Sunday, August 02, 2015

ARE YOU THAI? (Wirada Saelim, documentary, A+30)

ARE YOU THAI? หาเรื่องคนไทย? (วิรดา แซ่ลิ่ม, documentary, A+30)

วิรดา แซ่ลิ่มกลายเป็นหนึ่งในผู้กำกับหน้าใหม่ที่มาแรงที่สุดในปีนี้ไปแล้ว เพราะหนังสารคดีเรื่อง LOST ON THE STREET ที่วิรดากำกับร่วมกับชญานิศ จิตรบรรเจิดกุล และสรร ต่อศรีเจริญก็ดีมากๆๆๆๆ ส่วนเรื่อง ARE YOU THAI? ของวิรดานี่เราชอบสุดๆ เพราะเราอยากให้มีคนไทยที่ทำหนัง essay films แบบ Viriyaporn Boonprasert และ Harun Farocki และเราว่าเรื่อง ARE YOU THAI? มันมีลักษณะบางอย่างใกล้เคียงกับ Viriyaporn และ Farocki ถึงแม้มันจะไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว

สิ่งที่ชอบมากๆใน ARE YOU THAI? รวมถึง

1.การรวบรวมสิ่งต่างๆหลากหลายมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นหนังที่สำรวจ “ความเป็นไทย” ซึ่งมีตั้งแต่มิวสิควิดีโอ, คลิปข่าว, คลิปสุจิตต์ วงษ์เทศ, คลิปในยูทูบ, text ที่ขึ้นบนหน้าจอ, เนื้อหาที่ได้จากการกูเกิล, คลิปภาพเคลื่อนไหวประกอบเพลงชาติ, เพลงลูกทุ่ง, เว็บ Pantip และเนื้อหาที่ได้จากการสัมภาษณ์คนต่างๆ เราชอบการรวบรวมสิ่งต่างๆหลากหลายพวกนี้มาประกอบเข้าด้วยกันเป็นหนังมากๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Viriyaporn Boonprasert เคยทำได้อย่างงดงามมาแล้วใน I’M GONNA BE A NAIVE (2012) แต่เหมือนไม่มีผู้กำกับหนังไทยคนไหนทำได้ดีแบบนี้อีกเลย จนกระทั่งมาถึงหนังเรื่อง ARE YOU THAI? นี่แหละ

ดูหนังเรื่อง “ฉันจะเป็นชาวนาอีฟ” ได้ที่นี่

2.แต่มีสิ่งหนึ่งที่วิรดาทำได้ แต่ Viriyaporn ยังไม่เคยทำ นั่นก็คือการออกไปสัมภาษณ์คนต่างๆ และหนังเรื่องนี้ก็สัมภาษณ์ได้สุดตีนมากๆ โดยบุคคลที่ถูกสัมภาษณ์มีตั้งแต่ตำรวจ, ชาวต่างชาติในราชบุรี, เด็กที่มีพ่อแม่เป็นกะเหรี่ยง, คนในสามจังหวัดชายแดนใต้, ชาวแพร่ที่ไปทำงานในมาเลเซีย, คนที่มีแนวคิดที่ตรงข้ามกับเราอย่างสิ้นเชิง (ผู้หญิงคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ในเชิงที่ว่า ตัวเองเป็นคนมีการศึกษา และพูดจาดูถูกเหยียดหยามชนชั้นล่าง) และคนที่มีแนวคิดตรงกับเราอย่างมากๆ ซึ่งได้แก่หญิงคนหนึ่งที่มีบุคลิกลักษณะเหมือนแม่ค้าข้างถนน ซึ่งเธอพูดในทำนองที่ว่า “มันสำคัญอะไรกับการดูว่าอะไรคือสิ่งที่จะใช้แยกแยะคนไทยออกจากคนลาว คนพม่า คนกะเหรี่ยง, etc. ฉันไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ มันก็คนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

3.อีกสิ่งหนึ่งที่สุดตีนมากๆคือการที่มีหลายครั้งที่ผู้ให้สัมภาษณ์ไม่สามารถตอบคำถามที่ผู้สัมภาษณ์ถามไปได้ เพราะพวกเขาไม่กล้าตอบสิ่งที่คิดจริงๆในใจออกมา

4.การถ่ายภาพของหนังเรื่องนี้ก็สุดตีนมากๆ เพราะกล้องในหนังจะแอบสำรวจฝาผนังของบ้านหลังต่างๆที่ไปสัมภาษณ์ และค่อยๆโฟกัสไปยังบางจุดของฝาผนังบ้าน ซึ่งฝาผนังของบ้านบางหลังมันมีอะไรที่น่าสนใจมากๆแอบซ่อนอยู่

ชอบ REALM OF PLEASURE อาณาจักรความบันเทิง (Kittipat Knoknark, documentary, A+30) กับ “ฮันเล่วังชา” (Wachara Kanha, documentary, A+30) ในแง่ที่ว่า มันเป็นสารคดีที่บันทึก “สิ่งที่มีแนวโน้มจะสูญหายไปในอนาคต” โดย REALM OF PLEASURE นั้นเป็นการบันทึกร้านวิดีโอ ส่วนฮันเล่วังชานั้นเป็นการบันทึกคณะลิเก ซึ่งเราว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ถ้าไม่รีบบันทึกเอาไว้ มันจะหายไป การได้บันทึกมันเอาไว้จะช่วยรักษาความทรงจำที่มีต่อสรรพสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น


REALM OF PLEASURE นั้นดูแล้วแทบร้องไห้ เพราะเราเติบโตมากับร้านวิดีโอ ม้วนวิดีโอเทป บริษัทซีวีดี อะไรพวกนี้นี่แหละ พอได้ฟังคนในร้านพูดถึงยุคธุรกิจรุ่งเรือง แล้วเราก็เศร้ามากๆ นอกจากนี้ สารคดีเรื่องนี้ยังมี moment ที่น่าสนใจหลาย moment ด้วย อย่างเช่น ตอนที่เจ้าของร้านหยิบม้วนวิดีโอเทปที่ใช้รองตู้ปลาออกมาดู แล้วพบว่ามันเป็นวิดีโอเทปบันทึกภาพการสังหารหมู่ช่วงพฤษภาทมิฬ และ moment ที่เหมือนมีชายหนุ่มคนนึงมาจีบพนักงานในร้าน แล้วกล้องบันทึกการสนทนาของคนคู่นี้นานๆ และเราชอบการสนทนาของหนุ่มสาวคู่นี้มากๆ

No comments: