Sunday, February 04, 2024

PERFECT DAYS

 อย่างที่เราเคยให้สัมภาษณ์ในหนังเรื่อง THERE ARE FISH IN THE WATER AND RICE IN THE FIELDS (2021, Tanakit Kitsanayunyong, documentary, A+30) ว่า หนึ่งในความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของเราก็คือ การได้มีชีวิตอยู่อย่างตัวละครในบทกวี ODE ON SOLITUDE ของ Alexander Pope (1688-1744) เราก็เลยชอบหนังเรื่อง PERFECT DAYS (2023, Wim Wenders, A+30) อย่างสุดขีดมาก ๆ เพราะเรารู้สึกว่า PERFECT DAYS มันช่วย illustrate สิ่งที่อยู่ในบทกวี ODE ON SOLITUDE เมื่อราว 300 ปีก่อน ออกมาได้ตรงใจเรามากที่สุด โดยดัดแปลงให้มันเข้ากับยุคปัจจุบัน และถึงแม้มันจะ “แตกต่าง” จากตัวบทกวีนั้นในหลาย ๆ จุด มันก็เป็นความแตกต่างในแบบที่ realistic และเป็นความแตกต่างที่ตรงกับใจเรา

 

ODE ON SOLITUDE

 

Happy the man, whose wish and care

   A few paternal acres bound,

Content to breathe his native air,

                            In his own ground.

 

 

Whose herds with milk, whose fields with bread,

   Whose flocks supply him with attire,

Whose trees in summer yield him shade,

                            In winter fire.

 

 

Blest, who can unconcernedly find

   Hours, days, and years slide soft away,

In health of body, peace of mind,

                            Quiet by day,

 

 

Sound sleep by night; study and ease,

   Together mixed; sweet recreation;

And innocence, which most does please,

                            With meditation.

 

 

Thus let me live, unseen, unknown;

   Thus unlamented let me die;

Steal from the world, and not a stone

                            Tell where I lie.

 

อันนี้ไม่ใช่การแปลแบบตรง ๆ นะ แต่เป็นการดัดแปลงบทกวีนี้ให้เข้าใจง่าย ๆ หน่อย 555 ซึ่งเราก็คงแปลผิดอยู่หลายจุด สามารถช่วยกันแก้ไขสิ่งที่เราแปลได้ใน comment นะ

 

ชายที่มีความสุข คือคนที่ปรารถนาจะได้อยู่กับพื้นที่เพียงไม่กี่เอเคอร์ที่ได้รับมาจากพ่อของเขา และมีหน้าที่ต้องดูแลพื้นที่เพียงแค่นั้น พึงพอใจที่จะได้สูดอากาศในถิ่นที่อยู่ของเขา ในดินแดนของเขา

 

นมที่เขาดื่มก็มาจากปศุส้ตว์ที่เขาเลี้ยงไว้ ขนมปังที่เขาแดกก็ผลิตมาจากพืชผลในไร่นาของเขาเอง เสื้อผ้าที่เขาใส่ก็มาจากฝูงแกะของเขาเอง ต้นไม้ที่เขาปลูกไว้ก็ให้ร่มเงาแก่เขาในฤดูร้อน และกลายเป็นฟืนที่ให้ความอบอุ่นแก่เขาในฤดูหนาว

 

ชีวิตที่เหมือนได้รับพร ก็คือชีวิตของคนที่ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องวิตก ปล่อยให้โมงยาม คืนวัน และปีต่าง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยผ่านไป ในขณะที่เขามีสุขภาพดีทางร่างกาย มีความสงบทางจิตใจ ใช้ชีวิตเงียบ ๆ ในแต่ละวัน

 

นอนหลับอย่างมีความสุขในยามค่ำคืน ได้ศึกษาและพักผ่อน ผสมผสานกันไป ได้หย่อนใจอย่างหวานชื่น ทำจิตใจให้บริสุทธิ์สดใส ผ่านทางการมีสมาธิ

 

ด้วยเหตุนี้ จงปล่อยให้ฉันได้มีชีวิต โดยไม่ต้องพบเจอใคร ไม่ต้องรู้จักใคร

ปล่อยให้ฉันตายไปโดยไม่ต้องมีใครเสียใจให้กับการตายของฉัน

ให้ฉันได้จากโลกนี้ไปอย่างเงียบๆ และไม่ต้องมีแม้แต่หินปักอยู่บนหลุมฝังศพของฉัน

 

ซึ่งแน่นอนว่า ความแตกต่างระหว่างบทกวีนี้กับ PERFECT DAYS ก็มีอยู่หลายอย่าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่า “แก่นแท้” ของบทกวีนี้กับ PERFECT DAYS มันแตกต่างจากกันอย่างรุนแรงแต่อย่างใด คือเรารู้สึกว่า “แก่นแท้” ของบทกวีนี้มันมีความใกล้เคียงกับหนังเรื่อง PERFECT DAYS มากกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ น่ะ

 

ตัวอย่างความแตกต่างกัน ก็เช่น การที่ตัวละครใน PERFECT DAYS อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่, ไม่ได้กินอาหาร, ดื่มนม หรือใส่เสื้อผ้าที่ผลิตด้วยตัวเอง เพราะอาหารและเครื่องนุ่งห่มของเขา ก็ต้องใช้เงินซื้อมาจากคนอื่น ๆ ในสังคม พระเอกใน PERFECT DAYS ยังต้องพึ่งพาสังคมเป็นอย่างมาก แต่เรารู้สึกว่า แก่นแท้ของตัวละครตัวนี้ ก็พึงพอใจกับ solitude แบบตัวละครในบทกวีน่ะ

 

และความแตกต่างกันในแบบที่เข้าทางเราอย่างสุดขีดคลั่งก็คือว่า ในขณะที่ตัวละครใน ODE ON SOLITUDE นั้น ต้องพึ่งพา “ผืนดินที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากพ่อของตัวเอง” (ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในอังกฤษเมื่อ 300 ปีก่อน) ตัวละครใน PERFECT DAYS กลับปฏิเสธอย่างแรงกล้าที่จะ reconcile กับพ่อของตัวเอง หรือรับมรดกหรือความช่วยเหลือใด ๆ จากครอบครัวของตัวเอง เขาสร้างพื้นที่เล็ก ๆ ของตัวเองที่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกายน้ำพักน้ำแรงอย่างขยันขันแข็งของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพามรดกจากพ่อหรือจากครอบครัวใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่เข้าทางเรามากกว่าตัวละครในบทกวี ODE ON SOLITUDE ซะอีก

 

เราก็เลยชอบ PERFECT DAYS อย่างสุดขีดคลั่งมาก ๆ เพราะเรารู้สึกว่า แก่นแท้ของหนังเรื่องนี้ มันมีความใกล้เคียงกับ “ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของเรา” ซึ่งก็คือการได้ใช้ชีวิตแบบตัวละครใน ODE ON SOLITUDE และในบางจุดของหนังนั้น มันดียิ่งกว่า หรือมันเข้าทางเรามากกว่า บทกวี ODE ON SOLITUDE ซะอีก โดยเฉพาะการ NOT RECONCILED กับครอบครัวของตัวเอง

No comments: