Thursday, September 25, 2025

RIP HENRY JAGLOM

 

ตอนนี้มีการจัดงานฉายงาน PARALLEL I-IV (2014, Harun Farocki, 43min) ที่สถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1 เรารู้สึกไม่แน่ใจว่าเคยดูงานนี้ไปแล้วยัง ก็เลยลองเช็คข้อมูลดู แล้วก็เลยพบว่า เราเคยดู PARALLEL II กับ PARALLEL III ไปแล้วในเดือนเม.ย. 2021 เพราะหนังสองเรื่องนี้เคยมาฉายออนไลน์ทางเว็บไซต์ E-FLUX ซึ่งเราก็ชอบหนังสองเรื่องนี้ในระดับ A+30

 

สรุปว่า เรายังไม่ได้ดู PARALLEL I กับ PARALEL IV เพราะฉะนั้นเราจะต้องรีบไปดูโดยเร็วที่สถาบันเกอเธ่ เพราะว่ามันน่าจะจัดฉายถึงแค่วันที่ 3 ต.ค. ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด

 

แล้วตอนนี้ e-flux ก็มีจัดฉายหนังเรื่อง A FIRST QUARTER (1973, Lawrence Weiner, 85min) ด้วย โดยน่าจะจัดฉายถึงแค่วันที่ 30 ก.ย. ฉันจะดูทันไหม กรี๊ด #ดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า

 

+++++

 

เนื่องจากจะมีการจัดงาน RETROSPECTIVE ของ HARUN FAROCKI ซึ่งถือเป็น “ปรมาจารย์แห่ง ESSAY FILMS” ที่ HOUSE SAMYAN เราก็เลยถือโอกาส copy paste สิ่งที่เราเคยโพสท์ไว้ในปี 2012 อีกครั้ง 55555

 

Hartmut Bitomsky ซึ่งถือเป็นปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์อีกคนหนึ่งของเยอรมนี เคยพูดถึง Harun Farocki ว่า

 

"I think Farocki is coming from Eisenstein, and I'm coming from Rossellini. Farocki is very fond of montage,I'm more interested in life, as it is object as they are."

 

ซึ่งเราว่าสิ่งที่เขาพูดน่าสนใจดี เราเข้าใจเอาเองว่า เขามองว่า Farocki สืบทอดสายธารการทำหนังมาจาก Sergei Eisenstein ซึ่งให้ความสำคัญกับ “การตัดต่อ” เพราะว่าการตัดต่อฉากต่าง ๆ เข้าด้วยกัน “ก่อให้เกิดความหมายใหม่” ขึ้นมาได้ และเราเองก็มองว่า ทั้ง Farocki และ Eisenstein ต่างก็เป็นปรมาจารย์ที่ครุ่นคิดพิจารณาเกี่ยวกับ “ความหมายของ image”, potential power of images” และ “potential power” ของการตัดต่อ images ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

 

ส่วน Bitomsky มองว่า ตัวเขาเองสืบทอดสายธารการทำหนังมาจาก Roberto Rosselini ที่ให้ความสำคัญกับ LIFE

 

นอกจาก Hartmut Bitomsky แล้ว Jean-Luc Godard เองก็เคยพูดถึง วิธีการทำหนังที่แตกต่างกันระหว่าง Eisenstein กับ Rossellini ด้วย

 

This is what Jean-Luc Godard wrote about the film INDIA (1959, Roberto Rossellini, 90 min):

 

"INDIA runs counter to all normal cinema: the image merely complements the idea which provokes it. INDIA is a film of absolute logic, more Socratic than Socrates. Each image is beautiful, not because it is beautiful in itself, like a shot from QUE VIVA MEXICO!, but because it has the splendour of the true, and Rossellini starts from truth. He has already gone on from the point which others may perhaps reach in twenty years time. INDIA embraces the cinema of the whole world, as the theories of Riemann and Planck embraced geometry and classical physics. In a future issue, I shall show why INDIA is the creation of the world.".

 

เราเข้าใจว่า Godard มองว่า แต่ละ image ในหนังเรื่อง QUE VIVA MEXICO! (1932, Sergei Eisenstein, Grigoriy Aleksandrov, A+30)  ถือเป็นภาพที่ “สวยงามในตัวมันเอง” ซึ่งแตกต่างจากหนังของ Rossellini ที่แต่ละ image ถือเป็นภาพที่สวยงาม เพราะว่าภาพเหล่านั้น มี splendour of the true

 

ส่วนตัวเรานั้นก็ชอบภาพยนตร์ทั้งสองสายธาร ทั้งสายธารของ Eisenstein + Farocki และสายธารของ Roberto Rossellini (เราว่าหนังของ Jean Renoir, Mikio Naruse ก็น่าจะอยู่ในสายธารนี้ด้วยหรือเปล่า)

 

นึกถึงสมัยแรก ๆ ที่เราตามดูหนังเยอรมันเมื่อราว 30 ปีก่อน ยุคนั้นเราจะชอบจำชื่อปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์ 4 คนนี้สลับกัน 55555

 

1. Harun Farocki

ปรมาจารย์แห่ง ESSAY FILMS

 

2. Heinz Emigholz (THE BASIS OF MAKE-UP)

ปรมาจารย์แห่ง ARCHITECTURE FILMS

 

3. Helmut Herbst (BLACK-WHITE-RED)

 

4. Hartmut Bitomsky

เรายังไม่เคยดูหนังของคนนี้เลย

 

รูปประกอบมาจาก

 

1. IMAGES OF THE WORLD AND THE INSCRIPTION OF WAR (1989, Harun Farocki, West Germany, A+30)

หนังเรื่องนี้จะมาฉายที่ HOUSE ในวันอังคารที่ 30 ก.ย. รอบ 16.50 น.นะ

 

2. BATTLESHIP POTEMKIN (1925, Sergei Eisenstein, Soviet Union, A+30)

 

3. INDIA (1959, Roberto Rossellini, 90 min)

 

4. DUST (2007, Hartmut Bitomsky)

 

สิ่งที่เราโพสท์นี้เป็นการ copy เนื้อหาบางส่วนมาจากโพสท์เก่าของเราในปี 2012 ซึ่งโพสท์เก่าของเราในปี 2012 มีคนกดไลค์แค่ 2 คน คือคุณ Kwan Jiyui กับใครอีกคนหนึ่งที่เราไม่รู้ว่าเป็นใคร ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า คนคนนั้นที่เคยกดไลค์โพสท์ของเราในปี 2012 ได้ block เราไปแล้ว หรือไม่ก็เลิกเล่น Facebook ไปแล้ว เราก็เลยแอบสงสัยว่า คนที่เคยกดไลค์โพสท์เก่าของเราเกี่ยวกับ Farocki ในปี 2012 อีกคนหนึ่งคือใครกันนะ และเขา block เราไปเพราะอะไร 55555

++++

 

เวียนว่ายตายเกิด เราให้ A- จ้ะ เรารู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันมีปัญหา แต่เราชอบ “การถ่ายภาพ” และดีใจที่ได้เห็น “เอก โอรี” กับ “นวลปรางค์ ตรีชิต” ในหนังเรื่องนี้

+++

อานิสงส์จากการดูหนังในเทศกาล WHAT THE DOC + HONG KONG FILM FESTIVAL ส่งผลให้เรามีแต้มสะสมของ HOUSE SAMYAN ถึง 35 แต้มในช่วงต้นเดือนก.ย. เราก็เลยแลกตั๋วหนังฟรีได้ 3 ใบ

 

เราก็เลยใช้แลกตั๋วดูหนังเรื่อง EDEN (2024, Ron Howard, A+30) ไปเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ผลปรากฏว่า มีเราเป็นคนดูคนเดียวในโรง

 

เราเพิ่งเวลามาโพสท์ถึงเรื่องนี้ หลังจาก #ดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา

 

+++++

 

RIP HENRY JAGLOM (1938-2025)

 

เราเคยดูหนังของเขาแค่ 2 เรื่อง แต่ก็ชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้อย่างสุดขีดคลั่งมาก ๆ ซึ่งก็คือเรื่อง

 

1. SOMEONE TO LOVE (1987)

นำแสดงโดย Orson Welles หนังเรื่องนี้เคยมาฉายที่ห้องสมุดมหาลัยธรรมศาสตร์ โดยการจัดฉายของ Filmvirus หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ความเห็นของผู้คนต่าง ๆ เกี่ยวกับ “ความรัก”

 

คือเราดูหนังเรื่องนี้แล้วแยกไม่ออกว่า ส่วนไหนเป็นเรื่องจริง ส่วนไหนเป็นเรื่องแต่ง ส่วนไหนเป็น “ตัวละครพูดตามบทภาพยนตร์” และส่วนไหนเป็น “ความเห็นของคนพูดจริง ๆ”

 

เราก็เลยชอบจุดนี้มาก ๆ ชอบที่หนังเรื่องนี้มันอาจจะเป็น “fiction ที่เนียนมาก ๆ จนเรารู้สึกว่ามันเป็นสารคดี” หรือมันอาจจะเป็น “fiction + documentary ที่ผสมเข้าด้วยกันจนคนดูแยกแยะไม่ออกอีกต่อไป”

 

2. DEJA VU (1997)

 

เราดูหนังเรื่องนี้จากวิดีโอเทปที่ซื้อมาจากร้านลูกแมวในมาบุญครอง และหนังเรื่องนี้ก็ติดอันดับ ONE OF MY MOST FAVORITE FILMS OF ALL TIME ไปเลย มันเป็น “หนังโรแมนติก” ที่เราดูแล้วร้องห่มร้องไห้หนักมาก (หนังไม่เศร้านะ เราแค่อินและซาบซึ้งกับหนังอย่างรุนแรงที่สุดในชีวิต)

 

คือทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่า เราไม่อินกับ “หนังโรแมนติก” และ “หนังโรแมนติกคอมเมดี้” โดยส่วนใหญ่ แต่ DEJA VU (1997) นี่ถือเป็นข้อยกเว้นจริง ๆ มันเป็น “หนังโรแมนติก” ที่เรารู้สึกอินแบบไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป

 

จริง ๆ แล้ว DEJA VU (1997, Henry Jaglom) กับ THE CLASSIC (2003, Kwak Jae-young, South Korea) นี่มีส่วนคล้ายคลึงกันนะ เพราะมันเป็น “หนังโรแมนติกสุดขีด” ที่พูดถึง “รุ่นแม่กับรุ่นลูก” เหมือนกันเลย มีส่วนคล้ายกันมาก ๆ ในบางจุด แต่เราดู THE CLASSIC แล้วเราไม่รู้สึกอินเลยแม้แต่กระผีกเดียว ในขณะที่เราอินกับ DEJA VU (1997) อย่างรุนแรงที่สุดในชีวิต

 

ก็เลยคิดว่ามันน่าสนใจดีเหมือนกัน ที่หนังสองเรื่องนี้มีจุดคล้ายกันมาก ๆ แต่ DEJA VU กลายเป็น ONE OF MY MOST FAVORITE FILMS OF ALL TIME ส่วน THE CLASSIC นี่เราชอบแค่ในระดับ C+

 

ฉากของ Vanessa Redgrave ใน DEJA VU นี่ ตราตรึงในความทรงจำของเรามาก ๆ

 

อยากให้มีคนจัดงาน RETROSPECTIVE ของ Henry Jaglom มาก ๆ เพราะว่าเขาเคยกำกับหนังมาแล้ว 23 เรื่อง แต่เราเคยดูหนังของเขาไปแค่ 2 เรื่องเท่านั้นเอง

++++++++

 

ในขณะที่เรากำลังรอตาราง BANGKOK INTERNATIONAL FILM FESTIVAL 2025 เราก็ขอจัดทำลิสท์ VIDEO INSTALLATIONS ในกรุงเทพที่เราตั้งใจจะไปดูในช่วงนี้ด้วยดีกว่า เราจะได้จัดตารางชีวิตสับหลีกได้ทัน

 

1.HARUN FAROCKI: PARALLEL I-IV

AT GOETHE

UNTIL 3 OCT

1200-2000HRS

 

2.ON-AIR, OFF-AIR

AT JIM THOMPSON

UNTIL 5 OCT

 

3.LOCAL MYTHS

AT BACC

UNTIL 10 OCT

 

4.ดาราภิวัฒน์

AT BACC

UNTIL 19 OCT

 

5.GHOST 2568

15 OCT-16 NOV

 

6.SILP PEERASRI 24

AT SILPAKORN

UNTIL 22 NOV

MONDAY-SAT 0900-1800

 

7.ACCLIMATE UNDONE

AT STORAGE

28 SEP-23 NOV

THURSDAY-SUNDAY 1300-1800

 

8.UNTIL WE MEET AGAIN

AT BACC

UNTIL 26 NOV

 

ส่วนเทศกาลภาพยนตร์ที่กำลังจะจัดต่อจาก BKKIFF ก็มี

 

1.กางจอ

11-12 OCT, 18-19 OCT

 

2.DEX FILM FEST

16-26 OCT

 

3.TAIWAN DOCUMENTARY FILM FESTIVAL

12-19 NOV

 

4.WOMEN’S FILM FESTIVAL

25 NOV-10 DEC

 

ตอนนี้เรากำลังรอตาราง IRISH FILM FESTIVAL อยู่ด้วย 55555

 

LOCAL MYTHS

https://web.facebook.com/baccpage/posts/pfbid02Wevxm4aZYLHA2sMEEsRVptNa1FunxcQjThAHFjwyGF6qyuCUe7Y3AnGE6V5ZwXpyl

 

ดาราภิวัฒน์

https://web.facebook.com/onceinourlife/posts/pfbid0jgSvULjbSC5VkRGmYtnUbWMzCG2DbcXcMFVMLg28sFGW1cV4EMRF8b5uQwyywVvJl

 

UNTIL WE MEET AGAIN

https://web.facebook.com/baccpage/posts/pfbid0aUJRB6Ktn1uw74xEghNzXa2sStuafczvLXuzE88VYMWzUtSnHNFiEubtfavn6W3vl

 

No comments: