Saturday, August 22, 2015

INSIDE OUT (2015, Pete Docter + Ronaldo Del Carmen, USA, animation, A+30)

INSIDE OUT (2015, Pete Docter + Ronaldo Del Carmen, USA, animation, A+30)

1.ปกติแล้วเรามักจะมีปัญหากับหนังที่ตัวละครเอกอาศัยอยู่ใน ครอบครัวอบอุ่นหรือมี ชีวิตที่ดีงาม เพียบพร้อมมากๆแบบในหนังเรื่องนี้ เพราะมันทำให้เรา identify กับตัวละครไม่ได้ แต่กับหนังเรื่องนี้เราไม่มีปัญหาตรงจุดนี้ เพราะในแง่นึงเราก็คิดว่าถ้าหากเราจะทำหนังเกี่ยวกับ องค์ประกอบในจิตใจและอารมณ์ของมนุษย์ เราก็ต้องเริ่มต้น step แรกหรือภาคแรกด้วยการสร้างตัวละครเอกที่มี ปัญหาชีวิตน้อยมากๆๆๆๆแบบนางเอกหนังเรื่องนี้นี่แหละ เพราะเราเชื่อว่าจริงๆแล้วจิตใจมนุษย์มันซับซ้อนอย่างรุนแรงมากๆ และไม่มีทางที่เราจะ represent องค์ประกอบทางจิตของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ในภาพยนตร์อย่างแน่นอน แต่ในแง่นึงเราก็เชื่อว่า หนังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสะท้อนความจริงอย่างสมบูรณ์เช่นกัน เพราะฉะนั้นเราก็เลยยอมรับได้ที่หนังเรื่องนี้ simplify จิตใจของมนุษย์จนเกินจริง เพราะหนังไม่มีทางที่จะสะท้อนความซับซ้อนของมันได้ทั้งหมดอยู่แล้ว

ในเมื่อจิตใจของมนุษย์มันซับซ้อนมากๆ เพราะฉะนั้นหนังที่ต้องการนำเสนอประเด็นนี้ควรทำอย่างไร วิธีหนึ่งที่หนังทำได้ก็คือการทำให้เห็นว่า แม้แต่ในชีวิตที่ธรรมดาที่สุด เรียบง่ายที่สุด เพียบพร้อมที่สุด ปัญหาน้อยที่สุดแบบนางเอกหนังเรื่องนี้ จิตใจของนางเอกก็เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวทางอารมณ์และองค์ประกอบต่างๆทางจิตที่วุ่นวายและซับซ้อนอยู่ดี คือแม้แต่ปัญหาที่ ขี้ปะติ๋วมากๆที่นางเอกเผชิญในหนังเรื่องนี้ แต่เมื่อเรามองลึกลงไปในอารมณ์และจิตใจภายใต้สถานการณ์ขี้ปะติ๋วนั้น เราก็จะเห็นความเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนมากๆอยู่ภายในจิตได้

คือเรามองว่าในแง่นึงหนังเรื่องนี้ก็เป็นเหมือน การสอน ก-ฮหรืออะไรที่พื้นฐานที่สุดเพื่อให้เราเอาไปจินตนาการต่อเองน่ะ คือตัวละครในหนังเรื่องนี้มันเหมือน มานี ปีติ ชูใจที่ทำกิจกรรมธรรมดาที่สุดอย่างเช่น มานีเห็นปีติกับวีระเล่นน้ำด้วยกัน มานีจึงเกิดความรู้สึกปีติอะไรทำนองนี้ เพียงเพื่อให้เราเข้าใจเรื่องพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์แค่นั้นเอง เรายังไม่ต้องเรียนเรื่องคำครุ ลหุ เพื่อเอาไปแต่งวสันตดิลกฉันท์ในขั้นตอนนี้ คือเราคงไม่เอาตัวละครนางเอกหนังเรื่อง PERSONA (Ingmar Bergman) หรือพระเอกเรื่อง THE DEVIL, PROBABLY (1977, Robert Bresson) มาใช้ในการสอนเด็กป.1 หรือนำมาวิเคราะห์ทางจิตในขั้นพื้นฐานน่ะ มันต้องเป็นตัวละครที่ชีวิตแม่งแทบไม่มีปัญหาอะไรเลยแบบนี้นี่แหละ

2.สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากในหนังเรื่องนี้ ก็คือมันสอดคล้องกับความเชื่อของเราเองที่ว่า ในหลายๆครั้ง ความสุขเป็นบ่อเกิดของความทุกข์น่ะ โดยเฉพาะ memory ที่มีต่อความสุขในอดีต คือเวลาที่เราคิดถึงความสุขที่เราเคยมีสมัยเรียนอยู่มัธยมหรือมหาลัย สมัยที่เราได้อยู่กับเพื่อนๆพร้อมหน้าพร้อมตากัน ความทรงจำนั้นมันทำให้เรารู้สึก สุขใจเมื่อนึกถึงมันก็จริง แต่มันไม่ได้เป็น ความสุข 100%” เพราะมันเจือไปด้วยความเศร้าที่ว่า มันเป็นอดีตที่หวนคืนมาไม่ได้แล้วด้วย เราก็เลยชอบมากที่ก้อนความทรงจำดีๆในอดีตในหนังเรื่องนี้ มันไม่สามารถเป็นสีแห่งความสุขได้ 100% เต็มตลอดไป เพราะเมื่อเวลามันผ่านไป มันย่อมมีสีแห่งความเศร้าเจือเข้ามาด้วย โดยเฉพาะถ้าหากนั่นเป็นความทรงจำดีๆถึงสถานการณ์ในอดีตที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีกแล้วในชีวิตเรา

3.การล่มสลายของเกาะ personalities ต่างๆก็เป็นสิ่งที่เราชอบมากนะ ในแง่นึงมันทำให้เรานึกถึงตัวเราเองที่มองโลกในแง่ร้ายมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราเติบโตขึ้นน่ะ 555 มันเหมือนกับว่าตอนที่เรายังเป็นเด็ก เรามีพื้นที่แห่งความเชื่อมั่นในความดีงามอะไรบางอย่างอยู่ในใจเรา แต่พอเราเจอความเลวร้ายต่างๆเข้ามาในชีวิต เจอครูเหี้ยๆ เจอเพื่อนทรยศหักหลัง เจอกับการถูกลิดรอนสิทธิและความเสมอภาคอย่างรุนแรง ฯลฯ พื้นที่แห่งความ optimistic ในใจเราก็ล่มสลายลงไปเรื่อยๆ และบุคลิกภาพของเราก็เปลี่ยนไปด้วย แต่การเจอคนดีๆบางคนเข้ามาในชีวิตก็อาจช่วยฟื้นฟูให้พื้นที่ดีงามในใจเราบางส่วนกลับคืนมา

4.ชอบที่ในตัวละครนางเอกมันมีเกาะ personalities หลายเกาะด้วย ในแง่นึงมันเหมือนกับบทเรียนเรื่อง การสร้างตัวละครให้กลมน่ะ 555 คือเหมือนกับว่า เวลาคุณจะสร้างตัวละครขึ้นมาตัวนึง มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆแค่ว่า คุณกำหนดคำคุณศัพท์ น่ารักให้ตัวละครตัวนั้น แล้วก็จบ แต่มันอาจจะรวมถึงการจินตนาการด้วยว่า ตัวละครตัวนั้นรู้สึกยังไงกับครอบครัวตัวเอง รู้สึกยังไงกับเพื่อนในวัยประถม รู้สึกยังไงกับเพื่อนแต่ละคนในวัยมัธยม เขาชอบเล่นกีฬาอะไร เขาชอบทำพฤติกรรมอะไรในวัยเด็ก และเขายังทำพฤติกรรมแบบนั้นอยู่หรือเปล่าเมื่อเขาโตขึ้น

คือถ้านางเอกโตขึ้น เกาะ personalities มันคงมีเป็นร้อยเกาะน่ะ เพราะเราเชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนมันมีหลายด้านในตัวเอง และมันจะหันด้านที่ไม่ซ้ำกันเข้าใส่คนต่างๆที่ไม่ซ้ำกันในชีวิตตัวเอง อย่างเช่นนางสาว A มักทำตัวหงอเมื่ออยู่กับ B แต่ทำตัวก๋ากั่นเมื่ออยู่กับ C และชอบพูดมากเมื่ออยู่กับ D แต่ชอบทำหน้าหงิกเมื่อเจอ E อะไรทำนองนี้ ซึ่งหนังที่ดีควรจะสร้างตัวละครที่ กลมหรือมีบุคลิกภาพหลายๆด้านแบบนี้ 555

5.อีกสาเหตุที่เราชอบหนังเรื่องนี้ เป็นเพราะเราชอบหนังเกี่ยวกับการผจญภัยเข้าไปในโลกทางจิตแบบนี้อยู่แล้วด้วยแหละ ซึ่งอาจจะรวมถึงหนังเรื่อง THE CELL (2000, Tarsem Singh) และ INCEPTION (2010, Christopher Nolan) ด้วย ที่มีการ visualize จิตของมนุษย์ออกมาเป็นภาพโลกที่น่าสนใจเหมือนกัน แต่จริงๆแล้ว โลกทางจิตที่เราชอบมากที่สุดอยู่ในหนังเรื่อง DREAMCATCHER (2003, Lawrence Kasdan, A+30) ที่ตัวละครตัวนึงสร้างโลกทางจิตของตัวเองขึ้นมาเป็น ห้องสมุดและสามารถใช้ห้องสมุดในโลกทางจิตของเขาในการต่อกรกับมนุษย์ต่างดาวได้

6.ชอบที่หนังเรื่องนี้มีลักษณะคล้าย แบบเรียนน่ะ คือเรามักจะชอบหนังทำนองนี้ หนังที่เหมือนกับการดัดแปลงแบบเรียนในห้องเรียน หรือ ชุดความรู้หรือสาระอะไรบางอย่างให้กลายเป็นหนังบันเทิงได้ ตัวอย่างหนังกลุ่มนี้ก็อาจจะมีเช่น

6.1 JURASSIC PARK (1993, Steven Spielberg) ที่เหมือนกับให้ความรู้เรื่องไดโนเสาร์ไปด้วย

6.2 LINCOLN (2012, Steven Spielberg) ที่เหมือนกับเป็นการนั่งเรียนประวัติศาสตร์ยุคนั้น

6.3 DEUX AMIS (2014, Natalia Chernysheva, France, animation, A+30) ที่เพิ่งฉายในเทศกาลหนังสั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน มันเป็นหนังแอนิเมชั่นที่โหดร้ายทางจิตใจพอสมควร แต่ในขณะเดียวกันมันก็เหมือนสอนเด็กๆเรื่อง metamorphosis ของสัตว์สปีชีส์ต่างๆไปด้วย

6.4 หนังกลุ่ม โรงพยาบาลหลายๆเรื่อง ที่สอนผู้ชมเรื่องโรคภัยต่างๆ อย่างเช่น

6.4.1 ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง (2013, Chulayarnnon Siriphol)
https://www.youtube.com/watch?v=oeuzOxHW11Y
6.4.2 HOW ARE YOU สบายดีมั้ยครับ (2015, Nuttawat Attaswat) ที่สอนเรื่องการใช้ยาผิดวิธี

7.หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงสิ่งหนึ่งที่เราเพิ่งคุยกับเพื่อนเมื่อเร็วๆนี้ด้วย ซึ่งก็คือเรื่องที่ว่า จริงๆแล้วมันมีอะไรไทยๆหรือพุทธๆหลายๆอย่างที่มันเหมาะจะนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มากๆ แต่เสียดายที่ไม่มีคนทำกัน

คือจริงๆแล้วเราก็ไม่ได้นับถือพุทธศาสนาหรอกนะ แต่เราว่ามันมีความเชื่อทางพุทธหลายๆอย่างที่เหมาะกับการนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์น่ะ อย่างเช่นพอเราดู INSIDE OUT ปุ๊บ เราก็นึกถึงความเชื่อทางพุทธที่ว่า จิตคนเราเกิดดับ 230,000 ล้านครั้งต่อวินาทีและความเชื่อเรื่อง เวทนาที่ว่ามันที่ 108 เวทนาอะไรทำนองนี้ (6 ทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คูณกับอารมณ์ 3 สุข ทุกข์ อทุกขมสุข แล้วก็คูณ 2 กายิกเวทนา กับเจตสิกเวทนา แล้วก็คูณ 3 อดีต ปัจจุบัน อนาคต สรุป 6x3x2x3 = 108 เวทนา) ที่เราว่ามันเหมาะเอามาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แบบ INSIDE OUT มากๆ เพียงแต่ว่าต้องไม่ทำเป็นภาพยนตร์สั่งสอนศีลธรรมแบบตื้นเขินนะ แต่เป็นภาพยนตร์แบบ ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่งของ Chulayarnnon Siriphol น่ะ 555


นอกจากการดัดแปลงความเชื่อเรื่องจิตทางพุทธแล้ว ความเชื่อแบบไทยๆที่เหมาะนำมา visualize เป็นภาพยนตร์มากๆก็คือความเชื่อเรื่องเปรต 20 กว่าประเภทหรือสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์สูงต่างๆในป่าหิมพานต์นี่แหละ คือคุณลองคิดดูสิว่าถ้า Spielberg เอาสัตว์ต่างๆในป่าหิมพานต์มาทำเป็นภาพยนตร์ มันจะสนุกแค่ไหน หรือเปรตอย่างกุมภัณฑเปรต ที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก อะไรแบบนี้ ก็เหมาะเอามาทำเป็นตัวละครหนึ่งในภาพยนตร์เหมือนกัน 

No comments: