Sunday, June 09, 2024

BREAKING THE CYCLE (2024, Aekaphong Saransate, Thanakrit Duangmaneeporn, documentary, A+30)

 

รายงานผลประกอบการประจำวันเสาร์ที่ 8 JUNE 2024

 

1.THE WATCHERS (2024, Ishana Shyamalan, A+30)

ดูที่ Paragon รอบ 11.00

 

2.FORMED POLICE UNIT (2024, Lee Tat-Chiu, China, A+15)

ดูที่ Paragon รอบ 14.00

 

ขำความ propaganda อวยรัฐบาลจีนของมันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบางฉากในช่วงท้าย ๆ ของหนังนี่เราหยุดหัวเราะไม่ได้อีกต่อไป

 

แต่ดูหนังแล้วก็อยากร่วมรักกับหนุ่มจีนราว 10 คนในหนังเรื่องนี้ นึกว่านี่คือวิธีการทำหนัง propaganda ที่ถูกต้องสำหรับขายคนดูที่เงี่ยนผู้ชาย 55555

 

3.BAD BOYS: RIDE OR DIE (2024, Adil El Arbi, Bilall Fallah, A+25)

ดูที่ Paragon รอบ 16.00

 

4. BREAKING THE CYCLE (2024, Aekaphong Saransate, Thanakrit Duangmaneeporn, documentary, A+30)

 

ดูที่ Doc Club รอบ 19.00

 

BREAKING THE CYCLE (2024, Aekaphong Saransate, Thanakrit Duangmaneeporn, documentary, A+30)

 

1.กลายเป็นว่าประทับใจคุณ Cherry Wang มากที่สุดในหนังเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ส่วนประเด็นอื่น ๆ ในหนังเหมือนเป็นการทบทวนความทรงจำต่อสิ่งที่เราพอรู้ ๆ มาบ้างแล้ว

 

2.ดูแล้วรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันแตกต่างจากหนังหลาย ๆ เรื่องที่เราเคยดูมาในสองแง่ แง่หนึ่งก็คือหนังมัน empower เรา เพราะหนังมันเหมือนกับบอกว่า คนธรรมดาที่มีหนึ่งสิทธิ หนึ่งเสียงแบบเราคือคนที่มีความสำคัญในตัวเอง

 

คือหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ตั้งใจแบบนี้ก็ได้ แต่หนังเรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกว่า  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับธนาธรหรือพรรคของเขาก็ตาม คนที่ดูหนังเรื่องนี้แต่ละคนก็ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปหลังจากหนังจบลง และคนดูแต่ละคนก็จะต้องเลือกด้วยตัวเองว่าต้องการอนาคตแบบใด มันเหมือนกับหนังมอบความรับผิดชอบต่ออนาคตไว้ในมือของคนดู ซึ่งคนดูแต่ละคนก็มี power ที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่า ต้องการอนาคตแบบไหน, ต้องการจะโยนความรับผิดชอบนั้นทิ้งไปก็ได้ หรือจะเอาพลังใจที่ได้รับจากหนังเรื่องนี้มาใส่เป็นเชื้อเพลิงหล่อเลี้ยงความหวังในใจต่อไปก็ได้ แล้วแต่ใครจะเลือก 555

 

3.แต่ความ empowerment ที่ได้รับจากหนังเรื่องนี้มันก็มาพร้อมกับความจริงที่ว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้มอบ “ความสุขจาก safe distance” ให้กับเราเหมือนหนังทั่ว ๆ ไป 55555 เพราะประเด็นของหนังมันเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง ณ เวลาปัจจุบัน เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้ก็เลยไม่ได้มอบ “ความรู้สึกปลอดภัย จาก safe distance” เหมือนเวลาที่เราดูหนังเกี่ยวกับนาซี, Holocaust อย่างเช่น NIGHT AND FOG (1956, Alain Resnais), SCHINDLER’S LIST (1993, Steven Spielberg), BENT (1997, Sean Mathias), A HIDDEN LIFE (2019, Terrence Malick), etc. หรือหนังการเมืองเกี่ยวกับประเทศอื่น ๆ ในห้วงเวลาอื่น ๆ อย่างเช่น THE ACT OF KILLING (2012, Joshua Oppenheimer, Christine Cynn, Anonymous, Indonesia, documentary)

 

คือหนังการเมืองเหล่านี้ ต่อให้มันทรงพลังอย่างรุนแรงสุดขีดมากเพียงใด อย่างน้อยเราก็มี safe distance จากมัน เพราะเราไม่ใช่ “ตัวละคร” ในหนังเหล่านั้น เราไม่ใช่คนที่อยู่ในเยอรมนีในยุคนั้น เราไม่ใช่คนที่อยู่ในอินโดนีเซียในสมัยนั้น เราเลือกไม่ได้ว่าจะให้ชาวยิวคนนั้นอยู่หรือตาย เราเลือกไม่ได้ว่าจะให้เกย์คนนั้นอยู่หรือตาย เราเลือกไม่ได้ว่าจะให้คอมมิวนิสต์คนนั้นอยู่หรือตาย เราเลือกไม่ได้ว่าจะให้ชาวจีนคนนั้นอยู่หรือตาย มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตในประเทศอื่น ๆ

 

เวลาเราดูหนังเกี่ยวกับนาซี บางทีเราก็คงจะเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าหากเราเกิดในประเทศนั้นในยุคนั้น เราจะเลือกทำแบบตัวละครในหนังเรื่อง THE ZONE OF INTEREST (2023, Jonathan Glazer) หรือเปล่านะ หรือว่าเราจะเลือกทำแบบตัวละครในหนังเรื่อง SOPHIE SCHOLL: THE FINAL DAYS (2005, Marc Rothemund) หรือเปล่านะ แล้วเราก็สามารถตอบตัวเองได้ในทันทีว่า เราไม่เห็นจะต้องถามคำถามนี้กับตัวเองสักหน่อย เพราะไม่ว่าเราจะตอบคำถามนี้อย่างไร เราก็ช่วยอะไรใครในยุคนั้นไม่ได้อยู่ดี นี่แหละคือ “ความปลอดภัยจาก safe distance” เวลาที่เราได้ดูหนังทั่ว ๆ ไป

 

แต่เหมือนหนังเรื่อง BREAKING THE CYCLE นี้ไม่ได้มอบความปลอดภัยจาก safe distance แบบนั้นให้แก่เรา เพราะมันเหมือนกับว่า เราเป็น “ตัวละคร” ตัวหนึ่งในหนังด้วย และเป็นตัวละครที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงแม้หนังเรื่องนี้จบลงไปแล้วด้วย

 

เพราะฉะนั้นถึงแม้เราจะรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้มัน empower เรา เราก็ยอมรับตรง ๆ ว่า “จริง ๆ แล้วกูก็อยากเป็นแค่คนดูอยู่ห่าง ๆ นะ กูไม่อยากเป็นตัวละครในหนัง” 55555

 

มันเหมือนกับว่า หนังเรื่อง BREAKING THE CYCLE นี้ จริง ๆ แล้วมันยังไม่จบ มันยังคงดำเนินต่อไปในชีวิตจริงของเรา เมื่อเราก้าวเท้าออกจากโรงหนัง ชีวิตจริงของเราก็คือส่วนหนึ่งใน sequel ของหนังเรื่องนี้ เราคือ “ตัวละครตัวหนึ่งในภาคต่อของหนังเรื่องนี้” และเราจะต้องตัดสินใจเองว่า ในภาคต่อของหนังเรื่องนี้ เราจะเป็นตัวละครตัวไหน จะเป็น Sophie Scholl หรือ Hedwig Höss (Sandra Hüller) หรือใคร เราก็จำเป็นจะต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจเลือกของเราเอง

 

No comments: