ตอนนี้มีการจัดงานฉายงาน PARALLEL I-IV
(2014, Harun Farocki, 43min) ที่สถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1
เรารู้สึกไม่แน่ใจว่าเคยดูงานนี้ไปแล้วยัง ก็เลยลองเช็คข้อมูลดู แล้วก็เลยพบว่า
เราเคยดู PARALLEL II กับ PARALLEL III ไปแล้วในเดือนเม.ย. 2021 เพราะหนังสองเรื่องนี้เคยมาฉายออนไลน์ทางเว็บไซต์
E-FLUX ซึ่งเราก็ชอบหนังสองเรื่องนี้ในระดับ A+30
สรุปว่า เรายังไม่ได้ดู PARALLEL I กับ PARALEL IV เพราะฉะนั้นเราจะต้องรีบไปดูโดยเร็วที่สถาบันเกอเธ่
เพราะว่ามันน่าจะจัดฉายถึงแค่วันที่ 3 ต.ค. ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด
แล้วตอนนี้ e-flux ก็มีจัดฉายหนังเรื่อง
A FIRST QUARTER (1973, Lawrence Weiner, 85min) ด้วย
โดยน่าจะจัดฉายถึงแค่วันที่ 30 ก.ย. ฉันจะดูทันไหม กรี๊ด #ดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า
+++++
เนื่องจากจะมีการจัดงาน RETROSPECTIVE ของ HARUN FAROCKI ซึ่งถือเป็น “ปรมาจารย์แห่ง ESSAY
FILMS” ที่ HOUSE SAMYAN เราก็เลยถือโอกาส copy
paste สิ่งที่เราเคยโพสท์ไว้ในปี 2012 อีกครั้ง 55555
Hartmut Bitomsky ซึ่งถือเป็นปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์อีกคนหนึ่งของเยอรมนี
เคยพูดถึง Harun Farocki ว่า
"I think Farocki is coming from Eisenstein, and I'm
coming from Rossellini. Farocki is very fond of montage,I'm more interested in
life, as it is object as they are."
ซึ่งเราว่าสิ่งที่เขาพูดน่าสนใจดี
เราเข้าใจเอาเองว่า เขามองว่า Farocki สืบทอดสายธารการทำหนังมาจาก
Sergei Eisenstein ซึ่งให้ความสำคัญกับ “การตัดต่อ”
เพราะว่าการตัดต่อฉากต่าง ๆ เข้าด้วยกัน “ก่อให้เกิดความหมายใหม่” ขึ้นมาได้
และเราเองก็มองว่า ทั้ง Farocki และ Eisenstein ต่างก็เป็นปรมาจารย์ที่ครุ่นคิดพิจารณาเกี่ยวกับ “ความหมายของ image”,
“potential power of images” และ “potential
power” ของการตัดต่อ images ต่าง ๆ
เข้าด้วยกัน
ส่วน Bitomsky มองว่า
ตัวเขาเองสืบทอดสายธารการทำหนังมาจาก Roberto Rosselini ที่ให้ความสำคัญกับ
LIFE
นอกจาก Hartmut Bitomsky แล้ว
Jean-Luc Godard เองก็เคยพูดถึง
วิธีการทำหนังที่แตกต่างกันระหว่าง Eisenstein กับ Rossellini
ด้วย
This is what Jean-Luc Godard wrote about the film INDIA
(1959, Roberto Rossellini, 90 min):
"INDIA runs counter to all normal cinema: the image
merely complements the idea which provokes it. INDIA is a film of absolute
logic, more Socratic than Socrates. Each image is beautiful, not because it is
beautiful in itself, like a shot from QUE VIVA MEXICO!, but because it has the
splendour of the true, and Rossellini starts from truth. He has already gone on
from the point which others may perhaps reach in twenty years time. INDIA
embraces the cinema of the whole world, as the theories of Riemann and Planck
embraced geometry and classical physics. In a future issue, I shall show why
INDIA is the creation of the world.".
เราเข้าใจว่า Godard มองว่า
แต่ละ image ในหนังเรื่อง QUE VIVA MEXICO! (1932,
Sergei Eisenstein, Grigoriy Aleksandrov, A+30) ถือเป็นภาพที่ “สวยงามในตัวมันเอง”
ซึ่งแตกต่างจากหนังของ Rossellini ที่แต่ละ image ถือเป็นภาพที่สวยงาม เพราะว่าภาพเหล่านั้น มี splendour of the
true
ส่วนตัวเรานั้นก็ชอบภาพยนตร์ทั้งสองสายธาร
ทั้งสายธารของ Eisenstein + Farocki และสายธารของ Roberto
Rossellini (เราว่าหนังของ Jean Renoir, Mikio Naruse ก็น่าจะอยู่ในสายธารนี้ด้วยหรือเปล่า)
นึกถึงสมัยแรก ๆ ที่เราตามดูหนังเยอรมันเมื่อราว
30 ปีก่อน ยุคนั้นเราจะชอบจำชื่อปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์ 4 คนนี้สลับกัน 55555
1. Harun Farocki
ปรมาจารย์แห่ง ESSAY FILMS
2. Heinz Emigholz (THE BASIS OF MAKE-UP)
ปรมาจารย์แห่ง ARCHITECTURE FILMS
3. Helmut Herbst (BLACK-WHITE-RED)
4. Hartmut Bitomsky
เรายังไม่เคยดูหนังของคนนี้เลย
รูปประกอบมาจาก
1. IMAGES OF THE WORLD AND THE
INSCRIPTION OF WAR (1989, Harun Farocki, West Germany, A+30)
หนังเรื่องนี้จะมาฉายที่ HOUSE ในวันอังคารที่ 30 ก.ย. รอบ 16.50 น.นะ
2. BATTLESHIP POTEMKIN (1925, Sergei
Eisenstein, Soviet Union, A+30)
3. INDIA (1959, Roberto Rossellini, 90 min)
4. DUST (2007, Hartmut Bitomsky)
สิ่งที่เราโพสท์นี้เป็นการ copy เนื้อหาบางส่วนมาจากโพสท์เก่าของเราในปี 2012 ซึ่งโพสท์เก่าของเราในปี
2012 มีคนกดไลค์แค่ 2 คน คือคุณ Kwan Jiyui กับใครอีกคนหนึ่งที่เราไม่รู้ว่าเป็นใคร
ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า คนคนนั้นที่เคยกดไลค์โพสท์ของเราในปี 2012 ได้ block เราไปแล้ว หรือไม่ก็เลิกเล่น Facebook ไปแล้ว
เราก็เลยแอบสงสัยว่า คนที่เคยกดไลค์โพสท์เก่าของเราเกี่ยวกับ Farocki ในปี 2012 อีกคนหนึ่งคือใครกันนะ และเขา block เราไปเพราะอะไร
55555
++++
เวียนว่ายตายเกิด เราให้ A- จ้ะ เรารู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันมีปัญหา แต่เราชอบ “การถ่ายภาพ”
และดีใจที่ได้เห็น “เอก โอรี” กับ “นวลปรางค์ ตรีชิต” ในหนังเรื่องนี้
+++
อานิสงส์จากการดูหนังในเทศกาล WHAT THE
DOC + HONG KONG FILM FESTIVAL ส่งผลให้เรามีแต้มสะสมของ HOUSE SAMYAN ถึง 35 แต้มในช่วงต้นเดือนก.ย.
เราก็เลยแลกตั๋วหนังฟรีได้ 3 ใบ
เราก็เลยใช้แลกตั๋วดูหนังเรื่อง EDEN
(2024, Ron Howard, A+30) ไปเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ผลปรากฏว่า
มีเราเป็นคนดูคนเดียวในโรง
เราเพิ่งเวลามาโพสท์ถึงเรื่องนี้ หลังจาก
#ดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
+++++
RIP HENRY JAGLOM (1938-2025)
เราเคยดูหนังของเขาแค่ 2 เรื่อง
แต่ก็ชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้อย่างสุดขีดคลั่งมาก ๆ ซึ่งก็คือเรื่อง
1. SOMEONE TO LOVE (1987)
นำแสดงโดย Orson Welles หนังเรื่องนี้เคยมาฉายที่ห้องสมุดมหาลัยธรรมศาสตร์
โดยการจัดฉายของ Filmvirus
หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ความเห็นของผู้คนต่าง ๆ เกี่ยวกับ
“ความรัก”
คือเราดูหนังเรื่องนี้แล้วแยกไม่ออกว่า
ส่วนไหนเป็นเรื่องจริง ส่วนไหนเป็นเรื่องแต่ง ส่วนไหนเป็น
“ตัวละครพูดตามบทภาพยนตร์” และส่วนไหนเป็น “ความเห็นของคนพูดจริง ๆ”
เราก็เลยชอบจุดนี้มาก ๆ
ชอบที่หนังเรื่องนี้มันอาจจะเป็น “fiction ที่เนียนมาก ๆ
จนเรารู้สึกว่ามันเป็นสารคดี” หรือมันอาจจะเป็น “fiction + documentary ที่ผสมเข้าด้วยกันจนคนดูแยกแยะไม่ออกอีกต่อไป”
2. DEJA VU (1997)
เราดูหนังเรื่องนี้จากวิดีโอเทปที่ซื้อมาจากร้านลูกแมวในมาบุญครอง
และหนังเรื่องนี้ก็ติดอันดับ ONE OF MY MOST FAVORITE FILMS OF ALL TIME ไปเลย มันเป็น “หนังโรแมนติก” ที่เราดูแล้วร้องห่มร้องไห้หนักมาก
(หนังไม่เศร้านะ เราแค่อินและซาบซึ้งกับหนังอย่างรุนแรงที่สุดในชีวิต)
คือทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่า เราไม่อินกับ
“หนังโรแมนติก” และ “หนังโรแมนติกคอมเมดี้” โดยส่วนใหญ่ แต่ DEJA VU (1997)
นี่ถือเป็นข้อยกเว้นจริง ๆ มันเป็น “หนังโรแมนติก”
ที่เรารู้สึกอินแบบไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป
จริง ๆ แล้ว DEJA VU (1997, Henry
Jaglom) กับ THE CLASSIC (2003, Kwak Jae-young, South
Korea) นี่มีส่วนคล้ายคลึงกันนะ เพราะมันเป็น “หนังโรแมนติกสุดขีด”
ที่พูดถึง “รุ่นแม่กับรุ่นลูก” เหมือนกันเลย มีส่วนคล้ายกันมาก ๆ ในบางจุด
แต่เราดู THE CLASSIC แล้วเราไม่รู้สึกอินเลยแม้แต่กระผีกเดียว
ในขณะที่เราอินกับ DEJA VU (1997) อย่างรุนแรงที่สุดในชีวิต
ก็เลยคิดว่ามันน่าสนใจดีเหมือนกัน
ที่หนังสองเรื่องนี้มีจุดคล้ายกันมาก ๆ แต่ DEJA VU กลายเป็น
ONE OF MY MOST FAVORITE FILMS OF ALL TIME ส่วน THE
CLASSIC นี่เราชอบแค่ในระดับ C+
ฉากของ Vanessa Redgrave ใน
DEJA VU นี่ ตราตรึงในความทรงจำของเรามาก ๆ
อยากให้มีคนจัดงาน RETROSPECTIVE ของ Henry Jaglom มาก ๆ
เพราะว่าเขาเคยกำกับหนังมาแล้ว 23 เรื่อง แต่เราเคยดูหนังของเขาไปแค่ 2
เรื่องเท่านั้นเอง
++++++++
ในขณะที่เรากำลังรอตาราง BANGKOK
INTERNATIONAL FILM FESTIVAL 2025 เราก็ขอจัดทำลิสท์ VIDEO
INSTALLATIONS ในกรุงเทพที่เราตั้งใจจะไปดูในช่วงนี้ด้วยดีกว่า
เราจะได้จัดตารางชีวิตสับหลีกได้ทัน
1.HARUN FAROCKI: PARALLEL I-IV
AT GOETHE
UNTIL 3 OCT
1200-2000HRS
2.ON-AIR, OFF-AIR
AT JIM THOMPSON
UNTIL 5 OCT
3.LOCAL MYTHS
AT BACC
UNTIL 10 OCT
4.ดาราภิวัฒน์
AT BACC
UNTIL 19 OCT
5.GHOST 2568
15 OCT-16 NOV
6.SILP PEERASRI 24
AT SILPAKORN
UNTIL 22 NOV
MONDAY-SAT 0900-1800
7.ACCLIMATE UNDONE
AT STORAGE
28 SEP-23 NOV
THURSDAY-SUNDAY 1300-1800
8.UNTIL WE MEET AGAIN
AT BACC
UNTIL 26 NOV
ส่วนเทศกาลภาพยนตร์ที่กำลังจะจัดต่อจาก BKKIFF
ก็มี
1.กางจอ
11-12 OCT, 18-19 OCT
2.DEX FILM FEST
16-26 OCT
3.TAIWAN DOCUMENTARY FILM FESTIVAL
12-19 NOV
4.WOMEN’S FILM FESTIVAL
25 NOV-10 DEC
ตอนนี้เรากำลังรอตาราง IRISH FILM
FESTIVAL อยู่ด้วย 55555
LOCAL MYTHS
ดาราภิวัฒน์
UNTIL WE MEET AGAIN
No comments:
Post a Comment