ขอจดบันทึกความทรงจำสำหรับประสบการณ์ช่วงนี้ไว้นะ เผื่อไว้ให้ตัวเองกลับมาอ่านในอนาคต
ถ้าสั้นๆก็คือว่า เราผ่าตัดต้อกระจกตาขวาไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 ธ.ค.
การผ่าตัดเรียบร้อยราบรื่นดี ช่วงผ่าน่าจะใช้เวลาแค่ 15 นาที กราบขอบพระคุณคุณหมอและพยาบาลมากๆ
และขอบพระคุณทุกคนมากๆที่อวยพรให้เราในช่วงที่ผ่านมา วันนั้นตอนมาโรงพยาบาลเรามาคนเดียว
แต่ขากลับเราไม่มั่นใจ ก็เลยนัดมิสแคชฟียา เพื่อนสาวเดนตายจากสมัยมัธยมให้มาช่วยดูแลเราตอนออกจากโรงพยาบาลด้วย
กราบขอบพระคุณมิสแคชฟียามากๆ
ตอนนี้เราก็เหลือผ่าต้อกระจกตาซ้ายในอีกราว 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ก็หวังว่าจะเรียบร้อยราบรื่นเหมือนเดิม แต่วันนั้นมิสแคชฟียาไม่ว่าง
เราก็เลยกะว่าคงไปผ่าตัดคนเดียวและกลับคนเดียว
เพราะดูๆแล้วตอนขากลับก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น สามารถเดินทางกลับเองได้สบายมาก
(เรียกรถ taxi กลับ) ชีวิตสาวโสดต้องรู้จักดูแลตัวเอง
พึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุดค่ะ
ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดเพิ่มเติม
ช่วงก่อนผ่าตัดก็เครียดสุดๆ
เพราะเราเหมือนมีอาการป่วยเป็นคออักเสบก่อนผ่าตัดราว 1 สัปดาห์ เราก็กลัวมากๆ
กลัวว่าถ้าหากเกิดไอจามขึ้นมาตอนผ่าตัด ตาเราจะบอด เราก็เลยรีบกิน Clarithromycin ทันที
เพื่อยับยั้งอาการคออักเสบ พอกิน Clarithromycin ไปแล้วอาการคออักเสบก็ดีขึ้นมาก
แต่ยามันต้องกินให้ครบ 7 วัน พอเรากินยานี้ไปได้แค่ 2 วัน เราก็ปวดท้องอย่างรุนแรง
เราเดาว่าเป็นผลข้างเคียงจากยา เราก็เลยกินขมิ้นชัน ซึ่งทำให้อาการปวดท้องดีขึ้น
แต่พอเรากินขมิ้นชันไปได้ 2 วัน เราเกิดสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง ก็เลย google
ดู เห็นมีคนบอกว่า “ต้องงดกินขมิ้นชันก่อนผ่าตัด 14 วัน”
เพราะมันจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด หรืออะไรทำนองนี้
เราก็ร้องวี้ด แล้วก็เลยไปคลินิกหาหมอ ปรึกษาว่าจะทำยังไงดี
หมอก็เลยให้ยา Pariet ลดกรดในกระเพาะมา เราลองกิน Pariet ควบคู่ไปกับ Clarithromycin แล้วก็พบว่ามัน
work มากสำหรับเรา เพราะมันไม่ทำให้เราปวดท้องอีก
นอกจากอาการป่วยทางร่างกายก่อนผ่าตัดแล้ว เราก็เครียดทางใจด้วย กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายอะไรต่างๆมากมายในช่วงก่อนผ่าตัด,
ระหว่างผ่าตัด และหลังผ่าตัด แต่พอเราเครียดกังวลเรื่องนี้ไปสักพักนึง
เราก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่กูกำลังทำตัวแบบตัวละครที่กูเกลียดในหนังฆาตกรโรคจิตนี่นา
55555 เพราะในหนังฆาตกรโรคจิตและหนังภัยพิบัติต่างๆนั้น
ตัวละครที่เราเกลียดก็คือตัวละครที่เจอปัญหาใหญ่คับขัน แล้วก็สติแตก panic ร้องห่มร้องไห้
ทำอะไรไม่ถูก แทนที่จะตั้งสติ แล้วคิดหาทางแก้ไขปัญหาคับขันโดยเร็วที่สุดเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้
พอเรารู้สึกว่าเรากำลังทำตัวเหมือนตัวละครที่เราเกลียดในหนังเรื่องต่างๆ
เราก็เลยตั้งสติได้ แล้วก็คิดว่าสิ่งที่เราควรทำในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
ก็คือทำจิตให้นิ่งที่สุด ยิ่งจิตเรานิ่งเท่าไหร่ มันก็น่าจะดีต่อตัวเราเองมากเท่านั้น
ช่วงหลายวันก่อนผ่าตัด เราก็เลยพยายามทำจิตให้นิ่งที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
พอทำจิตให้นิ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่จินตนาการถึงอะไรต่างๆโดยไม่จำเป็นแล้ว
เราก็เลยสบายใจขึ้น วันก่อนผ่าตัดเราก็เลยออกไป fitness, ไปดู video
installation แล้วก็ดูหนังสองเรื่อง ส่วนวันผ่าตัด
เราก็นั่งจดบันทึกความทรงจำที่มีต่อหนังเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆ เรื่องสุดท้ายที่เราเขียนก่อนผ่าตัดก็คือ
THE CON-HEARTIST พอเราเขียนเสร็จแล้วเราก็เข้าห้องผ่าตัดไปเลย
การผ่าตัดตาก็ราบรื่นมาก ตอนแรกเรานึกว่าเราจะเห็นมีดกรีดลงมาที่ตาเรา
แต่พอตอนผ่าตัดจริงๆ เขาจะฉายไฟดวงใหญ่ส่องมาที่ตาของเรามั้ง ดวงตาของเราก็เลยจะเห็นแต่แสงไฟวูบไหวไปมาตลอดช่วง
15-20 นาทีที่หมอผ่าตาของเรา นึกว่ากำลังดูหนังทดลองอะไรสักเรื่องตลอดช่วง 15-20
นาทีนั้น
แต่สิ่งที่เราทำพลาดอย่างนึงในวันผ่าตัดตาก็คือเราไม่ได้ใส่เสื้อยืดแบบคอคว้านลึกมาด้วย
55555 หรือใส่เสื้อเชิ้ต เพราะวันนั้นเราใส่เสื้อยืดคอกลมธรรมดามา
แล้วพอก่อนผ่าตัดก็ต้องถอดเสื้อออก ใส่ชุดคนไข้ผ่าตัด พอผ่าตัดเสร็จ
เราก็สวมเสื้อยืดกลับ ทีนี้พอมันเป็นคอกลมเล็กๆ พอตอนใส่เสื้อยืดกลับเข้าไป
คอเสื้อมันก็เลยเหมือนไปกดตาที่ผ่าตัด+กระบอกครอบตา ทำให้เราเจ็บตานิดนึง
แล้วพอกลับถึงบ้าน พอเราถอดเสื้อยืดออก คอเสื้อมันก็ไปโดนหรือกระทบตาที่ผ่าตัดอีก
รู้งี้เราใส่เสื้อยืดแบบคอคว้านลึกมาผ่าตัดดีกว่า 55555
เวลาถอดเสื้อหรือสวมเสื้อมันจะได้ไม่กระเทือนลูกตา
เดี๋ยวพอผ่าตาซ้าย เราคงใส่เสื้อเชิ้ตไปผ่าตัดแล้วล่ะ
ไม่ใส่เสื้อยืดแล้ว จะได้ถอดเสื้อ+ใส่เสื้อได้โดยไม่กระเทือนลูกตา
ตอนนี้เราก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากพอสมควร เพราะตาห้ามโดนน้ำนาน 1
เดือน และตา 2 ข้างของเรามองเห็นไม่เท่ากันในตอนนี้ เพราะก่อนหน้านี้ ตา 2
ข้างของเราสั้นประมาณ 650-750 และยาวประมาณ 100-175 น่ะ
คือเป็นตาที่ทั้งสั้นทั้งยาวในตาเดียวกัน
พอผ่าตัดเสร็จแล้ว เลนส์ใหม่ที่ใส่เข้าไปในตาขวา
มันเป็นเลนส์ที่แก้สายตาสั้นให้เราด้วย เพราะฉะนั้นตอนนี้ตาขวาเราก็น่าจะยาวประมาณ
100-175 ส่วนตาซ้ายของเราน่าจะสั้น 650-750 และยาวประมาณ 100-175
ก็คือว่า ถ้าหากตอนนี้เราถอดแว่น
ตาของเราก็จะมองเห็นชัดแค่ตาขวาข้างเดียว ส่วนตาซ้ายภาพจะเบลอมาก
แต่ถ้าหากเราใส่แว่น ซึ่งเป็นแว่นที่ตาซ้ายเป็น lens progressive แต่ตาขวาเป็นเลนส์เปล่า
เราก็จะเห็นภาพชัดทั้งสองตา แต่เป็นภาพที่มีขนาดไม่เท่ากัน ภาพนึงใหญ่ ภาพนึงเล็ก
มันเหมือนเราเห็นเป็น double vision ซ้อนกันตลอดเวลา
เหมือนเห็นวัตถุ 1 ชิ้น กลายเป็นวัตถุ 2 ชิ้นที่มีขนาดใหญ่เล็กซ้อนเหลื่อมกัน
งงมากๆ นึกว่าอยู่ในฉากไคลแม็กซ์ของหนังเรื่อง GOODBYE TO LANGUAGE (2014, Jean-Luc
Godard) 55555
ตอนนี้เราก็เลยอ่านและเขียนสิ่งต่างๆด้วยความยากลำบากกว่าเดิมมาก
แต่ก็คงจะเป็นเช่นนี้แค่ 2 สัปดาห์แหละ พอเราผ่าตาซ้ายเสร็จแล้ว
ตาสองข้างของเราก็คงจะเห็นภาพที่มีขนาดเท่ากัน
ส่วนเวลาเราออกไปเดินข้างนอก เวลาเราขึ้นหรือลงบันได เราจะเห็นขั้นบันได
1 ขั้นกลายเป็น 2 ขั้น อะไรทำนองนี้ ทำให้เรากะระยะไม่ได้ เราก็เลยใช้วิธีเอามือขึ้นมาปิดแว่นข้างขวาเอาไว้เวลาขึ้นหรือลงบันได
พอเราทำแบบนี้ เราก็จะเห็นขั้นบันไดไม่ซ้อนเหลื่อมกัน ทำให้ขึ้นหรือลงบันไดได้
ส่วนเรื่องไม่ให้ตาโดนน้ำนาน 1 เดือนนั้น มันก็สร้างความยากลำบากให้เรามากทั้งตอนอยู่ในอพาร์ทเมนท์และตอนอยู่นอกอพาร์ทเมนท์
คือตอนแรกเรานึกว่ามันจะแค่สร้างปัญหาให้เราตอนอาบน้ำเท่านั้น
แต่เอาเข้าจริง เราต้องระวังตัวตลอดเวลาเลย ยกตัวอย่างเช่น มีบางครั้งที่เราล้างมือ
แล้วเราก็จะหยิบแว่นมาสวม แต่เราก็นึกขึ้นมาได้ว่า หยดน้ำจากมือเรา
จะไปติดที่ขอบแว่น แล้วหยดน้ำที่ขอบแว่นของเรา ก็จะไหลเข้าตาเรา
เพราะฉะนั้นเราจะทำแบบนี้ไม่ได้เป็นอันขาด มันเหมือนกับว่ามีอะไรที่เราต้องระวังเยอะมาก
ต้องตั้งสติตลอดเวลาที่เราเข้าห้องน้ำ ต้องคิดเสมอว่า
เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าห้องน้ำ เมื่อนั้นเรากำลังอยู่ในหนังเรื่อง FINAL DESTINATION มันมีภัยพิบัติที่คาดไม่ถึงในห้องน้ำที่พร้อมจะเล่นงานเราได้ทุกเมื่อ
เมื่อวานหมอนัดให้เราไปดูอาการหลังผ่าตัด
ซึ่งการเดินทางไปโรงพยาบาลในเวลาราว 16.00 น.ก็สร้างความหวาดผวาให้เรามากพอสมควร
เพราะเราเหมือนคนที่ถูกสาปมาตั้งแต่เกิด ให้เหงื่อไหลง่ายมาก
เหมือนถ้าอุณหภูมิเกิน 28 องศาเซลเซียสเมื่อไหร่ เราจะเริ่มเหงื่อออก (ชาติหน้าดิฉันขอเกิดในประเทศที่มีภูมิอากาศ
Tundra และ Taiga
เท่านั้นค่ะ) เราก็เลยกังวลมากว่าจะเดินทางยังไงดี
ไม่ให้เหงื่อไหลเข้าตา จะเรียก taxi ไปก็กลัวต้องใช้เวลาเดินทางล่วงหน้าราว
2 ชั่วโมง เพราะแถวรพ.รถติดมาก แต่ถ้าหากเราไปด้วยรถไฟฟ้า เราก็ต้องเดินฝ่าอีเหี้ยอีห่าในซอยเป็นระยะทางราว
300-400 เมตรจากรถไฟฟ้าไปโรงพยาบาล แล้วเหงื่อจะไหลเข้าตากูไหม
เราก็เลยนั่งมอเตอร์ไซค์จากอพาร์ทเมนท์ไปโรงพยาบาล ปรากฏว่า
มอเตอร์ไซค์ดันไปติดตรง 4 แยก ขณะแดดส่องจ้าลงหัวเรา เราก็ลุ้นระทึกเลยว่า
เหงื่อจะไหลออกมาไหม ดีที่รถมอเตอร์ไซค์ติดอยู่กลางแสงแดดไม่นานมากนัก
เหงื่อเราก็เลยไม่ไหล เราก็เลยยังมีชีวิตรอดมาได้จนถึงวันนี้
No comments:
Post a Comment