Sunday, December 27, 2020

MY SECOND CATARACT SURGERY

 

บันทึกความทรงจำสำหรับชีวิตช่วงนี้ แบบสั้นๆก็คือว่า เราผ่าต้อกระจกตาซ้ายมาแล้วเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน การผ่าตัดราบรื่นดี เราเดินทางไปโรงพยาบาลคนเดียว เดินทางกลับเองคนเดียว ตอนนี้ผ่าตาขวามานาน 3 สัปดาห์แล้ว และผ่าตาซ้ายมานาน 1 สัปดาห์แล้ว หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่เราก็ยังรู้สึกไม่ไว้วางใจ ตอนนี้ยังคงต้องระวังไม่ให้ดวงตาโดนน้ำในช่วง 3 สัปดาห์ข้างหน้า

 

แบบยาวๆ

 

พอจะผ่าต้อกระจกดวงตาอีกข้าง เราก็พยายามไม่คิดมาก ไม่กังวล ทำจิตให้นิ่งที่สุดเหมือนตอนเตรียมผ่าดวงตาข้างแรก เรามีกำหนดผ่าต้อกระจกตาซ้ายในวันอาทิตย์ที่ 20 ธ.ค. เราก็ใช้ชีวิตในวันเสาร์ที่ 19 ธ.ค.อย่างมีความสุข ทุกอย่างราบรื่นดี เรากะว่าจะเข้านอน 22.00 น. และตื่นนอนสัก 6-7 โมงเช้าในวันรุ่งขึ้น เราจะได้มีเวลานอนสัก 8-9 ชั่วโมง ร่างกายของเราจะได้พร้อมสำหรับการผ่าตัดในวันอาทิตย์

 

แต่ปรากฏว่าตอน 22.00 น.ของวันเสาร์ที่ 19 ธ.ค. ก่อนกูจะเข้านอน มันเกิดอะไรขึ้นคะ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือข่าวการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาจำนวนหลายร้อยคนที่จังหวัดสมุทรสาครค่ะ อีเหี้ย พอกูกะว่าจะเข้านอน 4 ทุ่ม กูก็เลยเข้านอนไม่ได้เลย เหมือนโลกพลิกคว่ำในบัดดล สรุปว่าคืนนั้นกว่าจะได้เข้านอนก็เกือบเที่ยงคืน เพราะเราพยายามไล่อ่านข่าวว่ามันเกิดเหี้ยอะไรกันขึ้นคะเนี่ย แล้วกูจะใช้ชีวิตยังไงต่อจากนี้ถ้าหากเกิดล็อกดาวน์อีกครั้ง

 

พอเข้านอนไปแล้ว วิบากกรรมก็ยังไม่หมด ปรากฏว่ากูตื่นขึ้นมาตอนตี 3 แล้วพบว่ามันมีเสียงวี้ดๆหึ่งๆอะไรไม่รู้ดังมาก นอนไม่ได้เลย เราก็เลยใส่ที่อุดหู ปรากฏว่ามันไม่ช่วยอะไร เพราะมันเหมือนเสียงที่มี vibration น่ะ ซึ่งที่อุดหูมันช่วยกันเสียงพวกนี้ไม่ได้ มันเหมือนที่อุดหูช่วยกันได้เฉพาะเสียงแหลมๆอะไรพวกนี้ แต่เสียงทุ้มๆที่มี vibration มันกันไม่ได้

 

เราพยายามจะนอนให้หลับ ก็นอนไม่หลับ จนกระทั่งตี 4 เราทนไม่ไหวแล้ว เราก็เลยย่องออกมานอกห้อง พยายามหาต้นตอของเสียงว่ามันคือเสียงอะไร ปรากฏว่าเราเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ จนพบว่ามันคือเสียงเครื่องปั๊มน้ำและท่อน้ำในตึกอพาร์ทเมนท์เราเอง ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดเหตุอาเพศอะไรขึ้นมา มันถึงส่งเสียงดังเป็นพิเศษในคืนอันสำคัญนี้ แล้วเสียงนั้นก็เงียบไปราวๆตี 4 ครึ่ง แล้วกว่ากูจะหลับก็ตี 5 สรุปว่าคืนนั้นเราได้นอนราว 5 ชั่วโมง (เที่ยงคืนถึงตี3 + ตี 5 ถึง 07.00 น.) ตื่นมาแล้วก็สงสัยว่า การได้นอนแค่ 5 ชั่วโมงมันจะส่งผลกระทบอะไรต่อการผ่าตัดไหม แต่ก็คิดว่าคงไม่มั้ง

 

หลังจากคืนนั้นอีเสียงเครื่องปั๊มน้ำก็ไม่เคยดังกระหึ่มอีกเลยนะในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เราก็เลยแอบสงสัยว่า มันเป็นผลจาก “มโนกรรม” ของเราหรือเปล่า 555 เพราะเคยมีคนสอนเราว่า ถ้าหากเรา “แช่ง” ให้ใครได้รับผลร้ายอะไร เราจะกลายเป็นคนที่ได้รับผลจากคำสาปแช่งนั้นซะเอง

 

เราก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า ในอดีตนั้นเราเคยเกลียดผู้เช่าอพาร์ทเมนท์บางห้องมากๆ เพราะผู้เช่าอพาร์ทเมนท์บางห้องชอบเปิดประตูห้อง แล้วทำให้เสียงในห้องของเขาดังออกมา แต่โชคดีที่ห้องของเราอยู่ห่างจากห้องของอีนั่นมากพอสมควร (เป็นห้องของนิสิตหญิงคนนึง) ห้องของเราก็เลยไม่ค่อยได้ยินเสียงดังจากห้องนั้น (ยกเว้นมีครั้งนึงที่ห้องนั้นเหมือนจัดงานเลี้ยง มีเพื่อนๆมาชุมนุมกันหลายคน เสียงดังมากๆ ตอนนั้นเราก็เลยเดินไปบอกเขาโดยตรงให้ช่วยปิดประตูห้อง และเขาก็ปิดประตูห้องให้แต่โดยดี) แต่เราก็แอบด่าอีห้องนั้นในใจว่า “ทำไมมึงชอบเปิดประตูห้องนะ ไม่เกรงใจคนอื่นๆบ้างเลย ระวังเหอะ กรรมจะตามสนอง คอยดูนะ ถ้าหากมีวันไหนที่มึงต้องอ่านหนังสือสอบ มึงอาจจะเจอเสียงดังรบกวนจนอ่านหนังสือสอบไม่ได้ก็ได้ แล้วมึงก็จะรู้ว่าการส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นให้ผลร้ายอย่างไร”

 

คือเหมือนเราเคยคิดสาปแช่งนิสิตหญิงห้องนั้นให้เจอเสียงดังรบกวนในคืนสำคัญแบบคืนที่ต้องอ่านหนังสือสอบน่ะ แล้วพอเราเจอเหตุการณ์เสียงเครื่องปั๊มน้ำดังกระหึ่มโดยไม่มีสาเหตุในคืนสำคัญของชีวิตเรา (คืนก่อนผ่าตัดตา) เราก็เลยคิดถึงคำสอนเรื่อง “ถ้าหากเราคิดสาปแช่งใครอะไรในใจ ระวังมันจะเข้าตัวเอง” ขึ้นมาในทันที บางทีคำสอนนี้อาจจะเป็นจริงก็ได้นะ

 

พอตื่นนอน แดกข้าวเช้า เราก็ไปโรงพยาบาล และเข้าผ่าตัดตาข้างซ้าย การผ่าตัดตาครั้งที่สองดูเหมือนมีอะไรแตกต่างจากครั้งแรก เพราะในการผ่าตัดครั้งแรกนั้น เรามองเห็นแต่แสงไฟ แต่มองไม่เห็นมีดผ่าตัดหรือเครื่องมือหมอแต่อย่างใด แต่ในการผ่าตัดครั้งที่สองนั้น เหมือนเรามองเห็นเลาๆว่ามีอุปกรณ์จะทิ่มเข้ามาที่ตาเราหรือจะเข้ามากรีดตาเรา และเหมือนเรามองเห็นเลือดไหลทะลักที่ตาเราด้วย เพราะเราเห็น “สีชมพู” กองอยู่บนดวงตาเราน่ะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เห็นในการผ่าตัดตาครั้งแรก เราก็เลยเดาว่าไอ้กองสีชมพูที่เราเห็นในครั้งนี้ คงเป็นเลือดไหลทะลักที่ตาเราเอง เราว่าการผ่าตัดครั้งที่สองนี้มันเจ็บทรมานกว่าครั้งแรกด้วย เราแอบสงสัยว่ายาชามันออกฤทธิ์ช้าเกินไปหรือเปล่า เพราะในการผ่าตัดครั้งที่สองนั้น เราเจ็บตอนผ่าตัด แต่หลังผ่าตัดแล้วเราไม่เจ็บ (เหมือนยาชาเพิ่งมาออกฤทธิ์ 555) แต่ในการผ่าตัดตาครั้งแรกนั้น เราไม่เจ็บตอนผ่าตัด แต่เรารู้สึกเจ็บหลังผ่าตัด

 

พอผ่าตัดเสร็จ เราก็โล่งใจ เรียก taxi กลับอพาร์ทเมนท์ เดินทางกลับด้วยตัวเองคนเดียวได้แล้ว

 

หลังจากนั้นเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับดวงตาคู่ใหม่ เพราะจากเดิมที่เราเคยเป็นคนที่ตา “ทั้งสั้นทั้งยาว” (สั้น 700-750 ยาว 100-150) ตอนนี้เราก็กลายเป็นคนสายตายาวอย่างเดียว ซึ่งทำให้เราใช้ชีวิตลำบาก เพราะเราต้องใส่แว่นสายตายาวในการอ่านหนังสือ+อ่านมือถือ+เล่นเน็ต + ส่องดูอะไรเล็กๆ เราก็เลยต้องพึ่งแว่นสายตายาวที่เราซื้อจากข้างถนนในราคาอันละ 70-100 บาท ซึ่งแว่นราคาถูกพวกนี้ พอเราใส่แล้วมันก็ช่วยให้เราอ่านหนังสือได้ แต่แว่นราคาถูกพวกนี้มัน “มัว” เร็วมาก คือเหมือนพอใส่ไปได้แค่ 1 ชั่วโมง มันก็เต็มไปด้วยคราบฝุ่น, คราบไขมัน คราบเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ เราใช้กระดาษเช็ดแว่นของมูจิเช็ด มันก็ไม่สะอาดเหมือนแว่นปกติ แล้วจะให้เราเอาแว่นพวกนี้ไปล้างทุก 1 ชั่วโมง มันก็เหนื่อยเกินไปน่ะ เพราะล้างเสร็จแล้วก็ต้องเช็ดให้แห้ง ไม่ให้เหลือน้ำติดอยู่ที่แว่นแม้แต่หยดเดียว

 

เราจะไปร้านแว่นเพื่อตัดแว่นใหม่ก็ยังไม่ได้ด้วย เพราะหมอแนะนำว่าควรตัดแว่นใหม่หลังจากผ่าตัดไปแล้ว 3 เดือน (คงจะเพื่อรอให้สายตามันคงที่ก่อน) ตอนนี้เราก็เลยต้องพึ่งแว่นราคาถูกพวกนี้ไปก่อน แล้วก็อยู่กับความมัวของแว่นพวกนี้ต่อไป

 

นอกจากความมัวของแว่นแล้ว ตาซ้ายของเราก็มัวหลังผ่าตัดด้วย มันเหมือนมีฝ้าๆ หมอกๆอยู่ แต่หมอบอกว่าไม่เป็นอะไร เดี๋ยวมันจะค่อยๆหายไปเอง เราก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้ผ่านมานาน 1 สัปดาห์แล้ว มันยังมีฝ้าๆหมอกๆอยู่เลย เหมือนหมอกๆพวกนี้มันลดลงไปบ้างในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มันยังไม่หายไปทั้งหมด เราก็เลยแอบเป็นกังวล

 

อีกสิ่งนึงที่ทำให้เราประสาทแดกทุกวัน ก็คือเรากลัวการติดเชื้อ เพราะถ้าหากน้ำเข้าตา ตาจะติดเชื้อ และตาบอดได้ หมอบอกว่าอัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 0.1% เราก็เลยคิดคำนวณในใจแล้วพบว่า นั่นก็เท่ากับว่า “ทุก 1000 คน อาจจะมีคนตาบอดหลังผ่าตัด 1 คนน่ะสิ” เราก็เลยกลัวมากๆ

 

พอเรากลัวการติดเชื้อ เราก็เลยสังเกตดวงตาของเราทุกวันว่า ตาของเรา “แดง” หรือเปล่า แล้วเราก็ไม่สบายใจ เพราะตาของเรามันดูแดงๆ โดยเฉพาะข้างซ้าย มันเหมือนเห็นเส้นเลือดฝอยแดงๆ เยอะๆ แล้วบางครั้งก็เหมือนมีอะไรแดงๆอยู่รอบตาดำด้วย มันดูเหมือนว่ามีเลือดไหลออกจากตาดำ อะไรทำนองนี้ เราก็เลยต้องถามตัวเองทุกวันว่า นี่ตาของเราแดงเกินไปไหม เราควรจะเดินทางไปโรงพยาบาลหรือเปล่า

 

วันนี้หมอนัดตรวจอีกครั้ง ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ เราถามหมอเรื่องเส้นเลือดฝอยแดงๆที่ดวงตา หมอก็บอกว่าถ้าหากตาแห้ง มันจะเห็นเส้นเลือดฝอยแดงๆพวกนี้เด่นชัด หรืออะไรทำนองนี้ เราก็เลยสบายใจเรื่องเส้นเลือดฝอยแดงๆ แต่ยังไม่สบายใจเรื่องหมอกๆฝ้าๆที่ดวงตา

 

เนื่องจากวันนี้เราต้องเดินทางไปหาหมอที่โรงพยาบาลอยู่แล้ว เราก็เลยกะว่า พอหาหมอเสร็จแล้ว ถ้าหากทุกอย่างเรียบร้อยดี เราจะไปดูหนังในโรงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ด้วย เรากะว่าอาจจะดูหนังในโรงสัก 2 เรื่อง แล้วถ้าหากการดูหนังในโรงวันนี้ราบรื่นดี เราก็กะว่าเราอาจจะออกมาดูหนังในโรงสักวันละ 1 เรื่องในช่วง 3 สัปดาห์หลังจากนี้ (ถ้าหากโรงหนังยังไม่ปิดเพราะโควิด)

 

แต่ปรากฏว่าพอทำจริงๆ เราก็พบว่าเราตัดสินใจผิดพลาด ประการแรกคือ กูประมาทกับความร้อนของอากาศเมืองไทยไม่ได้จริงๆ เพราะขนาดช่วงนี้เป็นฤดูหนาวของประเทศไทย แต่แค่กูยืนรอรถไฟฟ้า เหงื่อก็ซึมออกมาเต็มหน้าผากกูแล้ว เราต้องคอยซับเหงื่อตลอดเวลาขณะที่อยู่นอกรถไฟฟ้าหรือนอกห้างสรรพสินค้า

 

เราไปซื้อตั๋วหนังเรื่อง SOUL รอบเที่ยงที่พารากอน แล้วพอก่อนถึงเวลาฉาย เราก็เข้าห้องน้ำ แล้วก็ร้องกรี๊ด เพราะเราพบว่า มันมีขนตาหลุดอยู่ในตาขวาของเราน่ะ ซึ่งมันลำบากมากในการเอาขนตาออกมา คือถ้าเป็นในช่วงก่อนผ่าตัด เราก็เอาน้ำจากก็อกหยอดเข้าลูกตา แล้วใช้นิ้วเขี่ยขนตาหลุดออกมาได้เลย แต่นี่เป็นช่วงหลังผ่าตัด ตาห้ามโดนน้ำเป็นเวลา 1 เดือนหลังผ่าตัด การจะเอาขนตาออกมา เราต้องใช้น้ำตาเทียม, ใช้แว่นขยายส่องดูดวงตา (เพราะเรากลายเป็นคนสายตายาวแล้ว ถ้าหากเรามองด้วยตาเปล่า เราจะไม่แน่ใจว่าขนตามันหลุดออกมาแล้วยัง) และใช้ cotton buds เขี่ยขนตาออกมา ซึ่งเราไม่ได้พกแว่นขยายกับ cotton buds ติดตัวมาด้วย จะให้ไปซื้อตอนนี้ มันก็จะไม่ทันหนังฉายแล้ว เราก็เลยหยดน้ำตาเทียมเข้าไปในตาขวาของเรา แล้วเราก็ตัดสินใจไม่ดู SOUL ทั้งๆที่ซื้อตั๋วมาแล้ว เรารีบเดินทางกลับอพาร์ทเมนท์ พอมาถึงอพาร์ทเมนท์ เราใช้แว่นขยายส่องดูตาขวา ก็ไม่เจอขนตาแล้ว แต่เราเจอขนตาติดอยู่ที่แว่นตาของเราแทน น้ำตาเทียมมันคงช่วยให้ขนตาหลุดออกมาติดที่แว่นนี่เอง

 

เราก็เลยตัดสินใจยกเลิกแผนการที่วางไว้สำหรับช่วง 3 สัปดาห์ข้างหน้า เราคงไม่ออกมาดูหนังโรงเหมือนอย่างที่เคยตั้งใจไว้แล้วล่ะ เพราะเรารู้ดีว่า ชะตากรรมมันจ้องจะเล่นงานเราอยู่ทุกวินาที ถ้าหากวันไหนกูจะออกมาดูหนัง พอกูมาถึงหน้าโรง ขนตามันต้องหลุดเข้าตาเราอีกแน่ๆ แล้วการจะเอาขนตาออกในห้องน้ำห้างสรรพสินค้ามันก็คงลำบาก ไม่สะดวกเหมือนในอพาร์ทเมนท์เราเอง แล้วเราก็ไม่สามารถห้ามขนตาไม่ให้หลุดเข้าลูกตาเราได้ด้วย เพราะฉะนั้นในเมื่อเรารู้ว่าชะตากรรมมันจ้องจะเล่นงานเราแบบนี้ เราก็ไม่ออกมาดูหนังก็ได้ กูดูหนังออนไลน์ตามเดิมก็ได้

 

นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า ขนตาเพียงแค่เส้นเดียว มันจะทำให้เราเปลี่ยนแผนการใช้ชีวิตอย่างรุนแรงแบบนี้เหมือนกัน 555

 

 

 

No comments: