ขอบันทึกความทรงจำไว้ว่า เราได้ผ่าตัดตารอบ 3 ไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10
ม.ค.จ้ะ
ความเดิมตอนที่แล้ว
เราผ่าตัดต้อกระจกตาขวาไปเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. การผ่าตัดเรียบร้อยดี
ตอนนี้ตาขวาเห็นชัดเจน แต่ต้องใส่แว่นสายตายาวเวลาอ่านมือถือหรืออ่านตัวหนังสือ
และเราต้องใส่ทั้งแว่นสายตายาว+ใช้แว่นขยาย (ซื้อจากร้าน daiso) เวลาอ่านตัวหนังสือเล็กๆ
อย่างเช่นตัวหนังสือในคู่มือเครื่องดูดฝุ่นมินิของ Xiaomi
เราผ่าตัดต้อกระจกตาซ้ายไปเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. การผ่าตัดราบรื่น แต่พอผ่าเสร็จแล้ว
ตาซ้ายเราเห็นเป็นฝ้าๆหมอกๆมาบดบังการมองเห็น โดยเฉพาะช่วงล่างของตาซ้ายมันเหมือนมีแอ่งอัสสุชลมานองและบดบังการมองเห็นตรงจุดนั้น
ตอนแรกนึกว่ามันจะดีขึ้นเอง แต่มันก็ไม่ดีขึ้นเอง วันที่ 1
ม.ค.เราเลยไปตรวจอีกครั้ง และพบว่ามันมีเศษเลนส์หรือเศษต้อกระจกหลงเหลืออยู่ เราสามารถรออีกนานหลายเดือนเพื่อให้มันสลายไปเอง
หรือไม่ก็ผ่าตัด แต่ตอนแรกเราไม่อยากผ่าตัด
เพราะกลัวว่าถ้าผ่าตัดแล้วเราจะต้องลางานเพิ่ม แล้วเราไม่อยากลางานเพิ่ม
เราตั้งใจจะเริ่มกลับมาทำงานในวันที่ 21 ม.ค.
เนื้อหาในตอนใหม่
หลังจากปรึกษาหมออีกครั้ง เราก็ตัดสินใจผ่าตัดเพื่อเอาเศษเลนส์ออกไป เพราะช่วงนี้ที่ทำงานเราเขาอนุญาตให้
work from home ได้
แล้วเราก็คาดการณ์ว่า ถ้าหากเราผ่าตัดวันที่ 10 ม.ค.
ดวงตาของเราก็ต้องห้ามโดนน้ำจนถึงวันที่ราวๆ 10 ก.พ.
แต่เราน่าจะเริ่มกลับมาทำงานได้เลยตั้งแต่ 21 ม.ค.ตามกำหนดเดิม เพียงแต่เรา work
from home เท่านั้นเอง ซึ่งการ work from home มันคงช่วยลดความเสี่ยงในการที่ดวงตาจะโดนน้ำและช่วยลดความเสี่ยงที่เหงื่อจะไหลเข้าตาได้
เราก็เลยตัดสินใจผ่าตัดตาเป็นรอบที่ 3 ในวันที่ 10 ม.ค.
แต่คราวนี้ทางโรงพยาบาลเขาบังคับให้ตรวจ covid ก่อนเข้าผ่าตัดด้วย
เราก็เลยต้องจ่าย 3,500 บาทให้ทางโรงพยาบาลเพื่อตรวจ covid และผลก็ออกมาว่าเราไม่ติดโควิด
การผ่าตัดตารอบ 3 นี้เป็นการที่หมอมากรีดตาแล้วใช้เข็มมาแงะเอาเศษเลนส์ออกจากดวงตาของเรา
เห็นหมอเขียนว่ามันคือ surgical removal of residual lens cortex
แต่ปรากฏว่าการผ่าตัดครั้งนี้ไม่ราบรื่น
เหมือนมีอุปสรรคซวยๆบางอย่างที่เราไม่ขอเล่าในรายละเอียด
แต่โชคดีที่ในที่สุดคุณหมอก็ผ่าตัดได้สำเร็จ เราต้องขอกราบขอบพระคุณคุณหมอมากๆ
พอผ่าเสร็จแล้ว กลับถึงบ้าน โอ้โห คราวนี้มันหนักกว่าผ่าตัด 2
ครั้งแรกมากๆ มันเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสเหมือน “ถอนฟันคุด” เลย นึกออกมั้ย
คือในระหว่างการถอนฟันคุด เราจะไม่รู้สึกเจ็บ เพราะฤทธิ์ยาชามันยังอยู่น่ะ
แต่พอฤทธิ์ยาชามันหมดไปแล้ว
เราจะรู้สึกเจ็บปวดตามระดับความยากง่ายในการถอนฟันคุดแต่ละครั้ง
คือถ้าครั้งไหนถอนฟันคุดแบบดึงพรวดออกไปเลย มันก็เจ็บน้อย
แต่ถ้าครั้งไหนหมอต้องใช้ค้อนทุบฟันคุดให้แตก ตัดเหงือก คีบออกมาทีละชิ้น หรืออะไรทำนองนี้
มันก็จะเจ็บปวดมาก
การผ่าตัดตารอบ 3 นี้ก็เหมือนกัน คือผ่าตัด 2 ครั้งแรกนี่สบายมาก
เจ็บน้อยมาก แต่ครั้งที่ 3 นี่ เจ็บปวดจริงๆ ตาเราก็แดงมากๆ และมัวมากๆด้วย
แล้วพอมันมัว เราจะหยอดยาเข้าตา เราก็มองแทบไม่เห็น หยอดยาไปก็ไม่รู้ว่ามันเข้าตาเราจริงๆหรือเปล่า
คืนวันอาทิตย์ที่ 10 ม.ค.ก็เลยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน ตาทั้งแดง ทั้งมัว
ทั้งเจ็บปวด น้ำตาน้ำมูลไหลออกมาเป็นลิตรๆเลยมั้งในคืนนั้น
เราตื่นมา 6 โมงเช้าวันจันทร์ที่ 11 ม.ค. ตาเรายังแดงเถือกอยู่เลย
เราก็เริ่มใจเสีย แต่พอเรานอนต่อ ตื่นมาตอน 8 โมง
ตาเราก็เริ่มลดระดับความแดงลงมานิดนึงแล้ว เราก็เลยเริ่มสบายใจ
คิดว่าถ้าระดับความแดงมันลดลงเองได้ เดี๋ยวมันก็คงจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆเอง ส่วนอาการปวดตาลดลงมากแล้วเมื่อถึงเช้าวันจันทร์
คือยังคงปวดตาปานกลางเป็นระยะๆ แต่ไม่ได้ปวดรุนแรงถี่ๆแบบในคืนวันอาทิตย์
ตัดภาพมาตอนนี้ ตาซ้ายเรายังคงแดงกว่าตาขวา
แต่ระดับความแดงลดลงเหลือเพียงแค่ราว 10% เมื่อเทียบกับความแดงในคืนวันอาทิตย์
ส่วนระดับความปวดตาก็ลดลงเหลือเพียงแค่ราว 5% เมื่อเทียบกับคืนวันอาทิตย์
แต่ตาซ้ายเรายังเห็นเป็นฝ้าๆหมอกๆมัวๆอยู่ และยังอ่านตัวหนังสือได้ไม่ชัด
แต่ระดับหมอกก็ลดลงเหลือเพียงราว 50% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนผ่าตัด และเราไม่เห็นแอ่งอัสสุชลนองมาบดบังการมองเห็นในด้านล่างของตาซ้ายแล้ว
หวังว่าอาการฝ้าๆหมอกๆมัวๆนี้จะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆเอง
ได้ดูหนังโรงไป 3 เรื่องในช่วงที่ผ่านมา เรื่องแรกที่ดูคือ SCHOOL TOWN KING ในวันที่
7 ม.ค. หลังจากเข้าโรงหนังครั้งสุดท้ายในวันที่ 5 ธ.ค.
สรุปว่าไม่ได้เข้าโรงหนังมานาน 1 เดือน
การดูหนังราบรื่นดี แต่พอดูไป 2-3 เรื่องก็คิดว่าขี้เกียจออกมาดูหนัง
ซึ่งสาเหตุสำคัญเป็นเพราะ “มันรู้สึกเครียดในระหว่างการเดินทาง” น่ะ
เพราะเวลาเดินเข้าหรือออกซอย หรือเดินไปตามถนน เราเหมือนต้องคอยระแวดระวังตลอดเวลาว่า
มันจะมีน้ำกระเซ็นมาจากจุดไหนหรือเปล่า
อาคารหลังไหนต่อท่อระบายน้ำออกมานอกชายคาหรือเปล่า อีร้านนี่ใช้สายยางฉีดน้ำล้างพื้นร้านอยู่
แล้วมันจะกระเซ็นมาไหม อีบ้านนี้รดน้ำต้นไม้อยู่ แล้วมันจะกระเซ็นมาไหม คือแทนที่จะรู้สึก
“ก้าวเดินอย่างเริงร่าท้าแดดลม” เพื่อไปดูหนัง
เรากลับรู้สึกเหมือนเราเป็นทหารในสมรภูมิ ที่ต้องเครียดในระบบ 360 องศารอบทิศทาง
ว่ามันจะมีกระสุนปืน (น้ำกระเซ็น) มาจากทิศทางไหนบ้าง
แล้วกูจะเครียดกับเรื่องพวกนี้ไปทำไม กูดูหนังออนไลน์ไปก่อนดีกว่า
การดูหนังไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใดสำหรับชีวิตของเรา
การมีดวงตาที่มองเห็นได้ต่างหากคือสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของเรา
เพราะฉะนั้นถึงแม้ช่วงนี้จะมีหนังที่เราอยากดูสุดๆเข้าโรงอยู่หลายเรื่อง แต่ถ้าหากวันไหนเรารู้สึกไม่มั่นใจ
เราก็คงไม่ออกไปดู
ตอนนี้ไม่ได้ล้างหน้ามานาน 40 วันแล้ว กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด และอาจจะต้องงดล้างหน้าไปจนถึงวันที่
10 ก.พ.
MUSIC VIDEO LOVE WILL NEVER DO (WITHOUT YOU) (1990) ของ
Janet Jackson เป็นสิ่งที่ฮือฮาสำหรับเราและเพื่อนๆมากๆเมื่อ
30 ปีก่อน เพราะผู้ชายหล่อสุดๆ ผู้ชมต่างก็กรี๊ดกร๊าด อยากได้ Antonio
Sabato Jr. เป็นผัว ผัว ผัว อย่างไรก็ดี พอเวลาผ่านมานาน 30 ปี
เราถึงเพิ่งรู้ว่า ผู้ชายอีกคนในมิวสิควิดีโอนี้ คือ Djimon Hounsou
(AMISTAD, IN AMERICA, BLOOD DIAMOND, SHAZAM!) 555555 พอเราไปดู IMDB
เราก็เลยเพิ่งรู้ว่า Djimon เขาเคยแสดงใน MV
I DON’T WANNA LOSE YOU (1989) ของ Tina Turner ที่ดีงามมากๆด้วย
No comments:
Post a Comment