AS A (MOTION) PICTURE (2018, Supawith Utama, 28min, second viewing,
A+25)
ดูหนังได้ที่นี่
https://www.youtube.com/watch?v=RCTYNj6MIZU
1.ชอบความเป็นหนังซ้อนหนัง
โดยเฉพาะช่วงท้ายๆที่มันแสดงให้เห็นถึงความคล้องจองกันระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดใน AS
A (MOTION) PICTURE กับเหตุการณ์ที่เกิดใน HI, GOODBYE 3 ซึ่งเป็นหนังที่เต้ย (ณัฐธีร์ อัครพลธนรักษ์) พระเอกของเรื่องกำลังกำกับอยู่
หนังทำให้เราเข้าใจได้ว่า เหตุการณ์ต่างๆใน
HI, GOODBYE 3 ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเต้ย
เพราะนางเอกของ HI, GOODBYE 3 ชอบวาดรูปเหมือนนัท และบทสนทนาของพระเอกนางเอกใน
HI, GOODBYE 3 ก็คล้องจองกับบทสนทนาของนัทและเต้ย
เราว่าตรงนี้มันเป็น magic ที่งดงามดี
2.แต่เราก็ไม่ได้ชอบหนังอย่างสุดๆนะ
คงเพราะเราไม่มีประสบการณ์ร่วมกับในหนัง 555 ประสบการณ์อาลัยอาวรณ์แฟนเก่า
แต่ก็ยังคงติดต่อประสานงานกับแฟนเก่าได้อย่างเป็นมิตรกันอยู่ เหมือนเราอาจจะไม่ใช่ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายของหนังเรื่องนี้ซะทีเดียว
3.บางทีหนังอาจจะต้องการ magic มากกว่านี้ก็ได้นะ คือเราแอบคิดว่า
ไหนๆหนังเรื่องนี้มันพูดถึงภาพวาดแบบ Impressionism แล้ว
หนังก็น่าจะทำออกมาแบบ Impresionism เหมือนกัน เพราะเราว่าหนังมันดู
realism มากๆสำหรับเรา คือมันดู real ในแง่ที่ว่า
ถึงมันจะเป็นหนังซ้อนหนัง มันก็เล่าเรื่องเรียงตามลำดับเวลา และมันเหมือนไม่มี magic
moment ที่สะท้อนภาพความคิดความรู้สึกของตัวละครออกมาน่ะ
คือภาพในหนังมันดูเป็นภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เหมือนเราเป็นหนึ่งในทีมงานกองถ่าย
และเราสามารถแอบลอบสังเกตเห็นอะไรเหล่านี้ด้วยตาตัวเองได้
แต่เราจะไม่สามารถล้วงลึกเข้าไปรู้ได้ว่า
เต้ยและนัทคิดหรือรู้สึกอย่างรุนแรงอะไรข้างในกันแน่
คือหนังก็ถ่ายทอดความรู้สึกของเต้ยออกมาได้ดีในระดับนึงนะ
(เหมือนเต้ยน่าจะรู้สึกรุนแรงอยู่ภายใน แต่เขาพยายามจะไม่แสดงมันออกมา)
แต่มันเหมือนหนังเลือกที่จะกันตัวเองออกไปเป็นคนนอกที่มองเต้ยกับนัทอยู่ห่างๆในระดับนึงน่ะ
หนังยังไม่ได้เลือกที่จะเป็นสายตาและหัวใจของเต้ยที่มองออกมาข้างนอก
แต่เราว่าถ้าหากหนังเลือกที่จะทำตัวเป็น Impressionism ไม่เน้นความสมจริง
อะไรพวกนี้ มันก็จะเป็นการเล่นท่ายาก และอาจจะพังได้ง่ายๆเหมือนกัน ถ้าหากไม่มี sense
ทางนี้จริงๆ เพราะฉะนั้นการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมาแบบนี้ก็ถือเป็นการ
play safe ที่ดีเหมือนกัน
คือเราคิดไปถึงพวกหนังกลุ่ม Post New Wave ของฝรั่งเศสน่ะ
โดยเฉพาะพวกหนังที่กำกับโดย Philippe Garrel เพราะหนังกลุ่มนี้หลายๆเรื่องมันคือ
autobiography ของชีวิตรักของผู้กำกับเลย แต่มันทำออกมาแล้ว magical
อย่างรุนแรงมากๆ โดยเฉพาะหนังแบบ THE BIRTH OF LOVE (1993,
Philippe Garrel) และ PHANTOM HEART (1996, Philippe Garrel)
เราก็เลยคิดว่า ถ้าหากใครอยากจะทำหนังแนว romantic
autobiography ก็อาจจะลองศึกษาหนังกลุ่มนี้เป็น reference ดูได้
4. ต้องขอสารภาพว่า ชอบ HI, GOODBYE 2 (2016, Supawith Utama, A+30) มากกว่า แต่เป็นชอบในแบบ guilty pleasure เพราะ HI,
GOODBYE 2 นี่ ครึ่งนึงของหนังมันคือ “สายตาของหญิงสาวที่มองหนุ่มหล่อ”
น่ะ เพราะฉะนั้นหนังมันก็เลยเข้าทางเราอย่างสุดๆ 55555
ส่วน AS A (MOTION) PICTURE มันเป็นเหมือนสายตาของคนนอกที่มองพระเอกกับนางเอกน่ะ
และหนังมันเน้นสะท้อนความรู้สึกรุนแรงอะไรบางอย่างในใจพระเอก เหมือนหนังเน้น “ความรู้สึกของพระเอกที่มีต่อนางเอก
และความรู้สึกของพระเอกที่มีต่ออดีตของตัวเอง” น่ะ
เราก็เลยไม่ค่อยอินกับหนังมากนัก
แต่ก็ย่อมต้องมีผู้ชมคนอื่นๆที่อาจจะอินกับจุดนี้อย่างรุนแรงได้
นอกจากเราจะไม่ค่อยอินกับตัวอารมณ์หลักของหนังแล้ว
หนังทั้งเรื่องยังถูกปกคลุมไปด้วย “ความเครียดในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง HI, GOODBYE 3” ด้วย
เราเลยเหมือนยิ่งถอยห่างจากอารมณ์ในหนังมากยิ่งขึ้น
สรุปว่า เรารู้สึกเหมือนกับว่า อารมณ์ใน HI, GOODBYE 2 มันคือ
“หวานๆ เศร้าๆ น่ารักๆ” แต่อารมณ์ใน AS A (MOTION) PICTURE มัน
“หวานๆ เศร้าๆ เครียดๆ” มันก็เลยอาจจะเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้เรามีความสุขกับการดู HI,
GOODBYE 2 มากกว่า 555
5.เหมาะฉายควบกับหนัง ICT SILPAKORN เรื่อง SOME
RECOLLECTIONS OF YOU (2013, ฉัตราวุฒิ ชลายนะเดชะ) มากๆ
อันนี้คือเรื่องย่อของ SOME RECOLLECTIONS OF YOU
“"ชายหนุ่มเลือกผลิตภาพยนตร์ตัวจบเกี่ยวกับความรักครั้งเก่า
ทว่าเหตุการณ์มากมายในอดีตเข้ากระแทกความรู้สึกของตัวตนในปัจจุบัน"”
No comments:
Post a Comment