LIVE BY NIGHT (2016, Ben Affleck, A+30)
1.รู้สึกว่ามันเป็น “ชีวิตมนุษย์” ดี 555 คือตอนแรกนึกว่ามันจะเป็นหนังฟิล์มนัวร์
หนังแก๊งสเตอร์ แต่ไปๆมาๆรู้สึกว่าชีวิตตัวละครมันไปเรื่อยๆ ของมันเองดี
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะ Ben Affleck กำกับดีหรือกำกับไม่ดี
คือดูๆไปแล้วเราแทบเชื่อว่ามันสร้างจากเรื่องจริง มากกว่ามันจะสร้างจากนิยายน่ะ
มันเหมือนกับว่าในหนังที่ผู้กำกับมีฝีมือจัดจ้าน อย่าง Francis Ford Coppola, Martin Scorsese, Michael Man, Paul Thomas
Anderson, James Gray เวลาดูหนังของผู้กำกับกลุ่มนี้ บางทีเราเพ่งความสนใจไปที่เทคนิคทางภาพยนตร์น่ะ
ดูการตัดต่อ, การเคลื่อนกล้อง,
การออกแบบซีน และถึงแม้ว่าหนังบางเรื่องของผู้กำกับกลุ่มนี้สร้างจากเรื่องจริง
แต่เวลาดูหนังเราจะรู้สึกถึงความเป็นภาพยนตร์ของมันอยู่ตลอดเวลา คือเราดู “วิธีการถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นภาพยนตร์” มากกว่าที่จะดู
“ชีวิตมนุษย์” ในหนังบางเรื่องของผู้กำกับกลุ่มนี้น่ะ
แต่ใน LIVE
BY NIGHT มันเหมือนกับว่า Ben Affleck ไม่มีอะไรเด้งเข้าตาเราในเรื่องสไตล์การกำกับเลย
เหมือนกับว่าเขาเล่าเรื่องไปเรื่อยๆอย่างตรงไปตรงมา
ไม่มีเทคนิคแพรวพราวน่าจดจำอะไรทั้งสิ้นในทาง cinematic แต่ปรากฏว่าการทำเช่นนี้ทำให้เรามองข้ามเทคนิคทางภาพยนตร์
และรู้สึกผูกพันกับตัวละครมากขึ้นในฐานะมนุษย์ 555
ก็เลยไม่รู้ว่า Ben Affleck กำกับดีหรือไม่ดี
บางทีเขาอาจจะกำกับไม่ดีก็ได้ แต่ “การขาดสไตล์จัดจ้าน”
ในหนังเรื่องนี้กลับทำให้เราชอบหนังอย่างรุนแรงมาก ในขณะที่ “การขาดสไตล์จัดจ้าน” ใน KING COBRA (2016,
Justin Kelly) กลับทำให้เรารู้สึกว่าหนังบกพร่อง
จริงๆแล้ว Ben Affleck ก็ไม่ใช่ผู้กำกับที่มีเทคนิคแพรวพราวในสายตาของเราอยู่แล้วนะ
เพราะ GONE BABY GONE (2007, Ben Affleck) เราก็ชอบมากที่ attitude
ของหนัง ไม่ได้ชอบที่ฝีมือการกำกับ ส่วน ARGO (2012, Ben
Affleck) เราก็ชอบเพราะหนังมันดูสนุกมากสำหรับเรา ส่วน LIVE
BY NIGHT นั้น เราไม่ได้ชอบที่ attitude หรือความสนุก
แต่ชอบเพราะมันรู้สึกว่าชีวิตของตัวละครมันไปเรื่อยๆดี
2.ความรู้สึกที่ว่าชีวิตของตัวละครมันไปเรื่อยๆ
เป็นเพราะว่า scope ของชีวิตตัวละครมันค่อนข้างกว้างกว่าหนังฟิล์มนัวร์ทั่วไปด้วยแหละ
คือถ้าหากเป็นหนังฟิล์มนัวร์ทั่วไป หนังอาจจะเล่าแค่องก์แรกของเรื่องนี้
ที่เป็นเรื่องพระเอกแอบเป็นชู้กับเมียเจ้าพ่อ (ลองนึกถึง RUINED HEART:
ANOTHER LOVE STORY BETWEEN A CRIMINAL & A WHORE ของ Khavn
de la Cruz) หรือถ้าหากเป็นหนังแอคชั่นทั่วไป หนังอาจจะเจาะแค่องก์สุดท้ายของเรื่องนี้
ที่เป็นการยิงถล่มกันอย่างรุนแรง (ลองนึกถึง SMOKIN’ ACES ของ
Joe Carnahan)
แต่เรารู้สึกชอบที่หนังเรื่องนี้มันครอบคลุมชีวิตตัวละครนานหลายปี
และตัวละครเจออุปสรรคที่เราคาดไม่ถึงมาก่อน นั่นก็คือพวก Klu Klux Klan และนักเทศน์หญิง คือปกติในหนังแก๊งสเตอร์
เราจะเจอแค่ความขัดแย้งระหว่างแก๊งมาเฟียด้วยกัน และแก๊งมาเฟียกับตำรวจ
แต่ในหนังเรื่องนี้เราเจอกับพวก Klu Klux Klan, ความเชื่อเรื่องศาสนา,
ความขัดแย้งระหว่างชาวไอริชกับชาวอิตาลี, ความขัดแย้งระหว่างคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์
และความรักข้ามสีผิวด้วย เราก็เลยรู้สึกชอบมากที่หนังแก๊งสเตอร์เรื่องนี้มันดูครอบคลุมอะไรมากกว่าหนังแก๊งสเตอร์เรื่องอื่นๆที่เราเคยดูมา
3.ชอบตัวละครนำหญิงทั้งสามตัวอย่างรุนแรงมากๆ
ชอบทั้ง Loretta Figgis (Elle Fanning) ที่มีความเชื่อทางศาสนาอย่างแรงกล้าในแบบของตัวเอง,
Graciela (Zoe Saldana) ที่มีความรักข้ามสีผิว และที่ชอบที่สุดคือ Emma
Gould (Sienna Miller) ที่เป็นหนึ่งในตัวละครสุดโปรดของเราไปเลย
คือตอนแรกเธอดูเหมือน femme fatale ทั่วไป
แต่ฉากที่เธอระบายความรู้สึกที่ว่า เธอถูกคนอื่นๆดูหมิ่นเหยียดหยามมาตลอดชีวิต
นี่เป็นฉากที่ทำให้ตัวละครตัวนี้ได้ใจเราไปเลย
และฉากท้ายๆของเธอก็ทำให้เรารู้สึกว่า “นี่แหละชีวิตมนุษย์”
มากๆ
THE BYE BYE MAN (2017, Stacy Title, A+25)
1.ฉากเปิดสุดตีนมาก ชอบฉากเปิดมากๆ
แต่พอหลังฉากเปิด มันก็เริ่มกลายเป็นหนังสยองขวัญวัยรุ่นธรรมดา
2.ชอบการที่ฆาตกรแต่ละคนในหนังเรื่องนี้
ต่างก็หลงนึกว่า ตัวเองกำลังทำดี หรือตัวเองกำลังช่วยกอบกู้โลกอยู่
3.ชอบแคสติ้งหนังเรื่องนี้ที่เหมือนเอาใจผู้ชมสามวัย
555 คือเอาใจวัยรุ่นด้วยนักแสดงวัยรุ่น, เอาใจผู้ชมวัยสามสิบด้วย Carry-Ann Moss และเอาใจผู้ชมวัย
40 กว่าปีขึ้นไปด้วย Faye Dunaway
No comments:
Post a Comment