอเจ้านายเหี้ยๆห่าๆ ตกระกำลำบาก เปลี่ยนเจ้าของไปเรื่อยๆ ถูก abuse ไปเรื่อยๆเหมือนกับสุนัขใน WHITE GOD ส่วนเด็กสาวใน AU
HASARD, BALTHAZAR ก็เจออะไรเหี้ยๆห่าๆในชีวิตคล้ายกับเด็กหญิงใน WHITE
GOD
3.การกำกับสุนัขทำออกมาได้ดีมาก และจริงๆแล้วเราเป็นคนเกลียดสุนัขนะ
ตอนก่อนที่เราจะไปดูหนังเรื่องนี้ เราก็ไม่แน่ใจว่าเราจะชอบหนังหรือเปล่า
เพราะถ้าหากมันเป็นหนังที่ “เน้นขายความน่ารักของสุนัข” หรือหนังที่ “เน้นด่าคนเกลียดสุนัข”
เราก็คงจะไม่ค่อยชอบหนังเรื่องนี้แน่ๆ แต่โชคดีที่ WHITE GOD ไม่ได้เข้าข่ายสองอย่างข้างต้น
คือ “คนเกลียดสุนัข” ในหนังเรื่องนี้
มันค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นสัญลักษณ์แทนคนเกลียดผู้อพยพหรือชาวต่างชาติหรือะไรทำนองนั้นน่ะ
เราก็เลยไม่รู้สึกว่าเราโดนด่าขณะที่ดูหนังเรื่องนี้ 555
4.จริงๆแล้วตอนจบทำออกมาได้น่าประทับใจในระดับนึงนะ
การเล่นดนตรีในฉากจบทำให้เรานึกถึงฉากที่บาทหลวงเป่าโอโบเพื่อกล่อมคนป่าอะเมซอนใน THE MISSION (1986, Roland Joffé) ด้วย เพราะหนังสองเรื่องนี้ต่างก็ใช้ดนตรีเป็นภาษาสากลในการสื่อสารระหว่างคนต่างชาติต่างภาษาเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี ฉากจบของ WHITE GOD ทำให้เรารู้สึกหยึยๆอย่างบอกไม่ถูกนิดนึงน่ะ
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
ก่อนหน้านี้เราเคยดูหนังของ Kornél Mundruczó อีกแค่เรื่องเดียว
ซึ่งก็คือ PLEASANT DAYS (2002) ซึ่งก็เป็นหนังที่เราชอบมากๆเหมือนกัน
แต่เหมือนมันมีอะไรสักอย่างในหนังสองเรื่องนี้
ที่ไม่ทำให้เราชอบมันจนถึงขั้นที่จะติดอันดับประจำปี โดยตอนจบของ PLEASANT
DAYS ก็ทำให้เรารู้สึกก้ำกึ่งเล็กน้อยเหมือนตอนจบของ WHITE
GOD ด้วย คือเรารู้สึกว่าตอนจบของ PLEASANT DAYS มันดี, น่าพึงพอใจ
แต่ในแง่นึงมันก็เหมือนเป็นสูตรสำเร็จของหนังอาร์ตกลุ่มนึงที่ต้องจบแบบนี้
อะไรทำนองนี้
สรุปว่าหลังจากดู WHITE GOD กับ PLEASANT
DAYS แล้ว เราว่า Kornél Mundruczó เป็นผู้กำกับหนังอาร์ตที่มีฝีมือพอตัวแหละ
คือถ้าเทียบกับหนังอาร์ตหรือหนังเทศกาลด้วยกันแล้ว
มันก็เหมือนกับว่าหนังสองเรื่องนี้ของเขาทำตามสเต็ปขั้นตอนของหนังอาร์ตได้ครบถ้วนสมบูรณ์
ขาดก็แต่เพียงคุณสมบัติสำคัญอย่างนึงที่ว่า “หนังของเขามันยังไม่สะเทือนใจเราเป็นการส่วนตัว”
5.คือถ้าหากเทียบ WHITE GOD กับ AU HASARD,
BALTHAZAR แล้ว อาจจะเห็นอะไรที่น่าสนใจก็ได้นะ คือ WHITE
GOD มันเป็นหนังที่มีคุณค่าในเชิงการเมืองน่ะ
มันให้ความรู้สึกอะไรที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ง่าย
เหมือนความรู้สึกที่เราได้จากการดู WHITE GOD มันเหมือนก้อนดินน้ำมันงดงามก้อนนึงที่เราจับขยำได้อย่างถนัดมือ
แต่ AU HASARD, BALTHAZAR มันให้ความรู้สึกกึ่งๆ spiritual
กับเราน่ะ มันเหมือนความรู้สึกที่ได้จาก AU HASARD,
BALTHAZAR เป็นอะไรที่รุนแรงมากๆ แต่บรรยายได้ยากมากๆ
มันเหมือนเป็นก๊าซพิสดารที่พอเราสูดเข้าไปแล้ว มันจะแอบฝังอยู่ในกระแสเลือด,
ในสมอง และในหัวใจของเรา แล้ววันดีคืนดีมันก็จะทำให้เรารู้สึก “เจ็บปวดหัวใจ”
ขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว
WHITE GOD ยังมีฉายที่เอสพลานาด รัชดาภิเษกนะจ๊ะ