Sunday, December 30, 2018

JANE, HAIRAT, MIA AND THE WHITE LION


JANE (2017, Brett Morgen, USA, documentary, A+30)
HAIRAT (2017, Jessica Beshir, Ethiopia/USA, 7min, A+30)
MIA AND THE WHITE LION (2018, Gilles de Maistre, France/South Africa, A+20)

ดูหนังเรื่อง HAIRAT ได้ที่นี่

ช่วงนี้อยู่ดีๆก็ได้ดูหนังเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่า” 3 เรื่องในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็เลยเขียนรวบยอดไปเลย โดย JANE เป็นหนังสารคดีเกี่ยวกับมนุษย์กับลิงชิมแปนซี, HAIRAT เป็นหนังเชิงกวีเกี่ยวกับมนุษย์กับไฮยีน่า ส่วน MIA AND THE WHITE LION เป็นหนัง fiction เกี่ยวกับเด็กสาวกับสิงโต

1.ชอบ JANE มากที่สุดใน 3 เรื่องนี้ เราทึ่งกับเรื่องราวใน JANE มากๆ รู้สึกว่า subject เป็นคนที่กล้าบ้าบิ่นแบบเดียวกับตัวละครใน KON-TIKI (2012, Joachim Ronning, Espen Sandberg, Norway) และ GORILLAS IN THE MIST (1988, Michael Apted)

ชอบการเรียนรู้ของ Jane Goodall ในระหว่างการทำงานด้วย ทั้งเรื่องวิธีการผูกมิตรกับลิง, การจัดการกับลิงหัวขโมย, การรักษาความปลอดภัยให้ลูก, การระบาดของโรคโปลิโอ และเรื่องที่หนักที่สุดคือเรื่องที่ลิงชิมแปนซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเองโดยแทบไม่มีเหตุผล ซึ่งมันเป็นอะไรที่ทำให้ทั้ง Jane และเราต่างก็ช็อคไปตามๆกัน คือ Jane คงพึ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมา และอาจจะคิดว่าคงมีแต่มนุษย์ที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันได้แบบนั้น (เราก็คิดแบบเดียวกัน) แต่พอมาเจอลิงชิมแปนซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเองนี่ มันเป็นอะไรที่ทำให้เรามอง “ธรรมชาติ” แตกต่างไปจากเดิมมากๆ

2.HAIRAT เป็นหนังเชิงกวีเกี่ยวกับผู้ชายที่ผูกพันกับหมาไฮยีน่ามานาน 30 กว่าปี แต่แทนที่หนังเรื่องนี้จะเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมาแบบ documentary เหมือน JANE หรือแบบ fiction เหมือน MIA AND THE WHITE LION หนังเรื่องนี้กลับเลือกที่จะไม่เล่าเรื่อง แต่แค่จับ moments ระหว่าง subject กับไฮยีน่าขณะอยู่ด้วยกัน ใส่บทกวีเข้าไปในหนัง และพยายามเน้นบรรยากาศของหนัง

คือถ้าเราดูหนังเรื่องนี้พร้อมกับหนังทดลองเรื่องอื่นๆ หนังเรื่องนี้อาจจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่พอมาดูหนังเรื่องนี้ในเวลาไล่เลี่ยกับการดู JANE และ MIA เราก็เลยชอบหนังเรื่องนี้มากๆ เพราะมันแสดงให้เห็นว่า เรื่องราวประเภทเดียวกัน มันสามารถนำเสนอออกมาใน form หรือ style ที่แตกต่างกันได้ เราไม่จำเป็นต้องนำเสนอเรื่องราวแบบนี้ด้วยการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมาก็ได้ และเราสามารถเพิ่ม layer อะไรอื่นๆซ้อนทับเข้าไปในหนังแบบนี้ได้ด้วย

3.MIA AND THE WHITE LION นี่เป็นหนังที่ทำให้เราทึ่งในแบบเดียวกับ PIHU (2018, Kapri Vinod, India, A+30) คือทึ่งในแง่ที่ว่า มันถ่ายทำกันได้ยังไง คือ PIHU เป็นหนังที่ถ่ายเด็กตัวเล็กๆขณะเผชิญกับอันตรายต่างๆนานาจากข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน ส่วน MIA AND THE WHITE LION นี่ก็ให้เด็กๆคลุกคลีกับสิงโตตลอดเวลา และเราเดาว่ามันคงไม่ใช้ special effects สร้างภาพสิงโตขึ้นมาหรอกนะ มันคงใช้สิงโตจริงๆในการถ่ายทำน่ะแหละ และเราก็เลยทึ่งมากๆว่า มันถ่ายทำกันได้ยังไง คือถ้าให้เงินเราหลายล้านบาทในการแสดงหนังเรื่องนี้ เราก็คงต้องขอคิดหนักก่อนรับแสดงอยู่ดี กลัวว่าไม่ใช่แสดงอยู่ดีๆอีสิงโตเกิดตะปบหน้าเราขึ้นมา แล้วเราจะตบอีสิงโตกลับไปยังไง

จริงๆแล้วชอบทั้ง setting และการถ่ายทำใน MIA นะ เราว่า setting มันแปลกตาดีที่เป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงสิงโต เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอะไรแบบนี้อยู่บนโลกนี้ด้วย คือบ้ามาก ไปสร้างบ้านอยู่ในฟาร์มที่มีสิงโตเป็น 10-20 ตัววนเวียนอยู่รอบบ้าน คือมึงอยู่กันเข้าไปได้ยังไง  ส่วนการถ่ายทำก็น่าสนใจดี เพราะกล้องมันดูลื่นไหลมากๆ

แต่เรารู้สึกว่า MIA AND THE WHITE LION มันมีการ romanticize สัตว์ป่ามากเกินไปยังไงไม่รู้ คือถ้ามองหนังเรื่องนี้ด้วยสายตาของคดียิงเสือดำในไทย หนังเรื่องนี้ก็มีจุดยืนที่ถูกต้องมาก แต่เรารู้สึกว่าคนบางคนมัน romanticize สัตว์มากเกินไปน่ะ และหนังเรื่องนี้ก็อาจจะดูเหมือนเข้าข่ายนั้นอยู่บ้าง ซึ่งต่างจาก JANE, HAIRAT และ GRIZZLY MAN (2005, Werner Herzog) ที่ subjects ของหนังมีความหลงใหลในสัตว์ป่าอย่างรุนแรงก็จริง แต่ตัวหนังมันไม่ได้ปฏิเสธความโหดร้ายของสัตว์ป่าแต่อย่างใด

No comments: