Sunday, December 23, 2018

TEN YEARS THAILAND


TEN YEARS THAILAND (2018)
--SUNSET (Aditya Assarat, A+30)
--CATOPIA (Wisit Sasanatieng, A+30)
--PLANETARIUM (Chulayarnnon Siriphol, A+30)
--SONG OF THE CITY (Apichatpong Weerasethakul, A+30)

1.ขี้เกียจเขียน เพราะรู้สึกว่าอ่านที่คนอื่นๆเขียนแล้วดีกว่าเยอะเลย 555 ถ้าพูดถึงภาพรวมแล้วก็ชอบหนังมาก แต่ไม่ได้มีอะไรที่ surprise เราอย่างรุนแรง เหมือนก่อนที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้ เราได้รู้เรื่องย่ออะไรต่างๆมาบ้างแล้ว และได้อ่านคำวิจารณ์จากเมืองนอกไปบ้างแล้ว เราก็เลยเกิดจินตนาการของตัวเองหลังจากได้รู้เรื่องย่อ/คำวิจารณ์ แล้วพอเข้าไปดูหนังจริงๆ ก็พบว่าหนังจริงๆมันไม่ได้มีอะไรแตกต่างหรือ surprise เรามากนัก เมื่อเทียบกับจินตนาการของเราหลังจากได้รู้เรื่องย่อ/คำวิจารณ์เหล่านั้น 555 ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็น “หนังสั้น” 4 เรื่องด้วยมั้ง เพราะฉะนั้นมันก็เลยเหมือนกับว่าเรื่องย่อ/คำวิจารณ์ต่างๆที่ได้อ่านมา มันสามารถบรรยายครอบคลุมหนังสั้นแต่ละเรื่องได้เกือบหมด แต่ถ้าหากมันเป็นหนังยาว มันก็จะมีอะไรหลายๆส่วนที่เรื่องย่อ/คำวิจารณ์ บรรยายครอบคลุมได้ไม่หมด

2.จริงๆแล้วชอบ 4 เรื่องในระดับใกล้เคียงกันมาก ถ้าให้เลือกเรื่องที่ชอบที่สุดก็อาจจะเป็น PLANETARIUM แต่ก็ชอบมากกว่าอีก 3 เรื่องแค่กระจึ๋งเดียวเท่านั้น 555 แต่เรื่องที่ surprise ที่สุดคือ CATOPIA เพราะปกติแล้วเราจูนไม่ติดกับหนังของ Wisit โดยเฉพาะหนังอย่าง KAMELIA: IRON PUSSY (2010, Wisit Sasanatieng) ที่เป็นหนังแนว omnibus เหมือนกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหนังที่เราจูนไม่ติดเลย แต่ปรากฏว่า CATOPIA นี่จูนติดมากๆ ทั้งๆที่มันก็อาจจะไม่ได้ดีกว่าอีก 3 เรื่องที่เหลือ การที่เราจูนติดกับหนังของ Wisit เรื่องนี้ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ประหลาดใจที่สุดสำหรับเรา 555 ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่า เรามักจะจูนติดกับหนังที่มีพลังของ “ความเกลียดชัง” ด้วยมั้ง เราก็เลยจูนติดกับหนังเรื่องนี้ได้ง่าย

3. SUNSET งดงามดี ทหารหล่อน่ารักจังเลย 555 ดูแล้วนึกถึงพวกหนังอย่าง 6 TO 6 (2010, Aditya Assarat, 20min) เพราะ 6 TO 6 ก็โฟกัสไปที่ตัวละครชนชั้นแรงงานเหมือนกัน, มีความ gentle มากๆเหมือนกัน และเหมือนมีความเป็นการเมืองเหมือนกัน แต่ความเป็นการเมืองใน 6 TO 6 ดูจางมาก หรืออาจจะไม่มีอยู่จริงก็ได้ แต่ SUNSET นั้นเป็นการเมืองตรงๆ

ดูแล้วก็แอบนึกถึงความหวาดกลัวของตัวเองเวลาเขียนถึงภาพยนตร์ไทย/งานศิลปะไทยต่างๆ อย่างล่าสุดก็คือเวลาเขียนถึงภาพวาดของ Pachara Piyasongsoot สองภาพที่เราชอบสุดๆที่ ARTIST+RUN คือกลัวว่าเวลาเขียนถึงอะไรแบบนี้ แล้วจะมีคนที่มีความคิดทางการเมืองตรงข้ามกับเรามาอ่านเจอ แล้วไม่พอใจ ก็เลยไปแจ้งตำรวจ/ทหารให้ไปแบนงานนั้นซะ

นึกถึงนิทรรศการภาพวาดงานนึงด้วย ที่เราชอบสุดๆ แต่เราตัดสินใจไม่ลงภาพจากนิทรรศการนั้นใน facebook ของเราเลย เพราะเรากลัวว่ามันอาจจะนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยทั้งต่อตัวเราเองและต่อตัวศิลปินได้ ถ้าหากอยู่ดีๆมีใครจ้องจะหาเรื่องอะไรขึ้นมา เหมือนเราอยู่ในยุคล่าแม่มดเมื่อ 400-500 ปีก่อนจริงๆ จะทำอะไรก็ไม่แน่ใจว่ามันจะถูกใครหาเรื่องใส่ร้ายได้ง่ายๆหรือเปล่า

เราไม่มีปัญหากับวิธีการนำเสนอทหารในหนังเรื่องนี้นะ เพราะเราเป็นโรคบ้าผู้ชายหล่อๆ 555 แต่เราก็ตั้งข้อสงสัยว่า ถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่กำกับโดยยุทธนา มุกดาสนิท หรือกำกับโดยผู้กำกับนิรนามที่เราไม่เคยได้ยินชื่อ หรือรู้จักแนวคิดทางการเมืองของเขามาก่อน เราจะดูหนังเรื่องนี้ด้วยความคลางแคลงใจมากกว่าเดิมหรือเปล่า คือมันเหมือนกับว่า เราดูหนังเรื่องนี้ด้วยความสบายใจ เพราะเราค่อนข้างมั่นใจในแนวคิดทางการเมืองของผู้กำกับ แต่ถ้าหากหนังเรื่องนี้กำกับโดยคนที่เราไม่รู้จักมาก่อน เราจะดูหนังเรื่องนี้ด้วยความสบายใจเท่านี้มั้ย เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

4.CATOPIA จริงๆแล้วเราว่ามันเหมือนหนังสั้นแนวเสื้อเหลือง-เสื้อแดงเมื่อ 7-8 ปีก่อนมากๆ เพียงแต่มันปรับแต่งรูปโฉมโนมพรรณใหม่ให้เป็นหนังไซไฟเก๋ๆ คือเมื่อ 7-8 ปีก่อน มันจะมีหนังสั้นอย่าง สี THE COLOUR (2010, Panja Saitong, 20min) และ “แปลกแยก” (2011, Akkapon Ritjitpian) ที่เล่าเรื่องของพระเอกที่ต้องคอยปกปิดแนวคิดทางการเมืองของตัวเอง เมื่ออยู่ในสังคมที่มีแนวคิดทางการเมืองตรงข้ามกับเขา โดยพระเอกของ THE COLOUR นั้น ต้องเปลี่ยนสีเสื้อของตัวเองไปเรื่อยๆ เวลาเดินผ่านย่านต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของเขา

แต่เนื่องจากเราชอบ THE COLOUR และ “แปลกแยก” มากๆ เราก็เลยไม่มีปัญหาอะไรกับการที่ CATOPIA มีอะไรบางอย่างคล้ายๆกับหนังสั้นเหล่านั้น

5.PLANETARIUM ชอบที่ visual ของเข้มันแปลกแตกต่างจากหนังสั้นอีก 3 เรื่องไปเลย มันก็เลยดูโดดเด่นดี

แต่จริงๆแล้วมันก็มีลักษณะเป็น “เข้ Megahit” เหมือนกันนะ เพราะมันมีทั้งส่วนที่มาจาก PLANKING (2011), MYTH OF MODERNITY (2013) และฉากการเต้นรอบกองไฟในหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้นึกถึงฉากหนึ่งใน FORGET ME NOT (2018) ด้วย

ฉากการจับคนในหนังเรื่องนี้ ทำให้เรานึกถึงประสบการณ์ตอนรัฐประหารในปี 2014 ด้วย ที่เพื่อนคนนึงโดนจับไป

6.SONG OF THE CITY เหมือนเราชอบหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้นเยอะ หลังจากได้อ่านที่คนอื่นๆเขียน 555 เพราะตอนที่ดู เราคาดหวังว่ามันจะมีอะไรเฮี้ยนๆ เหวอๆมากกว่านี้ ปรากฏว่าไม่มีเลย เหมือนหนังมันนิ่งเรียบมากๆ แต่พอได้มาอ่านที่บางคนเขียนว่ามันทำให้นึกถึงอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าที่ประเทศไทยไม่มีอะไรพัฒนาไปเลย ทุกอย่างยังดูเงียบเหงาเศร้าซึมเหมือนเดิม อยู่ภายใต้ความเชื่อแบบเดิม เราก็เลยชอบหนังมากขึ้น

ความนิ่งเรียบของหนังเรื่องนี้ทำให้ดูแล้วนึกถึงหนังบางเรื่องของพี่เจ้ย อย่าง THE ANTHEM (2006) และ METEORITES (2007) ที่ภายนอกดูนิ่งเรียบมากๆเหมือนกัน แต่ก็อาจจะเปิดโอกาสให้คนดูแต่ละคนตีความอะไรได้เยอะภายใต้ฉากหน้าที่นิ่งเรียบนั้น

การที่ SONG OF THE CITY โฟกัสไปที่อนุสาวรีย์และภาพปูนปั้น ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง BRUTALITY IN STONE (1961, Alexander Kluge, Peter Schamoni, documentary) ด้วย เพราะ BRUTALITY IN STONE เป็นการสำรวจสถาปัตยกรรมในยุคนาซี และแสดงให้เห็นว่าสถาปัตยกรรมในยุคนั้น หรือ scale ต่างๆที่ใช้ในสถาปัตยกรรมในยุคนั้น มันส่องสะท้อนการเหยียดมนุษย์อย่างไรบ้าง หรือสะท้อนความเชื่อ-แนวคิดทางการเมืองอย่างไรบ้าง

7.สรุปว่าชอบ TEN YEARS THAILAND มากๆ แต่เอาจริงๆแล้วก็ไม่มีหนังเรื่องไหนใน 4 เรื่องนี้ที่ wavelength ตรงกับเราอย่างรุนแรง คือถ้าหากพูดถึงหนังการเมืองไทยที่ wavelength ตรงกับเรามากที่สุดในปีนี้ มันก็คงต้องเป็น THE GIRL (2018, Jittrapa Bumroongchai) เพราะเราว่า THE GIRL มันมีความขึ้งเคียด/เกลียดชัง/ทุกข์ทรมานบางอย่างที่เราจูนติดกับมันมากๆ ซึ่งเป็น wavelength แบบที่เรามักจะพบในหนังของ David Cronenberg ด้วย

  

No comments: