Wednesday, December 09, 2020

MY CATARACT SURGERY

 

ขอจดบันทึกความทรงจำสำหรับประสบการณ์ช่วงนี้ไว้นะ เผื่อไว้ให้ตัวเองกลับมาอ่านในอนาคต

 

ถ้าสั้นๆก็คือว่า เราผ่าตัดต้อกระจกตาขวาไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 ธ.ค. การผ่าตัดเรียบร้อยราบรื่นดี ช่วงผ่าน่าจะใช้เวลาแค่ 15 นาที กราบขอบพระคุณคุณหมอและพยาบาลมากๆ และขอบพระคุณทุกคนมากๆที่อวยพรให้เราในช่วงที่ผ่านมา วันนั้นตอนมาโรงพยาบาลเรามาคนเดียว แต่ขากลับเราไม่มั่นใจ ก็เลยนัดมิสแคชฟียา เพื่อนสาวเดนตายจากสมัยมัธยมให้มาช่วยดูแลเราตอนออกจากโรงพยาบาลด้วย กราบขอบพระคุณมิสแคชฟียามากๆ

 

ตอนนี้เราก็เหลือผ่าต้อกระจกตาซ้ายในอีกราว 2 สัปดาห์ข้างหน้า ก็หวังว่าจะเรียบร้อยราบรื่นเหมือนเดิม แต่วันนั้นมิสแคชฟียาไม่ว่าง เราก็เลยกะว่าคงไปผ่าตัดคนเดียวและกลับคนเดียว เพราะดูๆแล้วตอนขากลับก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น สามารถเดินทางกลับเองได้สบายมาก (เรียกรถ taxi กลับ) ชีวิตสาวโสดต้องรู้จักดูแลตัวเอง พึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุดค่ะ

 

 ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดเพิ่มเติม

 

ช่วงก่อนผ่าตัดก็เครียดสุดๆ เพราะเราเหมือนมีอาการป่วยเป็นคออักเสบก่อนผ่าตัดราว 1 สัปดาห์ เราก็กลัวมากๆ กลัวว่าถ้าหากเกิดไอจามขึ้นมาตอนผ่าตัด ตาเราจะบอด เราก็เลยรีบกิน Clarithromycin ทันที เพื่อยับยั้งอาการคออักเสบ พอกิน Clarithromycin ไปแล้วอาการคออักเสบก็ดีขึ้นมาก แต่ยามันต้องกินให้ครบ 7 วัน พอเรากินยานี้ไปได้แค่ 2 วัน เราก็ปวดท้องอย่างรุนแรง เราเดาว่าเป็นผลข้างเคียงจากยา เราก็เลยกินขมิ้นชัน ซึ่งทำให้อาการปวดท้องดีขึ้น แต่พอเรากินขมิ้นชันไปได้ 2 วัน เราเกิดสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง ก็เลย google ดู เห็นมีคนบอกว่า “ต้องงดกินขมิ้นชันก่อนผ่าตัด 14 วัน” เพราะมันจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด หรืออะไรทำนองนี้

 

เราก็ร้องวี้ด แล้วก็เลยไปคลินิกหาหมอ ปรึกษาว่าจะทำยังไงดี หมอก็เลยให้ยา Pariet ลดกรดในกระเพาะมา เราลองกิน Pariet ควบคู่ไปกับ Clarithromycin แล้วก็พบว่ามัน work มากสำหรับเรา เพราะมันไม่ทำให้เราปวดท้องอีก

 

นอกจากอาการป่วยทางร่างกายก่อนผ่าตัดแล้ว เราก็เครียดทางใจด้วย กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายอะไรต่างๆมากมายในช่วงก่อนผ่าตัด, ระหว่างผ่าตัด และหลังผ่าตัด แต่พอเราเครียดกังวลเรื่องนี้ไปสักพักนึง เราก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่กูกำลังทำตัวแบบตัวละครที่กูเกลียดในหนังฆาตกรโรคจิตนี่นา 55555 เพราะในหนังฆาตกรโรคจิตและหนังภัยพิบัติต่างๆนั้น ตัวละครที่เราเกลียดก็คือตัวละครที่เจอปัญหาใหญ่คับขัน แล้วก็สติแตก panic ร้องห่มร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก แทนที่จะตั้งสติ แล้วคิดหาทางแก้ไขปัญหาคับขันโดยเร็วที่สุดเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้

 

พอเรารู้สึกว่าเรากำลังทำตัวเหมือนตัวละครที่เราเกลียดในหนังเรื่องต่างๆ เราก็เลยตั้งสติได้ แล้วก็คิดว่าสิ่งที่เราควรทำในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด ก็คือทำจิตให้นิ่งที่สุด ยิ่งจิตเรานิ่งเท่าไหร่ มันก็น่าจะดีต่อตัวเราเองมากเท่านั้น ช่วงหลายวันก่อนผ่าตัด เราก็เลยพยายามทำจิตให้นิ่งที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

 

พอทำจิตให้นิ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่จินตนาการถึงอะไรต่างๆโดยไม่จำเป็นแล้ว เราก็เลยสบายใจขึ้น วันก่อนผ่าตัดเราก็เลยออกไป fitness, ไปดู video installation แล้วก็ดูหนังสองเรื่อง ส่วนวันผ่าตัด เราก็นั่งจดบันทึกความทรงจำที่มีต่อหนังเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆ เรื่องสุดท้ายที่เราเขียนก่อนผ่าตัดก็คือ THE CON-HEARTIST พอเราเขียนเสร็จแล้วเราก็เข้าห้องผ่าตัดไปเลย

 

การผ่าตัดตาก็ราบรื่นมาก ตอนแรกเรานึกว่าเราจะเห็นมีดกรีดลงมาที่ตาเรา แต่พอตอนผ่าตัดจริงๆ เขาจะฉายไฟดวงใหญ่ส่องมาที่ตาของเรามั้ง ดวงตาของเราก็เลยจะเห็นแต่แสงไฟวูบไหวไปมาตลอดช่วง 15-20 นาทีที่หมอผ่าตาของเรา นึกว่ากำลังดูหนังทดลองอะไรสักเรื่องตลอดช่วง 15-20 นาทีนั้น

 

แต่สิ่งที่เราทำพลาดอย่างนึงในวันผ่าตัดตาก็คือเราไม่ได้ใส่เสื้อยืดแบบคอคว้านลึกมาด้วย 55555 หรือใส่เสื้อเชิ้ต เพราะวันนั้นเราใส่เสื้อยืดคอกลมธรรมดามา แล้วพอก่อนผ่าตัดก็ต้องถอดเสื้อออก ใส่ชุดคนไข้ผ่าตัด พอผ่าตัดเสร็จ เราก็สวมเสื้อยืดกลับ ทีนี้พอมันเป็นคอกลมเล็กๆ พอตอนใส่เสื้อยืดกลับเข้าไป คอเสื้อมันก็เลยเหมือนไปกดตาที่ผ่าตัด+กระบอกครอบตา ทำให้เราเจ็บตานิดนึง แล้วพอกลับถึงบ้าน พอเราถอดเสื้อยืดออก คอเสื้อมันก็ไปโดนหรือกระทบตาที่ผ่าตัดอีก รู้งี้เราใส่เสื้อยืดแบบคอคว้านลึกมาผ่าตัดดีกว่า 55555 เวลาถอดเสื้อหรือสวมเสื้อมันจะได้ไม่กระเทือนลูกตา

 

เดี๋ยวพอผ่าตาซ้าย เราคงใส่เสื้อเชิ้ตไปผ่าตัดแล้วล่ะ ไม่ใส่เสื้อยืดแล้ว จะได้ถอดเสื้อ+ใส่เสื้อได้โดยไม่กระเทือนลูกตา

 

ตอนนี้เราก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากพอสมควร เพราะตาห้ามโดนน้ำนาน 1 เดือน และตา 2 ข้างของเรามองเห็นไม่เท่ากันในตอนนี้ เพราะก่อนหน้านี้ ตา 2 ข้างของเราสั้นประมาณ 650-750 และยาวประมาณ 100-175 น่ะ คือเป็นตาที่ทั้งสั้นทั้งยาวในตาเดียวกัน

 

พอผ่าตัดเสร็จแล้ว เลนส์ใหม่ที่ใส่เข้าไปในตาขวา มันเป็นเลนส์ที่แก้สายตาสั้นให้เราด้วย เพราะฉะนั้นตอนนี้ตาขวาเราก็น่าจะยาวประมาณ 100-175 ส่วนตาซ้ายของเราน่าจะสั้น 650-750 และยาวประมาณ 100-175

 

ก็คือว่า ถ้าหากตอนนี้เราถอดแว่น ตาของเราก็จะมองเห็นชัดแค่ตาขวาข้างเดียว ส่วนตาซ้ายภาพจะเบลอมาก แต่ถ้าหากเราใส่แว่น ซึ่งเป็นแว่นที่ตาซ้ายเป็น lens progressive แต่ตาขวาเป็นเลนส์เปล่า เราก็จะเห็นภาพชัดทั้งสองตา แต่เป็นภาพที่มีขนาดไม่เท่ากัน ภาพนึงใหญ่ ภาพนึงเล็ก มันเหมือนเราเห็นเป็น double vision ซ้อนกันตลอดเวลา เหมือนเห็นวัตถุ 1 ชิ้น กลายเป็นวัตถุ 2 ชิ้นที่มีขนาดใหญ่เล็กซ้อนเหลื่อมกัน งงมากๆ นึกว่าอยู่ในฉากไคลแม็กซ์ของหนังเรื่อง GOODBYE TO LANGUAGE (2014, Jean-Luc Godard) 55555

 

ตอนนี้เราก็เลยอ่านและเขียนสิ่งต่างๆด้วยความยากลำบากกว่าเดิมมาก แต่ก็คงจะเป็นเช่นนี้แค่ 2 สัปดาห์แหละ พอเราผ่าตาซ้ายเสร็จแล้ว ตาสองข้างของเราก็คงจะเห็นภาพที่มีขนาดเท่ากัน

 

ส่วนเวลาเราออกไปเดินข้างนอก เวลาเราขึ้นหรือลงบันได เราจะเห็นขั้นบันได 1 ขั้นกลายเป็น 2 ขั้น อะไรทำนองนี้ ทำให้เรากะระยะไม่ได้ เราก็เลยใช้วิธีเอามือขึ้นมาปิดแว่นข้างขวาเอาไว้เวลาขึ้นหรือลงบันได พอเราทำแบบนี้ เราก็จะเห็นขั้นบันไดไม่ซ้อนเหลื่อมกัน ทำให้ขึ้นหรือลงบันไดได้

 

ส่วนเรื่องไม่ให้ตาโดนน้ำนาน 1 เดือนนั้น มันก็สร้างความยากลำบากให้เรามากทั้งตอนอยู่ในอพาร์ทเมนท์และตอนอยู่นอกอพาร์ทเมนท์

 

คือตอนแรกเรานึกว่ามันจะแค่สร้างปัญหาให้เราตอนอาบน้ำเท่านั้น แต่เอาเข้าจริง เราต้องระวังตัวตลอดเวลาเลย ยกตัวอย่างเช่น มีบางครั้งที่เราล้างมือ แล้วเราก็จะหยิบแว่นมาสวม แต่เราก็นึกขึ้นมาได้ว่า หยดน้ำจากมือเรา จะไปติดที่ขอบแว่น แล้วหยดน้ำที่ขอบแว่นของเรา ก็จะไหลเข้าตาเรา เพราะฉะนั้นเราจะทำแบบนี้ไม่ได้เป็นอันขาด มันเหมือนกับว่ามีอะไรที่เราต้องระวังเยอะมาก ต้องตั้งสติตลอดเวลาที่เราเข้าห้องน้ำ ต้องคิดเสมอว่า เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าห้องน้ำ เมื่อนั้นเรากำลังอยู่ในหนังเรื่อง FINAL DESTINATION มันมีภัยพิบัติที่คาดไม่ถึงในห้องน้ำที่พร้อมจะเล่นงานเราได้ทุกเมื่อ

 

เมื่อวานหมอนัดให้เราไปดูอาการหลังผ่าตัด ซึ่งการเดินทางไปโรงพยาบาลในเวลาราว 16.00 น.ก็สร้างความหวาดผวาให้เรามากพอสมควร เพราะเราเหมือนคนที่ถูกสาปมาตั้งแต่เกิด ให้เหงื่อไหลง่ายมาก เหมือนถ้าอุณหภูมิเกิน 28 องศาเซลเซียสเมื่อไหร่ เราจะเริ่มเหงื่อออก (ชาติหน้าดิฉันขอเกิดในประเทศที่มีภูมิอากาศ Tundra และ Taiga เท่านั้นค่ะ) เราก็เลยกังวลมากว่าจะเดินทางยังไงดี ไม่ให้เหงื่อไหลเข้าตา จะเรียก taxi ไปก็กลัวต้องใช้เวลาเดินทางล่วงหน้าราว 2 ชั่วโมง เพราะแถวรพ.รถติดมาก แต่ถ้าหากเราไปด้วยรถไฟฟ้า เราก็ต้องเดินฝ่าอีเหี้ยอีห่าในซอยเป็นระยะทางราว 300-400 เมตรจากรถไฟฟ้าไปโรงพยาบาล แล้วเหงื่อจะไหลเข้าตากูไหม

 

เราก็เลยนั่งมอเตอร์ไซค์จากอพาร์ทเมนท์ไปโรงพยาบาล ปรากฏว่า มอเตอร์ไซค์ดันไปติดตรง 4 แยก ขณะแดดส่องจ้าลงหัวเรา เราก็ลุ้นระทึกเลยว่า เหงื่อจะไหลออกมาไหม ดีที่รถมอเตอร์ไซค์ติดอยู่กลางแสงแดดไม่นานมากนัก เหงื่อเราก็เลยไม่ไหล เราก็เลยยังมีชีวิตรอดมาได้จนถึงวันนี้

 

 

No comments: