Wednesday, July 24, 2019

PART (2019)

PART (2019, Nuttamon Pramsumran, video installation, A+30)

วิดีโอที่จัดแสดงที่ชั้น 7 BACC นำแสดงโดยอินทิรา เจริญปุระ และพีรพล กิจรื่นภิรมย์สุข ดูแล้วนึกถึงอารมณ์ที่ได้จากหนังสารคดีบางเรื่องของ Patricio Guzman อย่าง NOSTALGIA FOR THE LIGHT (2010) กับ THE PEARL BUTTON (2015) เพราะหนังชิลีสองเรื่องนี้พูดถึงผลกระทบจากความรุนแรงทางการเมืองที่มีต่อญาติๆหรือคนรู้จักของ “ผู้ที่ถูกฆ่าตาย หรือถูกอุ้มหาย” คล้ายๆกับในวิดีโอนี้

จำได้ว่าใน THE PEARL BUTTON มันจะมีประโยคในทำนองที่ว่า  ถ้าหากการสังหารหรือการอุ้มหายมันได้รับความยุติธรรม มันได้รับการเปิดเผยข้อมูล + มีการลงโทษผู้กระทำผิด หรืออะไรทำนองนี้ มันก็จะช่วยให้ “The dead can finish dying, and the living can go on living”

การดูวิดีโอ PART ก็เลยทำให้นึกถึงหนังของ Patricio Guzman เพราะในวิดีโอนี้เราจะรู้สึกว่า the living ยังไม่สามารถ go on living ได้ เพราะ the dead ยังไม่ได้รับความยุติธรรม

แต่สิ่งที่ video installation ชิ้นนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากหนังของ Patricio Guzman ก็คือว่า ในหนังสองเรื่องของ Guzman นั้น มันให้ความรู้สึกว่า ชิลีในปัจจุบันอยู่ในยุคของ “การขุดค้นหาความจริงที่เคยถูกฝังกลบไว้”  แต่ในวิดีโอ PART ของไทยนี้ มันให้ความรู้สึกว่า เราไม่ได้อยู่ในยุคของ “การขุดค้นหาความจริงที่ถูกฝังกลบไว้” แต่เรายังคงอยู่ในยุคของ “การพยายามทำลาย, ลบเลือน, ขจัด, ฝังกลบบางสิ่ง” ให้สูญหายไปทั้งในทางกายภาพและในทางความทรงจำของผู้คน

 HOW WE MET IN APRIL (2019, Supawit Woothisart, 47min, A+25)

1.หนังดูเพลินมาก แม้ตัวโครงเรื่องหลักมันจะดู cliché สำหรับหนังไทยหรือหนังนักศึกษามากๆ เพราะเราว่าประเด็นเรื่องแอบชอบเพื่อนแต่ไม่กล้าบอกเพื่อนนี่มันได้รับการนำเสนอในหนังนักศึกษามาแล้วเป็นร้อยเรื่อง หรือแม้แต่ในหนังเมนสตรีมอย่าง DEAR DAKANDA (2005, Komgrit Triwimol) และ FRIEND ZONE (2019, Chayanop Boonprakob) ก็นำเสนออะไรที่คล้ายๆกัน แต่โชคดีที่หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดี ไม่น่าเบื่ือเลย ถึงแม้เนื้อหาของมันอาจจะไม่มีอะไรใหม่

2.ชอบการนำเสนอสองช่วงเวลาในหนังด้วย ทั้งตอนเป็นวัยรุ่นกับตอนที่โตแล้ว มันทำให้หนังดูซึ้งมากขึ้น

3.แต่ตอนดูจะแอบนึกถึงหนังอีกเรื่องที่เราชอบสุดๆนะ ซึ่งก็คือ OUR LAST DAY (2015, Rujipas Boonprakong) เพราะ OUR LAST DAY ก็พูดถึงความสัมพันธ์พระเอก+นางเอกในวัยมัธยม กับชีวิตพระเอกตอนโตเป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน แต่ OUR LAST DAY จะเข้าทางเรามากกว่า เพราะ OUR LAST DAY เน้นความ nostalgia เน้นการมองย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่มีความสุขในวัยมัธยมว่ามันเป็นสิ่งที่หอมหวาน และไม่มีทางหวนย้อนคืนมาได้อีกแล้ว ซึ่งมันตรงกับความรู้สึกในชีวิตจริงของเรา ส่วน HOW WE MET IN APRIL เน้นความโรแมนติกในวัยมัธยม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่มีประสบการณ์ในชีวิตจริง 555

No comments: