49/232 (2020, Thanit Yantrakovit, 14min, A+30)
1.ก็ถือเป็นหนังที่ “น่าจดจำ” นะ
แต่โดยส่วนตัวแล้วจะชอบน้อยกว่าหนังหลายๆเรื่องของ Thanit
55555
2.พูดถึงสิ่งที่ชอบก่อนก็แล้วกัน
สิ่งที่ชอบที่สุดก็คือการออกแบบฉากสุดท้ายให้ออกมาดูน่าจดจำ
ดูเป็นหนึ่งในฉากคลาสสิคสำหรับวงการหนังไทยน่ะ
เพราะฉากสุดท้ายเป็นการถ่ายนางเอกขณะนั่งรถออกจากละแวกบ้านแบบลากยาว long
take ที่นานมาก และมันถ่ายออกมาสวยมาก
เพราะเราจะเห็นเงาสะท้อนที่กระจกรถตลอดเวลา เป็นเงาสะท้อนของละแวกบ้านที่นางเอกเคยอยู่
แล้วภาพเงาสะท้อนนี้มันดูเหมือนเป็น superimposition ไปบนภาพหน้านางเอกมากๆน่ะ
คือฉากนี้ไม่ใช่ superimposition แต่มันถ่ายออกมาแล้วดูสวยแบบภาพ
superimposition มากๆ
ราวกับว่าภาพวิวหมู่บ้านเหล่านี้คือสิ่งที่อยู่ในใจนางเอก
ไม่ใช่ภาพวิวหมู่บ้านจริงๆ
3.อีกสิ่งที่ชอบมากก็คือฉากต้นเรื่อง
ที่ถ่ายตัวละครคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ ซึ่งจะเหมือนกับหนังเรื่อง UNTIL WE MEET AGAIN (2019, Thanit
Yantrakovit, 47min) ที่ถ่ายฉากตัวละครหลายตัวคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆเหมือนกัน
4.ชอบการใส่ “บทสนทนา” ที่ไม่เกี่ยวกับ main theme ของหนังเข้ามาในฉากต่างๆด้วย
มันช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้กับหนังมากๆ ทั้งฉากต้นเรื่อง, การที่แม่พูดถึง “อะไรมากัดถุงข้าว”
หรือการที่พี่ชายนางเอกพูดถึงหมาบ้านข้างๆที่เห่าอยู่ได้
คือการใส่บทสนทนาเหล่านี้เข้ามามันช่วยให้ตัวละครดูเป็นคนจริงๆมากๆ
มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครไม่ได้เป็นเพียง “เครื่องมือยิงธีมของหนัง” เท่านั้น
5.ชอบการสร้าง gap ทางการเล่าเรื่องของหนังด้วย
เพราะหนังเล่าเรื่องแบบ 3 กับ 6 แทนที่จะเล่า 1 2 3 4 5 6 คือเราไม่ได้เห็นฉากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับเมียเก่าเมียใหม่,
ไม่ได้เห็นฉากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับนางเอก, ไม่ได้เห็นฉากนางเอกประสบอุบัติเหตุ,
ไม่ได้เห็นฉากพ่อตาย มันก็เลยเหมือนหนังเรื่องนี้เล่าแค่ 3 กับ 6 เท่านั้น
แล้วคนดูต้องปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดเอาเองจากบทสนทนา ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้นึกถึง
NICE TO MEET YOU (2018, Thanit Yantrakovit) ที่มี narrative
gap เยอะเหมือนกัน หรืออาจจะเทียบได้กับหนังอย่าง THE CLIMB,
5X2 (2004, Francois Ozon) และหนังของ Robert Bresson ก็ได้ ที่มี narrative gaps เยอะๆ
6.แต่สาเหตุที่ชอบหนังเรื่องนี้น้อยกว่าหนังหลายๆเรื่องของ Thanit ก็เป็นเพราะหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยส่งผลกระทบทางอารมณ์ต่อเราน่ะ
ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ปัจจัยแรกก็คือว่า หนังมันสั้นเกินไปน่ะ
ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของตัวหนังซะทีเดียวหรอก เพราะมันเป็นหนังที่ส่งงาน CAT
FILMS มันก็เลยต้องสั้น แต่พอมันสั้นแบบนี้
เราก็เลยไม่รู้สึกอะไรกับตัวละครในหนังน่ะ ซึ่งมันแตกต่างจาก UNTIL WE MEET
AGAIN ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน แต่เราอินกับหนังอย่างมากๆ
7.อีกสาเหตุที่หนังไม่ค่อยส่งผลกระทบกับเรา โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ UNTIL WE MEET AGAIN ก็เป็นเพราะว่า
UNTIL WE MEET AGAIN เป็นการจับจ้องมองหนุ่มหล่อ ส่วน 49/232
เป็นการจับจ้องมองสาวสวย เราก็เลยดู 49/232 ด้วยอารมณ์เฉยๆ 55555
8.ฉากจบของหนังเราก็รู้สึกก้ำกึ่งนะ คือในแง่ “ความน่าจดจำ” นั้น
เรารู้สึกว่ามันน่าจดจำมาก ๆ แต่ในแง่ “อารมณ์” แล้ว เรารู้สึกเฉยๆกับมันเมื่อเทียบกับฉากแบบนี้ในหนังเรื่องอื่นๆ
แต่ความเฉยๆนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่น่าจดจำในตัวมันเองเช่นกัน
คือความเฉยๆของเราที่มีต่อฉากนี้
มันเป็นเพราะเราคิดว่านางเอกเองก็คงรู้สึกเฉยๆกับวิวหมู่บ้านที่เธอต้องจากมาน่ะ
ซึ่งมันถือเป็นการ “สวนกระแส” กับหนังทั่วๆไป ที่ตัวละครเอกจะอาลัยอาวรณ์บ้านเกิด
อะไรทำนองนี้ แต่นี่นางเอกคงไม่ได้อาลัยอาวรณ์บ้านเกิดอะไรทั้งสิ้น
และเธอเองก็คงรู้ตัวเองดีว่า “ถ้าหากเราอยากกลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อไหร่ ก็กลับมาได้ทุกเมื่อ
ทุกวัน ทุกเวลา” เพราะนางเอกไม่ได้จะไปเมืองนอก และก็ไม่ได้จะไปติดคุกหลายสิบปีหรืออะไรทำนองนี้
ความเฉยๆของเราที่มีต่อฉากนี้ ก็เลยอาจจะมีสาเหตุมาจากความเฉยๆของนางเอก
และมันก็ถือเป็นการ “สวนกระแส” ที่น่าสนใจถ้าหากเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆ
9.ดูฉากจบของหนังเรื่องนี้ แล้วก็นึกถึงฉาก long take ในตอนจบของหนังบางเรื่องที่เราชอบมากนะ
อย่างเช่น
9.1 NEWS FROM HOME (1977, Chantal Akerman) ที่ถ่ายวิวจากเรือขณะแล่นออกจากท่าเป็นเวลานานมากๆ
9.2 SWING ชิงช้า (2012, Weerapong Wimuktalop) ที่ถ่ายวิวขณะตัวละครเดินกลับจากการเล่นชิงช้าในที่รกร้าง
9.3 LET’S EAT (2011, Wasunan Hutawach) ที่หนังทั้งเรื่องเหมือนมีแค่สองฉาก
ฉากแรกเป็นกลุ่มเพื่อนคุยกันเป็นเวลายาวนานในโต๊ะอาหาร
ซึ่งมีสองสาวพี่น้องอยู่ในวงสนทนานี้ด้วย ส่วนฉากที่สองเป็นสองสาวพี่น้องขณะนั่งรถกลับบ้านด้วยกัน
ทั้งสองแทบไม่พูดคุยอะไรกันเลย แต่ฉากนี้ลากยาวมากๆๆ
และมันมีบรรยากาศตึงเครียดคุกรุ่นบางอย่างที่ดีงามมากๆๆๆในฉากลากยาวฉากนี้โดยไม่ต้องอาศัยบทสนทนา
คือถ้าหากเทียบกับฉากจบในหนัง 3 เรื่องข้างต้นแล้ว เราก็ยอมรับว่า
ฉากทั้ง 3 มันส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเราอย่างรุนแรงมากกว่าฉากจบของ 49/232 น่ะ
เราก็เลยชอบหนังทั้งสามเรื่องนี้อย่างรุนแรง แต่เราว่าฉากจบของ 49/232 อาจจะตั้งใจ
“สวนกระแส” ก็ได้ 555 เราก็เลยคิดว่าฉากจบของหนังเรื่องนี้มีความน่าจดจำในแบบของมันเองเหมือนกัน
No comments:
Post a Comment