Saturday, September 06, 2025

A USEFUL GHOST (2025, Ratchapoom Boonbunchachoke, A+30)

 

A USEFUL GHOST (2025, Ratchapoom Boonbunchachoke, A+30)

ผีใช้ได้ค่ะ

หรือ เมื่อ “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย” ค่อยๆ กลายไปเป็น “ดาวคืนเพ็ญมัวเด่นลืมท้าทาย”

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

1. Some quotes

 

1.1 Seasons change people change
I'll sacrifice tomorrow
Just to have you here today

วง Expose เคยร้องไว้ในปี 1987

 

1.2 “คนยังคง ยืนเด่นโดยท้าทาย”

 จิตร ภูมิศักดิ์ เขียนไว้ในเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ในช่วงราวปี 1960-1962 ขณะถูกขังอยู่ที่คุกลาดยาว

 

1.3 “ดาวคืนเพ็ญมัวเด่นลืมท้าทาย”

ไอดา อรุณวงศ์ เขียนไว้ในกลอน “ในสมุดบันทึก” สำหรับใช้อ่านประกอบการฉายภาพยนตร์เรื่อง BY THE TIME IT GETS DARK ดาวคะนอง (2016, Anocha Suwichakornpong) ในวันที่ 6 ต.ค. 2016

 

โดยท่อนสุดท้ายของกลอนนั้นระบุว่า

“ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ

ดาวคืนเพ็ญมัวเด่นลืมท้าทาย

ครั้นผืนฟ้าใกล้ดับจวนลับมลาย

ดินจะพราย-ไม่ว่ามี-หรือไม่-มีดาว

ดินจะกลาย-เป็น-หรือไม่-เป็นดาว!”

 

1.4

 I, Electra, who doesn't forget
While one person lives who doesn't forget
No one can forget

You have no power over me
Because Electra tortured is Electra
Electra dead is Electra
You have no power over me
Because I am justice

Though I know I can't kill you, I wait and don't forget
Every man you killed lives on in me

Once upon a time there lived in the faraway orient a wonderful bird. Brighter than the sun, more dazzling than the rainbow, lovelier than a jewel, for it was born of man's eternal dreams. Its father was liberty, its mother happiness. Wherever the bird flew, the heavy clouds parted, the sun shone, rainbows glistened in the sky, suffering abated, the oppressed stood tall, the weary gained strength, the poor grew angry. On it flew, westward, and people's faith grew stronger. Their strength increased.

And once landowners and factory workers cease to be, and there is neither bourgeois nor proletarian, rich or poor, oppressor or oppressed. Once there is not too much food for some, and not enough for others, when all may partake equally on the basket of plenty, when all shall sit as equals at justice's table, when the spirit shall shine in every window, then, and only then shall man live a life worthy of him, one of liberty, joy, peace. Yet the firebird shall still fly here above us, and still perish every day, to be reborn even more wondrous the day after. Blessed be your name, revolution."

ตัวละคร Elektra (Mari Töröcsik) กล่าวไว้ในภาพยนตร์เรื่อง ELECTRA, MY LOVE (1974, Miklós Jancsó, Hungary)

 

2. ชอบหนังเรื่อง A USEFUL GHOST มาก ๆ แต่เราจะไม่เน้นเขียนวิเคราะห์วิจารณ์หนังเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะคนอื่นๆ เขียนถึงสิ่งเหล่านั้นไปหมดแล้ว คือหนังเรื่องนี้อาจจะทำให้เรานึกถึงประเด็นต่าง ๆ แต่เพื่อน ๆ หรือคนอื่น ๆ ก็ได้เขียนถึงประเด็นที่เรานึกถึงไปเกือบหมดแล้ว และเราก็ได้แชร์งานเขียนของคนอื่น ๆ ที่เราเห็นด้วย มาไว้ที่หน้า wall ของเราแล้วหลายบทความ เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่เน้นเขียนอะไรที่มันซ้ำซ้อนกับสิ่งที่เราแชร์มาแล้วให้เสียเวลา 5555

 

เพราะฉะนั้นเราก็จะทำในสิ่งที่เรามักทำมาโดยตลอด นั่นก็คือไม่เขียนวิจารณ์หนัง แต่เราจะ “จดบันทึกประจำวัน” เพื่อจดว่าหนังเรื่องต่าง ๆ “ทำให้เรานึกถึงชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง” และหนังเรื่องต่าง ๆ “ทำให้เรานึกถึงหนังเรื่องอื่น ๆ และนึกถึงอะไรอีกบ้าง โดยที่ผู้สร้างหนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจแต่อย่างใด” 55555

 

3. ชอบฉากเปิดของ A USEFUL GHOST มาก ๆ คือฉากเปิดของหนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงอะไรต่าง ๆ มากมายโดยที่ผู้สร้างหนังอาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้

 

ฉากเปิดของหนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึง

 

3.1 รูปปูนปั้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งมันทำให้เรานึกถึงทั้งคณะราษฎร และปี 2475 (หรือ 1932)

 

3.2 พอรูปปูนปั้นมันค่อย ๆ สลายไปกลายเป็นฝุ่นผงท่ามกลาง “กระแสทุนนิยม” เราก็เลยนึกถึงทั้งการที่คนรุ่นปัจจุบันอาจจะลืมเลือนคณะราษฎร, การที่คนธรรมดา ๆ มีสถานะเป็นเหมือนเพียงฝุ่นผงเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งที่ดูไม่สลักสำคัญอะไรในยุคปัจจุบัน

 

3.3 การสลายไปของรูปปูนปั้นในฉากเปิดของหนัง มันสวนทางกับการที่ “แนท” กลายเป็นรูปปั้นในช่วงท้าย ๆ ของเรื่องด้วย ซึ่งมันก็ทำให้เรานึกถึงทั้งการที่สถาป้ตยกรรมเกี่ยวกับคณะราษฎรค่อย ๆ ถูกทำให้หายไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และการที่ “ลิ่วล้อเผด็จการ” อย่างเช่น แนทในช่วงหลังของเรื่อง ได้รับการเชิดชูจนกลายเป็นปูชนียบุคคลอย่างหนึ่ง

 

3.4 ฉากที่แสดงให้เห็นการสร้างรูปปูนปั้นโดยศิลปินเพื่อ represent “ประชาชนทุกหมู่เหล่า” หรืออะไรทำนองนี้ ทำให้เรานึกถึง “สไตล์ภาพยนตร์ของ Ratchapoom” โดยที่ผู้สร้างหนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจ 55555

 

คือเราว่าหนังหลาย ๆ เรื่องของ Ratchapoom ไม่ใช่หนังแนว Eric Rohmer แต่เป็นหนังแนว Jean-Luc Godard นั่นก็คือหนังของ Ratchapoom ไม่ได้เน้นสะท้อนมนุษย์แบบมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจจริง ๆ แบบหนังของ Rohmer แต่ตัวละครหลายตัวในหนังของ Ratchapoom เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดไอเดียหรือแนวคิดหรือปัญหาทางสังคม, จริยธรรม, การเมืองต่าง ๆ เฉกเช่นเดียวกับหนังของ Godard

 

และเราว่าลักษณะนี้มันก็คล้าย ๆ กับศิลปินที่สร้างงานประติมากรรรม อย่างเช่น รูปปูนปั้น 55555 คือถ้าหากเราจะถ่ายทอดชีวิตประชาชนแบบมนุษย์จริงๆ เราก็คงต้องทำ “หนังสารคดี” ไปตามเก็บชีวิตชาวบ้าน แบบหนังอย่าง AGRARIAN UTOPIA (2009, Uruphong Raksasad) อะไรทำนองนี้ แต่งานศิลปะสามารถทำออกมาได้หลากหลายรูปแบบ เราสามารถสะท้อน “ประชาชนในสังคม” ในแบบอื่น ๆ เพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ ก็ได้ อย่างเช่น การสะท้อนประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ออกมาในรูปแบบของปูนปั้น ซึ่งพอมันออกมาในรูปแบบนั้น มันก็อาจจะออกมาดูไม่ใช่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเต้นตุบ ๆ จริง ๆ แต่มีความแข็งเกร็ง มีความเป็น “แบบ” มีความห่างไกลจากคนจริง ๆ ในระดับนึง แต่ก็สามารถรับใช้วัตถุประสงค์ของผู้สร้างงานได้ อย่างเช่น ผู้สร้างรูปปูนปั้นก็อาจจะต้องการสะท้อนว่า ประชาชนในสังคมประชาธิปไตยมีกลุ่มไหนบ้าง แต่ไม่ได้ต้องการจะสะท้อนว่า ชีวิตประจำวันของชาวนาเป็นอย่างไร

 

ซึ่งเราก็แอบรู้สึกอย่างนั้นกับหนังหลาย ๆ เรื่องของ Ratchapoom เพราะหนังของเขาก็ไม่ได้พยายามจะทำให้ตัวละครดูเป็นมนุษย์จริง ๆ แต่ตัวละครดูเป็นเครื่องมือเพื่อใช้สะท้อนแนวคิดต่าง ๆ ที่น่าสนใจ

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบสไตล์การแสดงแบบ “หน้าตาย” หรือแบบ stylized อะไรบางอย่างในหนังของ Ratchapoom มันเป็นความจงใจอยู่แล้วที่จะทำให้ตัวละครดูไม่เป็นมนุษย์จริง ๆ แบบในหนัง drama ทั่วไป เราว่า style การออกแบบตัวละครในหนังของ Ratchapoom อาจจะทำให้เรานึกถึงทั้งงานประติมากรรม, รูปปูนปั้น และตัวละครต่าง ๆ ในหนังของ Jean-Luc Godard หรืออาจสรุปได้ว่า ตัวละครบางตัวในหนังบางเรื่องของ Ratchapoom ทำให้เรานึกถึง comic books + ตำราวิชาการ ผสมอยู่ในตัวละครตัวเดียวกัน

 

มันเหมือนกับว่า ถ้าหากตัวละครเป็น “ขนมชิ้นหนึ่ง”  Ratchapoom ก็สร้างตัวละครด้วยการกลั่นกรอง “ตำราวิชาการ” ออกมาเป็น “แป้ง” และเทแป้งนั้นลงไปใน “แม่พิมพ์” แบบ “ตัวละครในหนังสือการ์ตูน” หรือ “ตัวละครที่ภายนอกดูมีความ stylized บางอย่าง” เพราะฉะนั้นตัวละครบางตัวในหนังบางเรื่องของเขาก็เลยทำให้เรานึกถึง “กรอบภายนอก” ที่ดูมีความคิกขำหุยฮาน่าจดจำ แบบตัวละครในหนังสือการ์ตูน โดยเฉพาะตัวละครกลุ่ม “ครอบครัวของพ่อของมาร์ช” ใน A USEFUL GHOST

 

แต่เมื่อเราเจาะลึกเข้าไปในแก่นของตัวละครบางตัวในหนังของ Ratchapoom เราก็จะพบว่ามันอัดแน่นไปด้วย “ตำราวิชาการ” อยู่ข้างในตัวละครเหล่านั้น 55555

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบฉาก “ศิลปินขณะพยายามสร้างรูปปูนปั้นเพื่อ represent ประชาชนทุกหมู่เหล่า” ในฉากเปิดของหนังเรื่องนี้มาก ๆ เพราะเราว่ามันล้อไปกับ “สไตล์การสร้างตัวละครในหนังของ Ratchapoom” โดยที่ผู้สร้างหนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้ ราวกับว่าฉากนี้มันเป็นการบอกกลาย ๆ ว่า เราจะไม่ได้เห็น “มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อจริง ๆ” ในหนังต่อไปนี้นะ แต่เราจะได้เจอตัวละครที่อาจจะดูแข็งเกร็งผิดปกติ แต่ตัวละครเหล่านั้น represent อะไรบางอย่าง โดยเฉพาะแนวคิดทางสังคมการเมือง

 

3.5 นอกจากฉากเปิดของ A USEFUL GHOST จะทำให้เรานึกถึงทั้ง “การเสื่อมสลายของสิ่งที่คณะราษฎรได้สร้างไว้” และ “อิทธิพลของโลกทุนนิยม” แล้ว ฉากเปิดของหนังเรื่องนี้ยังทำให้เรานึกถึง “ปัญหาสิ่งแวดล้อม” ในโลกยุคปัจจุบันด้วย

 

3.6 ฉากเปิดของ A USEFUL GHOST ทำให้เรานึกถึงภาพยนตร์เรื่อง THE XFREE (2000, วสันต์ สำโรง, 5min) โดยไม่ได้ตั้งใจด้วย เพราะ THE XFREE เป็นหนังที่ไปถ่าย “เป้ากางเกงของรูปปูนปั้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย” และถือเป็นหนึ่งในหนังไทยที่เราชอบมากที่สุดในชีวิต คือแค่ไอเดียก็ไม่ทราบว่าคิดมาได้อย่างไรแล้ว และมันก็เป็นไอเดียที่ดีมาก ๆ เพราะเราก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า “เป้ากางเกง” ของรูปปูนปั้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มันจะน่าเร้าใจขนาดนี้ 55555

 

4. ในส่วนของเนื้อเรื่องของ A USEFUL GHOST นั้น เรารู้สึกไปเองว่า มันอาจจะเป็นเรื่องของ “กะเทยวิชาการ” ซึ่งตัวละครตัวนี้อาจจะเป็นได้ทั้งตัวแทนของประชาชนคนธรรมดา หรือตัวผู้สร้างหนังเรื่องนี้ กะเทยวิชาการคนนี้อาจจะนั่งอ่านสิ่งต่าง ๆ ทางอินเทอร์เน็ต และได้อ่านเรื่องของคณะราษฎร (ฝุ่นผงจากรูปปูนปั้น อาจจะปลิวมาเข้าจมูกของเขา ทำให้เขาจาม) เขาเริ่มเกิดความสงสัยใคร่รู้ในประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการของไทย ประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่ ของไพร่ ของประชาชนคนธรรมดา

 

และพอเขาสืบค้นไปเรื่อย ๆ เขาก็ได้พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย อย่างเช่นเรื่องของ

 

4.1 นักต่อต้านเผด็จการในทศวรรษนึง ซึ่งอาจจะกลายไปเป็นลิ่วล้อเผด็จการในทศวรรษต่อ ๆ มา อย่างเช่น

 

4.1.1 แนท คือตัวละครตัวนี้ทำให้เรานึกถึง “เสรีนิยม” ในช่วงแรก เพราะตัวละครตัวนี้เหมือน represent “ความสัมพันธ์ทางเพศแบบแปลกประหลาด” (คนกับเครื่องดูดฝุ่น)

 

และคนที่เคยเป็นเสรีนิยมในทศวรรษนึง ก็อาจจะถุกต่อต้านโดย “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” (ครอบครัวของพ่อของมาร์ช) ในช่วงแรก แต่ต่อมา “ทุนนิยม” ก็จะขอความช่วยเหลือจาก “เสรีนิยม” (อเมริกา ?) เพื่อใช้ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ (พวกเรียกร้องสิทธิแรงงาน?)

 

และคนที่เคยเป็นเสรีนิยมเมื่อ 30-40 ปีก่อน พอแก่ตัวลง ก็อาจจะค่อย ๆ กลายไปเป็นฟันเฟืองสำคัญในระบบทุนนิยม, กลายไปเป็นพวกอนุรักษ์นิยม หรือกลายไปเป็นลิ่วล้อเผด็จการได้ในทศวรรษต่อ ๆ มา ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสังคมไทย แต่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก อย่างเช่นในหนังเรื่อง THE OLD GARDEN (2006, Im Sang-soo, South Korea) หรือในหนังเรื่อง “ช่างมันฉันไม่แคร์” (1986, ม.ล. พันธุ์เทวนพ เทวกุล) ที่ activists ในวัยหนุ่มสาว กลายไปเป็น “ผู้ใหญ่ชนชั้นกลางฐานะดี” ในเวลาต่อมา

 

ตัวละครแนทอาจจะทำให้เรานึกถึง LGBTQ ที่เป็น “ลิ่วล้อเผด็จการ” ด้วย 55555 คือแนทอาจจะเป็น heterosexual แต่พอตัวละครของเธอ represent “ความสัมพันธ์ทางเพศที่แปลกประหลาด” มันก็เลยทำให้เรานึกถึง LGBTQ โดยไม่ได้ตั้งใจ คือในอดีตเมื่อหลายปีก่อน การเป็น LGBTQ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศแตกต่างจากขนบของสังคม อาจจะถือเป็น “ขบถต่อสังคม” ในตัวมันเอง เหมือนแนทที่ต้องลุกขึ้นต่อสู้อย่างรุนแรงเพื่อจะได้อยู่กับสามี แต่ถ้าหากเผด็จการหรือผู้มีอำนาจในสังคมไหน ฉลาด รู้จักปรับตัว เผด็จการนั้นก็จะค่อย ๆ หาทางคลายกฎบางอย่างในสังคมลง และการทำเช่นนั้นก็จะสามารถผนวก “ศัตรู” หรือ “ผู้ต่อต้าน” เข้ามาเป็นพันธมิตรได้ และการทำแบบนี้ก็จะช่วยต่ออายุให้เผด็จการหรือผู้มีอำนาจกลุ่มนั้นครองอำนาจต่อไปได้อีกระยะนึง

 

 

4.1.2 Tok

 

หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ตัวละครตัวนี้ทำให้เรานึกถึงคนที่อาจจะเคยเป็นคอมมิวนิสต์/สังคมนิยม/ซ้ายจัด ในทศวรรษ 1970 แต่อาจจะกลายไปเป็น “ลิ่วล้อเผด็จการ” ในยุคปัจจุบัน

 

โดยรวมแล้ว ตัวละครของ “แนท” และ Tok ก็เลยทำให้เรานึกถึงบทเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ และบทกลอนของคุณไอดา อรุณวงศ์โดยไม่ได้ตั้งใจ นึกถึงคนที่ในวัยหนุ่มสาวเคยเป็น “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย” แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป seasons change, people change มนุษย์ทุกคนก็ย่อมแปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา และคนบางคนก็เลยกลายเป็น “ดาวคืนเพ็ญมัวเด่นลืมท้าทาย” หรือลิ่วล้อเผด็จการ ในที่สุด

 

4.2 นักต่อต้านเผด็จการที่ไม่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา อย่างเช่น “ครอง”

 

คือตัวละคร “ครอง” ทำให้เรานึกถึงทั้ง

 

4.2.1 ชื่อของเขา ทำให้เรานึกถึง “ครอง จันดาวงศ์” (1908-1961) เขาเป็นนักโทษทางการเมืองซึ่งถูกจับกุมในข้อหากบฏต่อความมั่นคงและมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พร้อมกับผู้ถูกจับกุมคนอื่นๆ รวม 108 คน และถูกตัดสินให้ต้องโทษประหารชีวิตโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมในยุคของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยนายครองได้เปล่งคำขวัญ “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” เป็นประโยคสุดท้ายของชีวิตก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิต

 

4.2.2 ชะตากรรมของตัวละคร “ครอง” ทำให้เรานึกถึงศพที่ถูกพบในแม่น้ำโขงในปี 2018 ศพของสหายภูชนะ หรือชัชชาญ บุปผาวัลย์ และสหายกาสะลอง หรือไกรเดช ลือเลิศ 

 

4.2.3 สิ่งที่ตัวละคร “ครอง” ทำในหนังเรื่องนี้ ทำให้เรานึกถึง activists หรือผู้ที่มีความสนใจทางการเมืองสังคม ที่คอยบอกเล่าถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ของนักต่อสู้ในรุ่นก่อน ๆ ทั้งนักต่อสู้ที่แปรพักตร์ไปแล้วและนักต่อสู้ที่ยังยึดมั่นในหลักการเดิม ให้กับ “คนรุ่นหลัง ๆ” ได้รับรู้

 

ดังนั้นพอตัวละครกะเทยวิชาการ นั่งอ่านอินเทอร์เน็ต หรืออ่านหนังสือ และออกไปสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เธอก็เลยกลายมาเป็น activist อีกคนนึง เป็นคนที่จะช่วยกระตุ้นสังคม, บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ และทำหน้าที่เป็น “ฝันร้ายของเผด็จการ” ต่อไป

 

ตัวละครกะเทยวิชาการ ก็เลยทำให้เรานึกถึง Elektra ในหนังเรื่อง ELECTRA, MY LOVE มาก ๆ โดยเฉพาะบทพูดของตัวละคร Elektra ที่ว่า

 

I, Electra, who doesn't forget
While one person lives who doesn't forget
No one can forget

You have no power over me
Because Electra tortured is Electra
Electra dead is Electra
You have no power over me
Because I am justice

Though I know I can't kill you, I wait and don't forget
Every man you killed lives on in me

 

และเราว่าตัวละครกะเทยวิชาการตัวนี้เหมือนเป็นตัวแทนคนอย่างเรา ๆ ประชาชนคนธรรมดาที่ได้อ่านหรือรับรู้เรื่องราวของนักต่อสู้ในอดีต พอเราได้อ่านเรื่องราวเหล่านั้น “บุคคลหลายคนที่เคยถูกเผด็จการฆ่าตายในอดีต” ก็ได้เข้ามา “live on inside me” และพอเรา not forget “ความชั่วร้ายของเผด็จการ” เราก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ออกไป เพื่อให้คนอื่น ๆ not forget เรื่องราวความชั่วร้ายของเผด็จการด้วย

 

โดยที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งใจ เรารู้สึกราวกับว่า “ตัวหนังเรื่อง A USEFUL GHOST” เอง ก็เหมือนกับเป็น “สิ่งที่กะเทยวิชาการสร้างขึ้นหลังจากได้รับรู้เรื่องราวการต่อสู้ของคนต่าง ๆ ในอดีต” เพื่อช่วยกระตุ้นให้คนอื่น ๆ not forget เช่นกัน 555555

 

5.สิ่งหนึ่งที่ชอบมากเป็นพิเศษใน A USEFUL GHOST ก็คือว่า เราว่าหนังเรื่องนี้มันทำให้เรานึกถึง “บทบาทของภาพยนตร์ในฐานะ wish fulfillment” ด้วย

 

คือเราว่าถ้าหากไม่นับ “ฝันร้ายของพอล” ฉากความฝันของตัวละครอื่น ๆ ในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะตัวละครมาร์ช มันมีลักษณะที่น่าสนใจ ก็คือว่า

 

5.1 มันเป็น “ความฝัน” ที่เป็นทั้ง dream และ daydream เพราะตัวละคร “รู้ตัวว่าตัวเองกำลังฝันอยู่” มันจึงไม่ใช่ความฝันที่ควบคุมไม่ได้ แต่เป็นความฝันที่สะท้อนความใฝ่ฝันของตัวละครว่าอยากให้ชีวิตเป็นอย่างไร ทั้ง

 

5.1.1 ในความฝันของมาร์ช เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับภรรยาและลูก ในช่วงแรก ๆ แต่ต่อมาในช่วงหลังของเรื่องเมื่อ “แนท” ได้กลายไปเป็นลิ่วล้อเผด็จการอย่างเต็มตัว เธอกลายเป็นรูปปั้น ที่หล่นมาทับเขาในชีวิตจริง เขาก็จดจำแนทไม่ได้อีก และเธอก็ไม่ได้อยู่ในความฝันของเขาอีกต่อไป ฝันของเขาในช่วงหลังของเรื่องมีเพียงแค่เขากับลูกเท่านั้น

 

5.1.2 ในความฝันของ Suman เธอได้ไล่ฆ่าครอบครัวของสามีจนเหี้ยนเต้ ฝันของเธอจึงเป็นทั้ง dream และ daydream เช่นกัน

 

5.2 ในฉากความฝันของมาร์ช เราจะเห็นได้ชัดว่า มันมีการใช้ effects ทางภาพบางอย่าง ที่ทำให้ภาพความฝัน ดูเหมือน “ภาพยนตร์ที่ถ่ายด้วยฟิล์มในยุคเก่า ๆ”

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยรู้สึกราวกับว่า A USEFUL GHOST มันกำลังเทียบเคียง dream+daydream และ “ภาพยนตร์” เข้าด้วยกัน

 

เพราะบทบาทอย่างหนึ่งของภาพยนตร์ในช่วงเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมา คือการสะท้อน “ความใฝ่ฝันของประชาชนบางกลุ่ม” โดยเฉพาะ “หนังประโลมโลกย์ที่จบอย่าง happy ending” หนังที่ตัวละครจน ๆ ได้พบรักกับหนุ่มรวย ๆ ฐานะดี อะไรทำนองนี้

 

หนังหลาย ๆ เรื่องถูกสร้างขึ้นมา เพื่อตอบสนอง “แรงปรารถนา” ของผู้สร้างหนังและผู้ชมบางกลุ่ม แรงปรารถนาทั้งที่ดูเหมือนเข้ากับขนบของสังคม (พ่อแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แบบในความฝันของมาร์ช) และแรงปรารถนาที่เก็บกดไว้ ไม่กล้าพูดออกมาโดยตรง (ความฝันของ Suman)

 

และหนังบางเรื่องที่สะท้อนความใฝ่ฝันของผู้ชมบางกลุ่ม ก็อาจจะนำไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงสังคมได้จริงในอนาคต” ด้วย อย่างเช่นในอเมริกา ที่มีการสร้างหนังที่มี “ตัวละครประธานาธิบดีผิวดำ” ตั้งแต่ปี 1933 เป็นต้นมา ตัวละคร “ประธานาธิบดีผิวดำ” ที่เริ่มปรากฏตัวเรื่อย ๆ ในหนังอเมริกันตั้งแต่ปี 1933 เรื่อยมา ก็น่าจะเป็นปัจจัยนึงที่ช่วยหล่อหลอมความคิดของผู้ชม และนำไปสู่การที่สหรัฐมีประธานาธิบดีผิวดำได้จริงในที่สุดในทศวรรษ 2000

 

เพราะฉะนั้นหนังที่เป็น WISH FULFILLMENT จึงอาจจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ WISH FULFILLMENT เท่านั้น แต่อาจจะช่วยค่อย ๆ สร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้จริงด้วย

 

6. ตอนแรกเรารู้สึกว่า องก์สุดท้ายของหนังมันคลี่คลายง่ายเกินไป ทำไมเหล่าผีจึงแก้แค้น “ผู้มีอำนาจ” ได้ง่ายจังเลย

 

แต่พอการแก้แค้นดำเนินไป เราก็เห็น effects ทางภาพแว่บ ๆ เหมือนใน “ฉากฝันของมาร์ช” และหนังก็จบด้วย end credits ที่ทำให้นึกถึง “ภาพยนตร์ที่ถ่ายด้วยฟิล์มในยุคโบราณ” ซึ่งก็ทำให้นึกถึง “ความฝันของมาร์ช” ในฉากก่อน ๆ หน้านี้เช่นกัน

 

เพราะฉะนั้นถ้าหาก A USEFUL GHOST บอกเราตั้งแต่ในฉากความฝันของมาร์ชในช่วงแรก ๆ ของหนังว่า ภาพยนตร์ คือ “dream+daydream ของคนบางกลุ่ม”

 

ช่วงท้ายของหนังเรื่องนี้ ที่เป็น “การแก้แค้นกลุ่มผู้มีอำนาจ” จึงทำให้เรารู้สึกว่า มันอาจจะมีความเป็นไปได้หลายทางมาก ๆ คือ “การแก้แค้นกลุ่มผู้มีอำนาจ” ได้อย่างง่ายดาย มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในความเป็นจริงแต่อย่างใด แต่อาจจะเป็น

 

6.1 ฝันร้ายของพอล เหมือนอย่างที่เพื่อน ๆ บางคนของเราตีความไว้

 

6.2 ฝันดีของมาร์ช

 

6.3 ฝันดีของกะเทยวิชาการ

 

6.4 ฝันดีของสาวใช้ของพอล เพราะเธอเป็นตัวละครหลักตัวนึงในความฝันนั้น ความฝันของเธออาจจะเหมือนความฝันของ Suman เพราะเธอได้ไล่ฆ่าคนที่เธออยากฆ่าในความฝัน

 

6.5 ฝันดีของ “ประชาชนบางกลุ่ม” ที่อยากแก้แค้นผู้มีอำนาจ ถึงแม้ทำไม่ได้เช่นนั้นในความเป็นจริง

 

เพราะการที่ end credit ของหนัง ทำให้นึกถึง “ฟิล์มภาพยนตร์ยุคเก่า” มันก็เลยเชื่อมไปยัง “ความฝันของมาร์ช” และมันก็เลยทำให้เรารู้สึกราวกับว่า การที่หนังทั้งเรื่องจบด้วย end credit แบบนี้ มันก็เลยเหมือนกับว่า หนังทั้งเรื่อง โดยเฉพาะองก์สุดท้ายของหนัง เป็นเหมือนกับ dream+daydream ของกะเทยวิชาการ, ของมาร์ช (ผู้ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการสังหารหมู่) และของประชาชนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ

 

ประชาชนที่รู้สึกเหมือน Elektra ในหนังเรื่อง ELECTRA, MY LOVE ประชาชนที่เกลียดชัง “นักการเมืองฉ้อฉล”, “ผู้มีอิทธิพล” หรือ “เผด็จการ” ประชาชนที่รู้สึกว่า

 

Though I know I can't kill you, I wait and don't forget
Every man you killed lives on in me

 

 

7. อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบมากใน A USEFUL GHOST ก็คือการที่ตัวละครหลักของหนังเรื่องนี้ (แนท) ไม่ใช่ hero ที่ขาวสะอาด แต่เป็นคนที่มีความเทา ๆ มีทั้งด้านดีและด้านเลวในตัวเอง เป็นมนุษย์ปุถุชนแบบที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมมาก ๆ

 

คือเราชอบมากที่ตัวละครตัวนี้ต้องเจอกับ dilemma คือเธอรักผัว แต่การรักผัว ทำให้เธอต้องช่วยปราบปรามคอมมิวนิสต์ (แรงงานกระด้างกระเดื่องในโรงงาน) และการที่เธออยากมีลูก ก็ทำให้เธอต้องกลายไปเป็นลิ่วล้อเผด็จการด้วย

 

คือตัวละครตัวนี้ไม่ได้มีบทบาทเป็นเพียงแค่ “เหยื่อ” แต่เธอเป็นทั้ง “เหยื่อ” และ “ผู้กระทำ” สลับกันไปในแต่ละสถานการณ์ และเราว่าเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่จริงที่สุด และเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วโลก

 

อย่างเช่น ชาวยิวที่เคยรับบท “เหยื่อของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ในสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ได้กลายเป็น “ผู้กระทำการสังหารหมู่” ชาวปาเลสไตน์ ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา

 

หรือประชาชนในรัสเซีย ที่เคยถูกกดขี่ในระบอบซาร์ เคยเป็น “เหยื่อ” ของระบอบซาร์ ก็ได้ลุกขึ้นสู้ สถาปนาสหภาพโซเวียต ซึ่งตอนแรกก็ดูเหมือนจะดี แต่พอถึงยุคของ “สตาลิน” เท่านั้นแหละ

 

หรือในอิหร่าน ประชาชนหลายคนก็เคยถูกกดขี่ในยุคของ “พระเจ้าชาห์” เคยเป็น “เหยื่อ” ของพระเจ้าชาห์ แต่การปฏิวัติในอิหร่านในเวลาต่อมา ก็ส่งผลให้ “เหยื่อ” บางคน ได้กลายไปเป็น “เผด็จการ”

 

และยังมีใน Afghanistan และในอีกหลายประเทศ คนกลุ่มหนึ่งอาจจะเป็น “เหยื่อผู้ถูกกดขี่” ในสถานการณ์นึง แต่ในเวลาต่อมา พวกเขาก็ได้กลายเป็น “เผด็จการใจโหด”

 

และเราก็นึกถึงผู้นำกลุ่มต่อต้านเผด็จการในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 1992 ในไทย ที่ในทศวรรษต่อมา พวกเขาได้กลายไปเป็นอะไรไปกันบ้างแล้ว

 

เราก็เลยชอบมาก ๆ ที่ตัวละคร Nat และ Tok ในหนังเรื่องนี้ เป็นตัวละครที่เป็นทั้ง “เหยื่อ” และ “ผู้กระทำ” เพราะเราว่ามันจริงมาก ๆ เราพบเห็นคนแบบนี้ได้ในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งในไทย

 

8. และตัวละคร Nat ก็ทำให้เรานึกถึงตัวเราเองด้วย เพราะเรามองว่า

 

8.1 ยิ่งเราแก่ตัวลงมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่ง compromise มากขึ้นเท่านั้น เหมือนตอนที่เรายังหนุ่ม ๆ สาว ๆ เราเป็นคนที่มีอุดมการณ์แรงกล้า แต่พอเราโตขึ้น พบเห็น “ความชั่วร้ายในจิตใจตนเอง” มากขึ้น เราก็จะยิ่งไม่กล้าด่าคนอื่น ๆ เพราะเราก็ค้นพบความชั่วร้ายเห็นแก่ตัวในใจตนเองเช่นกัน

 

และยิ่งเราโตขึ้น เราก็พบว่าหลาย ๆ ครั้ง คนเรามันเจอกับทางเลือกที่ยากลำบาก ซึ่งส่งผลให้คนเราบางครั้งตัดสินใจทำในสิ่งที่เห็นแก่ตัว และเป็นการทำร้ายคนอื่น ๆ และการที่เราได้พบเจอสถานการณ์แบบนี้ มันทำให้เราลดมาตรฐานที่ใช้ตัดสินคนอื่น ๆ ลงเรื่อย ๆ

 

8.2 “บุญคุณของศัตรูทางการเมือง”

 

สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากในตัวละคร Nat ก็คือการที่เธอเคยช่วยเหลือพอลในลิฟท์ หลังจากนั้นพอลก็เลยมาช่วยเหลือเธอที่โรงพัก และทั้งสองก็มีบุญคุณต่างตอบแทนอะไรกันไปเรื่อย ๆ

 

เราพบว่าอันนี้มันทำให้เรานึกถึงตัวเองมาก ๆ และมันอาจจะสอดคล้องกับชีวิตของคนอื่น ๆ ด้วย เพราะว่าหลาย ๆ ครั้งเราก็ติดหนี้บุญคุณของ “คนที่มีความเห็นทางการเมืองตรงกันข้ามกับเรา” โดยเฉพาะ “พ่อแม่ของเราเอง”

 

เราก็เลยชอบตรงจุดนี้มาก ๆ เราว่าสถานการณ์ของแนทที่ติดหนี้บุญคุณพอล และทำให้เธอลำบากใจที่จะปฏิเสธเขาในบางครั้ง มันทำให้เรานึกถึงตัวเอง เพราะว่าเราก็มีความเห็นทางการเมืองแบบนึง แต่คนที่มีความเห็นทางการเมืองตรงกันข้ามกับเรา หลาย ๆ ครั้งก็ล้วนเป็นคนที่มีบุญคุณอย่างยิ่งกับเรา ทั้งคนในครอบครัวเราเอง และคนอื่น ๆ อีกหลายคน

 

9. หนังเรื่อง A USEFUL GHOST น่าจะเป็น “หนังยาวของไทย” ที่เราชอบมากเป็นอันดับ 2 ของปีนี้นะ ส่วนอันดับหนึ่งของเราประจำปีนี้ยังคงเป็น สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่กลับออกจากป่า” หรือ INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY (1985, produced by Kraisak Choonhavan, documentary, 705 min)

 

แต่เราว่า A USEFUL GHOST นี่ช่วย “เติมเต็ม” หรือ “ยั่วล้อ” หนังอันดับหนึ่งของเราประจำปีนี้มาก ๆ เพราะว่าในหนังเรื่อง INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY นั้น มันมีการสัมภาษณ์ “อดีตคอมมิวนิสต์ไทย” หลายคน ซึ่งผู้ให้สัมภาษณ์หลายคน ก็มีสถานะคล้าย “ครอง” ใน A USEFUL GHOST คือผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนในหนังเรื่องนี้ ยังคงเป็น “คนที่น่านับถืออย่างยิ่ง” ในสายตาของเราในยุคปัจจุบัน

 

แต่ผู้ให้สัมภาษณ์บางคนในหนังเรื่อง INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY ก็ทำให้เรานึกถึง Nat และ Tok ใน A USEFUL GHOST อย่างช่วยไม่ได้ 55555

++++

 

วันนี้รู้สึกเหมือนได้ “เข้าเฝ้ากลุ่มเทพเจ้า” ในงาน Q&A ในเทศกาลภาพยนตร์ TILFF ที่ ICON SIAM เพราะว่าเราได้ฟังความเห็นของ Scud ซึ่งถือเป็น ONE OF MY MOST FAVORITE FILMMAKERS OF ALL TIME และสิ่งที่ทำให้เราหวีดร้องสุดเสียงก็คือว่า Adonis He ดารานำในหนังหลาย ๆ เรื่องของ Scud ก็มาร่วม Q&A ด้วย และเรารู้สึกว่าตัวจริงของเขาหล่อกว่าในหนังเสียอีก หรืออาจจะเป็นเพราะว่าในหนังเขาดู “เด็ก” เกินไปสำหรับรสนิยมของเรา แต่ปัจจุบันนี้ตัวจริงของเขาเติบโตเต็มที่เป็นชายฉกรรจ์แล้ว 55555 เห็น Adonis He แล้วรู้สึกว่า เขาคือ Joe Dallesandro ของยุคสมัยนี้

 

“ADONIS HE” IS NOT A HUMAN BEING. “ADONIS HE” IS A GOD, WALKING AMONG US ON THIS PLANET EARTH.

https://web.facebook.com/jit.phokaew/videos/1163183502295037

 

+++++

 

I worship Scud and Adonis He. การได้เห็นตัวจริงของ Adonis He ในเทศกาลภาพยนตร์ TILFF ที่ ICON SIAM ถือเป็นจุดสูงสุดจุดหนึ่งในชีวิตของเรา

https://web.facebook.com/jit.phokaew/videos/1250093520224492

No comments: