เห็น Chase Infiniti ใน ONE
BATTLE AFTER ANOTHER (2025, Paul Thomas Anderson, A+30) แล้วนึกถึง
Jennifer Beals โดยไม่ได้ตั้งใจ
เรารู้สึกว่าดาราหญิงสองคนนี้มีเสน่ห์บางอย่างใกล้เคียงกัน เป็นสาวสวยแบบ tough
เป็น “สาวสวยแบบสู้ชีวิต แล้วชีวิตสู้กลับ” อะไรทำนองนี้
+++
รายงานผลประกอบการประจำวัน SATURDAY 27
SEP 2025
1. TWINLESS (2025, James Sweeney, queer
film, 100min, A+30)
ดูรอบ 11.30 น.ที่
HOUSE
ขณะที่เราดูหนังเรื่องนี้
เราต้องบอกตัวเองหลายครั้งหลายหนว่า “This is just a movie.” “This is just a movie.” “This is just a
movie.” เพราะเราดูแล้วอินมาก ๆ 55555
หนึ่งในฉากที่อินที่สุดคือฉากที่ Dennis
(James Sweeney) พูดกับแก๊งอันธพาลหนุ่มว่า
เขายินดีที่จะอมควยอันธพาลเหล่านี้ ถ้าหากมันจะช่วย de-escalate
the situation ได้
2. HARUN
FAROCKI’S PROGRAM 1
ดูรอบ 13.30 ที่
HOUSE
78MIN
3. SPYING STARS (2025, Vimukthi
Jayasundara, Sri Lanka, 99min, A+25)
ดูรอบ 16.15 ที่
CENTRAL WORLD
3.1 เหมือนเราเฉย ๆ กับประเด็นเรื่องเทคโนโลยี,
ธรรมชาติ, สิ่งแวดล้อม อะไรพวกนี้ แต่ชอบบรรยากาศในหนังมาก ๆ และชอบ “สไตล์”
ของหนัง
3.2 พอดูหนังเรื่องนี้ไปได้ระยะหนึ่ง
ก็จะรู้สึกว่ามันทำให้นึกถึง Andrei Tarkovsky มาก ๆ
เพราะมันเป็น ไซไฟ + spiritual และพอเรากำลังสงสัยอยู่ว่า Vimukthi
ได้รับแรงบันดาลใจจาก Tarkovsky หรือเปล่า
หนังก็เหมือนใส่ฉากที่ tribute ให้ Tarkovsky เข้ามาในทันที ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด 55555
3.3 เป็นหนังเรื่องที่ 4 ของ Vimukthi ที่เราได้ดู ต่อจาก
3.3.1 THE FORSAKEN LAND (2005) ที่เคยมาฉายใน World Film Festival of Bangkok
3.3.2 BETWEEN TWO WORLDS (2009) ที่เคยมาฉายที่
BACC
3.3.3 LIGHT IN THE YELLOW BREATHING SPACE (2012, 40min) ที่เคยมาฉายที่ BACC ในเทศกาลหนังสั้น
เราชอบ THE FORSAKEN LAND มากที่สุดในบรรดา
4 เรื่องที่เราได้ดู และเราก็อยากดูหนังของ Vimukthi หลายเรื่องซ้ำอีกเป็นรอบที่สองนะ
เหมือนหนังของเขามันเป็นหนังที่เราไม่ได้อินสุด ๆ ในขณะที่ดู แต่เป็นหนังที่เราอยากดูซ้ำ
ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร
4. HARUN FAROCKI’S PROGRAM 3
ดูรอบ 19.10 ที่ HOUSE
80MIN
ได้ดู HARUN FAROCKI PROGRAM 1+3 แล้วน้ำตาไหล ดีใจสุด ๆ ที่ได้ดูหนังของเขาอีก
รู้สึกว่าเราได้อะไรจากหนังของเขาเยอะมาก ๆ
ในแง่หนึ่ง เราก็รู้สึกว่า "HARUN
FAROCKI คือ พ่อบังเกิดเกล้าของ VIRIYAPORN
BOONPRASERT" เพราะฉะนั้น HARUN FAROCKI ก็เลยถือว่าเป็น
"ปู่ของผู้กำกับหนังไทยหลายคน" ที่ได้รับอิทธิพลจาก VIRIYAPORN
BOONPRASERT 55555
หนังที่ได้ดูใน HARUN FAROCKI’S PROGRAM
1+3
1. TWO PATHS (1966, A+25)
หนังกระตุ้นให้เราคิดถึง
"การโฆษณาชวนเชื่อทางศาสนา" ผ่านทางภาพวาด หรืออาจจะรวมไปถึง
จิตรกรรมฝาผนัง
2. EVERYONE IS A BERLINER KINDL (1966, A+30)
หนังทำให้เราครุ่นคิดถึง
"การจัดวางโปสเตอร์ในสถานประกอบการต่าง ๆ"
3. THEIR NEWSPAPERS (1968, A+30)
หนังทำให้เรานึกถึง การใช้ "ข่าว"
เป็น "อาวุธสงคราม" ซึ่งในหนังเรื่องนี้คือสงครามเวียดนาม
แต่ประเด็นต่าง ๆ ในหนัง ก็ทำให้นึกถึง สงครามกาซา กับสงครามไทย-กัมพูชา ที่
"ข้อมูล ข่าวสาร ความจริง ความลวง" ยังคงมีบทบาทสำคัญอยู่ในยุคปัจจุบัน
ตัวละครในหนังเรื่องนี้ของ Farocki ทำให้นึกถึง LA CHINOISE (Jean-Luc Godard) และ ONE
BATTLE AFTER ANOTHER ด้วย
4. THE SILVER AND THE CROSS (2010, A+30)
สุดฤทธิ์ อันนี้เป็นหนังที่เราชอบที่สุดใน PROGRAM
1 ดูแล้วแทบร้องไห้ หนังแค่กวาดสายตาไปตามจุดต่าง ๆ
ในภาพวาดภาพหนึ่งจาก 18TH CENTURY แล้วให้ Cynthia
Beatt บรรยายสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับแต่ละจุดในภาพวาดนั้น
แต่แค่นี้มันก็หนักหนาสาหัสมาก ๆ แล้ว
เนื้อหาส่วนหนึ่งของมันพูดถึงการที่สเปนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
+ enslave ชนพื้นเมืองในเปรู
เราเพิ่งรู้ว่า สเปนเคยนำ
"ชื่อนักบุญในศาสนาคริสต์" มาตั้งเป็นชื่ออ่างเก็บน้ำต่าง ๆ
ในพื้นที่ที่มีการกดขี่เข่นฆ่าชนพื้นเมืองด้วย
5. NEW PRODUCT (2012, A+30)
ดูแล้วนึกถึงหลายประเด็นมาก ๆ ซึ่งรวมถึง
5.1 การที่ WORK DESK ค่อย
ๆ เปลี่ยนไปเป็น WORK SPACE โดยที่เราไม่รู้ตัว
ซึ่งมันทำให้ความเป็น individuality ในตัวพนักงานแต่ละคนลดน้อยลงไปด้วย
เหมือนเราก็อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านนั้น ยุคที่ค่อย
ๆ เปลี่ยนจาก work desk มาเป็น work space แต่เราไม่เคยสังเกตถึงสิ่งนี้อย่างจริงจังมาก่อน
5.2 architectural models ของแต่ละบริษัท
อาจจะสะท้อนอะไรต่าง ๆ ได้มากกว่าที่เราคิด
5.3 corporate culture
5.4 ความไร้สาระของ corporate culture
5.5 การทำงาน/การประชุมของ managers
เราว่าหนังเรื่องนี้กับ NOTHING VENTURED
เป็น FAROCKI ในโหมด documentarian แบบ Frederick Wiseman ไม่ใช่โหมด essayist แบบหนังเรื่องอื่น ๆ ของเขา เพราะหนังสองเรื่องนี้สะท้อน
"กลไกในระบบทุนนิยม" โดยที่ Farocki ไม่ได้แสดงความเห็นโดยตรงออกมาในหนัง
เหมือนเขาจับสังเกตกลไกในระบบทุนนิยมเป็นหลัก มากกว่าที่จะประณาม, ด่าทอ
หรือเสียดสีโดยตรง
ซึ่งเราก็ชอบหนังของเขาในโหมด essayist มากกว่าโหมด observant documentarian นะ แต่เราก็ชอบ
NEW PRODUCT และ NOTHING VENTURED มาก
ๆ อยู่ดี เพราะเราว่าเขานำเสนอ “ทุนนิยม” ในแง่มุมที่แตกต่างไปจาก “หนังด่าทุนนิยม”
โดยทั่วไป
ดู NEW PRODUCT แล้วนึกถึงประสบการณ์ชีวิตของตนเองโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย
เพราะในช่วงที่เราทำงานบริษัทเอกชนนั้น เราก็ต้อง self-evaluate ตัวเองทุก ๆ ครึ่งปีตาม core values ที่บริษัทเอกชนกำหนดมา
ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ “ให้กูทำทำไม” 55555
6. WHITE CHRISTMAS (1968, 3min, A+30)
เป็นหนังของ Farocki ที่เรารู้สึกว่า
“VERY VIRIYAPORN BOONPRASERT” มาก ๆ หรือเป็นหนังของ Farocki
ที่ “มีความเป็นวิริญาพร บุญประเสริฐ” สูงมาก ๆ 55555 นึกว่าเป็น “ต้นตระกูล”
ของหนังเรื่อง THE CURSE OF THE SPIRITS คำสาปแช่งของเหล่าผีพราย
(2013, Viriyaporn Boonprasert, 5min)
7. INEXTINGUISHABLE FIRE (1969, second
viewing, A+30)
8. INSTRUCTIONS ON HOW TO PULL OFF POLICE HELMETS (1969, A+25)
เสียดายที่หนังเรื่องนี้ไม่มี subtitle
9. THE WORDS OF THE CHAIRMAN (1969, A+25)
ชอบที่หนังมันเชื่อมั่นใน “การแพร่กระจายอุดมการณ์”
10. NOTHING VENTURED (2004, second viewing, 50min,
A+30)
เราได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นรอบที่สอง และก็ชอบมากขึ้นกว่าตอนดูรอบแรก
55555
หนังเรื่องนี้เป็น “แรงบันดาลใจ” สำคัญที่ทำให้
Christian Petzold สร้างหนังเรื่อง YELLA (2007, A+30) นะ ฉากเจรจาต่อรองทางธุรกิจใน YELLA นี่เห็นชัดเลยว่า
มีต้นแบบมาจาก NOTHING VENTURED
สิ่งที่เราชอบในหนังเรื่องนี้ ก็รวมถึง
10.1 ชอบที่หนังมันนำเสนอ “เจ้าของบริษัท” หรือ “เจ้าของโรงงาน”
ในแง่มุมที่แตกต่างจาก “หนังด่าทุนนิยม” โดยทั่ว ๆ ไปน่ะ
เพราะหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังสารคดี มันก็เลยไม่สามารถเจาะลึกเข้าไปยังความคิดของ
“เจ้าของบริษัท” ได้ และไม่สามารถนำเสนอด้านลบในชีวิตของเขาได้
แต่มันก็นำเสนออะไรหลาย ๆ อย่างที่น่าสนใจสำหรับเรา
10.2 คือปกติแล้วในหนังด่าทุนนิยม “เจ้าของบริษัท”
หรือ “เจ้าของโรงงาน” มักจะเป็นตัวร้ายน่ะ เป็นพวกที่เอารัดเอาเปรียบคนงาน+กรรมกร+คนจน
แต่ในหนังเรื่องนี้ เราจะเห็นได้ว่า “เจ้าของบริษัท” นี่ต้องรับมือกับอะไรหลาย ๆ
อย่าง ซึ่งรวมถึง
10.2.1 การควบคุมต้นทุน ซึ่งนั่นทำให้เขาพูดในหนังเรื่องนี้ว่า
เขาจะจ้างคนงาน “เฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น”
จะไม่มีแรงงานสำรองเลยแม้แต่คนเดียวในบริษัทของเขา อะไรทำนองนี้
ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็สะท้อน “ความเลือดเย็นของโลกทุนนิยม” มาก ๆ
10.2.2 การหาลูกค้า + รักษาลูกค้า
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่โหดอยู่เหมือนกัน
เพราะเขาพูดในหนังเรื่องนี้ว่า มีบางประโยคที่เขาพูดออกไป
แล้วเขาเสียลูกค้าไปเลยถึงสองราย
10.2.3 products ของบริษัทของเขา
และการจดสิทธิบัตรสินค้าของเขา
10.2.4 บริษัทอื่น ๆ ที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่า
จ้องจะเข้ามา buyout บริษัทของเขาหรือเปล่า
10.2.5 การดึงดูดเงินลงทุนจาก venture
capitalists ซึ่งเป็นประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้
คือเราว่าจริงๆ แล้วเนื้อหาทั้งหมดใน NOTHING
VENTURED ก็เหมือนกับ “แม่ค้ากับลูกค้า ที่ต่อรองราคาสินค้ากันเป็นเวลานานหลายชั่วโมง”
น่ะ เพียงแต่ว่าในกรณีนี้ เป็นเรื่องของ “เจ้าของบริษัท” กับ venture
capitalists ที่เจรจาต่อรองกันอย่างยาวนาน เหมือนกับว่า venture
capitalists เสนอเงินลงทุน 750,000 ยูโร
แลกกับหุ้น 34% (หรือมากกว่า 1 ใน 3)
แต่ทางฝ่ายเจ้าของบริษัทเสนอว่าจะเอาเงินเพียง 500,000 ยูโร แลกกับหุ้น 20% แต่เปิด “ทางเลือก”
สำหรับให้ venture capitalists เข้ามาลงทุนเพิ่มได้อีก 250,000 ยูโรในอนาคต ถ้าหากเกิดเหตุการณ์จำเป็น ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิดนะ
ซึ่งการเจรจาต่อรองระหว่าง “นายทุน” กับ “นายทุน”
ด้วยกันนี้ มันก็หืดขึ้นคอพอสมควรนะ ในสายตาคนนอกอย่างเรา เหมือนมันไม่ง่ายเลยสำหรับฝ่ายเจ้าของบริษัท
ที่จะได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ เพราะฝ่าย venture capitalists นี่ก็ดู “เขี้ยวลากดิน” มาก ๆ ฝ่ายนี้ไม่มีวันยอม “เสียเปรียบ” ใด ๆ อย่างแน่นอน
แต่เราก็ชอบนะที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอ venture
capitalists ในฐานะของ “ผู้ร้าย” อย่างชัดเจน แบบในหนังฮอลลีวู้ดอย่าง
WALL STREET (1987, Oliver Stone), THE WOLF OF WALL STREET (2013, Martin
Scorsese), etc. อะไรทำนองนี้ เหมือนหน้าที่พวกนี้เป็นหน้าที่ของหนัง
fiction มากกว่า ส่วนหนังเรื่องนี้เป็นหนังสารคดีที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานของกลไกบางอันในระบบทุนนิยม
และไม่ได้ “ตัดสิน” อะไรแทนผู้ชม
คือดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว เราก็รู้สึกว่า “โลกทุนนิยม”
มันโหดจริง ๆ นะ เพราะในขณะที่หนังเรื่องอื่น ๆ มักจะแสดงให้เห็นว่า “คนงาน+กรรมกร”
ได้รับความทุกข์ยากอย่างไรในสังคมทุนนิยม หนังเรื่องนี้ก็ทำให้เรารู้สึกว่า
แม้แต่เจ้าของบริษัทเอง ก็ต้อง “หาทางเอาตัวรอด”
ได้อย่างไม่ง่ายเลยเหมือนกันในโลกทุนนิยมนี้ (ถึงแม้ Farocki อาจจะไม่ได้ตั้งใจให้เรารู้สึกแบบนั้นก็ตาม 55555)
No comments:
Post a Comment