Thursday, July 31, 2025

SALLI

 

SEVEN TO ONE (1973, Cheng Hou, Taiwan/Hong Kong) เข้าฉายในไทยโดยใช้ชื่อเรื่องว่า “อีเผ็ดสะเด็ดยาด” เราชอบชื่อไทยมาก ๆ นึกว่าอยากให้หนังแนว SCREAM/I KNOW WHAT YOU DID LAST SUMMER/URBAN LEGEND มีตัวละครหญิงสาววัยรุ่นคนนึงที่มีสมญานามแบบนี้

++++

 

Favorite Lyrics: ARMY DREAMERS (1980) – Kate Bush

 

ชอบสุด ๆ ทั้งเพลง, เนื้อเพลง และมิวสิควิดีโอ

 

B.F.P.O.
Army dreamers
Mammy's hero
B.F.P.O.
Mammy's hero

 

Our little army boy
Is coming home from B.F.P.O.
I've a bunch of purple flowers
To decorate mammy's hero
Mourning in the aerodrome
The weather warmer, he is colder
Four men in uniform
To carry home my little soldier

 

(What could he do? Should have been a rock star)

But he didn't have the money for a guitar
(What could he do?)
(Should have been a politician)
But he never had a proper education
(What could he do?)
(Should have been a father)
But he never even made it to his twenties
What a waste
Army dreamers
Oh, what a waste of
Army (army) dreamers (dreamers)

 

Tears o'er a tin box
Oh, Jesus Christ, he wasn't to know
Like a chicken with a fox
He couldn't win the war with ego
Give the kid the pick of pips
And give him all your stripes and ribbons
Now he's sitting in his hole
He might as well have buttons and bows

 

(What could he do? Should have been a rock star)

But he didn't have the money for a guitar
(What could he do?)
(Should have been a politician)
But he never had a proper education
(What could he do?)
(Should have been a father)
But he never even made it to his twenties
What a waste
Army dreamers
Ooh, what a waste of
Army (army) dreamers (dreamers)
Ooh, what a waste of all them
Army (army) dreamers (dreamers)
Army (army) dreamers (dreamers)
Army (army) dreamers (dreamers), oh

 

B.F.P.O.
Army dreamers
Mammy's hero
B.F.P.O.
Army dreamers
Mammy's hero
B.F.P.O.
No hard heroes
Mammy's hero
B.F.P.O.
Army dreamers
Mammy's hero
B.F.P.O.

 

https://www.youtube.com/watch?v=QOZDKlpybZE&list=RDQOZDKlpybZE&start_radio=1

+++++++++

 

การรบในสงครามยุคปัจจุบันเน้นการใช้โดรน และเราคิดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สงครามคงเน้นการรบโดยใช้หุ่นยนต์ AI แบบที่หนังเรื่อง M3GAN 2.0 (2025, Gerard Johnstone, A+25) ทำนายไว้ เดาว่าหุ่นยนต์เหล่านี้น่าจะทนทานต่อ “อาวุธเชื้อโรค” ได้ดีกว่ามนุษย์ด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะถูกทำลายด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรืออะไรแบบนั้นได้ง่าย ๆ หรือเปล่า

 

อันนี้เป็นข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาหุ่นยนต์ AI ในตอนนี้ โดยหุ่นยนต์ในตอนนี้สามารถทรงตัวได้ดีถึงแม้ถูกผลัก, สามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป, หุ่นยนต์เหล่านี้เรียนรู้จาก human-action videos และข้อมูลที่ได้จากหุ่นยนต์ทุกตัวจะถูกส่งกลับไปที่บริษัทผลิตหุ่น ซึ่งส่งผลให้หุ่นยนต์เหล่านี้ “ใช้สมองร่วมกัน”

 

In demonstration videos, Skild-powered robots were shown climbing stairs, maintaining balance after being shoved, and picking up objects in cluttered environments - tasks that require spatial reasoning and the ability to adapt to changing surroundings.

 

Skild trains its model on simulated episodes and human-action videos, then fine-tunes it using data from every robot running the system. 

 

Robots deployed by customers feed data back into Skild Brain to sharpen its skills, creating the same "shared brain,"

https://www.reuters.com/business/media-telecom/amazon-backed-skild-ai-unveils-general-purpose-ai-model-multi-purpose-robots-2025-07-29/

 

++++

ในรายชื่อหนังของปี 2008 เราได้ดูไปแค่ 4 จาก 10 เรื่อง ซึ่งก็คือ

 

1. 24 CITY (Jia Zhangke)

 เราได้ดูในเทศกาล Bangkok International Film Festival

 

2. 35 SHOTS OF FUM (Claire Denis)
เราได้ดูในเทศกาล Bangkok International Film Festival น่าจะที่ Central World

 

3. THE HEADLESS WOMAN (Lucrecia Martel)

เราได้ดูในเทศกาล World Film Festival of Bangkok

 

4. SYNECDOCHE, NEW YORK (Charlie Kaufman)

เราได้ดูในเทศกาล World Film Festival of Bangkok ที่ Central World

+++++++

 

เพิ่มเติมรายชื่อภาพยนตร์ที่ออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วมีอะไรคล้ายคลึงกันโดยบังเอิญ

 

83. SOMETIME SOMEWHERE SOMEONE (2024, ธันยวีร์ ทองดีพันธ์ Thanyawee Thongdeephan, A+30)

+ THE NOSTALGIA (2024, Punnawee Hnoseeda ปัณณวีร์ หน่อสีดา, 14.30min, A+25)

 

หนังทั้งสองเรื่องออกฉายในปีเดียวกัน และทั้งสองเรื่องต่างก็พูดถึงความสัมพันธ์ฉันเพื่อนระหว่างนางเอกกับเพื่อนสาวในต่างจังหวัดในช่วงที่ทั้งสองเรียนมัธยมเหมือนกัน เพื่อนสาวทั้งสองมีสถานที่ร่มรื่นที่มักจะนัดเจอกัน พูดคุยกัน ก่อนที่ชีวิตของทั้งสองจะแยกกันไปคนละทาง โดยที่คนนึงได้ไปเรียนต่อในกรุงเทพ

++++++

 

SALLI (2023, Lien Chien-hung, Taiwan, A+30)

 

1. ชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ เมื่อเทียบกับหนังโดยทั่วไป แต่ไม่ได้ชอบมากถ้าหากเทียบกับ “หนังแนวเดียวกัน” 55555 คือเราพบว่า เรามักจะชอบหนังแนว “SELF-DISCOVERY OF A WOMAN”  อะไรทำนองนั้นน่ะ หนังที่พูดถึงตัวละครผู้หญิงที่เรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจกับตัวเอง, ค้นพบตัวเอง, ค้นพบที่ทางที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง, ทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเอง อะไรทำนองนี้ ซึ่งหนังแนวนี้ก็รวมถึง ERIKO, PRETENDED (2017, Akiyo Fujimura, Japan) ที่จัดจำหน่ายโดย HAL เหมือนกันด้วย

 

ซึ่งหนังเรื่อง SALLI นี่ก็ถือว่าเป็น “หนังแนวนี้” เราก็เลยชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ ไปโดยปริยาย

 

2.แต่ถ้าหากเทียบกับ “หนังแนวเดียวกัน” แล้ว เราก็อาจจะไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับต้น ๆ นะ เพราะว่า

 

2.1 ตัวละครนางเอกในช่วงแรก ๆ ดูโง่เกินกว่าที่เราจะ identify ด้วยได้ 55555

 

2.2 ตัวละครนางเอกในช่วงแรก ๆ ดูเรียบร้อยเกินกว่าที่เราจะ identify ด้วยได้

 

3. สาเหตุสำคัญที่ทำให้เราไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับหนังแนวเดียวกัน เป็นเพราะว่า เราได้ดูหนังเรื่องนี้หลังจาก LOVE LIES (2024, Ho Miu-Kei, Hong Kong, A+30) ด้วยแหละ ซึ่งเป็นหนังที่พูดถึงสาวเชื้อสายจีนกับ online romance scam เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว SALLI ออกฉายในต่างประเทศก่อน LOVE LIES คือเราเข้าใจว่า SALLI ได้ออกฉายครั้งแรกในช่วงเดือนต.ค. 2023 แล้ว LOVE LIES ได้ออกฉายครั้งแรกในช่วงต้นปี 2024 แต่เราดันได้ดู LOVE LIES ในเทศกาลหนังฮ่องกงในกรุงเทพในปีที่แล้ว และหนังมันเข้าทางเรามาก ๆ พอเราได้ดู SALLI ในเดือนก.ค.ปีนี้ มันก็เลยเกิดการเปรียบเทียบกันอย่างเห็นได้ชัด แล้ว LOVE LIES ก็เลยชนะไปเลย 55555

 

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เราชอบ LOVE LIES มากกว่า SALLI

 

3.1 เราว่า LOVE LIES เล่นท่ายากกว่าเยอะ เพราะ LOVE LIES เล่าเรื่องจากมุมมองของ “ผู้ร้าย” แต่หนังยังสามารถทำให้เราอินไปกับความโรแมนติกของผู้ร้ายหนุ่มหล่อได้ ส่วน SALLI เล่นท่าง่ายกว่า แต่ก็ทำได้สมบูรณ์แบบในการเล่นท่าง่ายกว่าของตนเอง

 

3.2 LOVE LIES พูดถึง “ความรัก” (หรือความเกือบ ๆ จะรักกัน) ระหว่างหญิงวัยกลางคนกับหนุ่มหล่อวัยราว 20 กว่าปี มันก็เลยเข้ากับ “วัย” ของเรา และเข้ากับ “ความต้องการทางเพศ” ของเรามาก ๆ 55555

 

3.3 เนื่องจากเราเงี่ยนผู้ชาย LOVE LIES ก็เลยเป็นหนังที่ตอบสนองความต้องการทางเพศของเราได้มากกว่า เพราะ LOVE LIES เป็นหนังที่มีพระเอกหนุ่มหล่อ (Michael Tin Fu Cheung) ส่วน SALLI เป็นหนังที่ไม่มีพระเอก

 

อย่างไรก็ดี ผู้สร้างหนังเรื่อง SALLI ก็ดูเหมือนจะรู้ตัวดีว่า ถ้าหากสร้างหนังแนวนี้โดยไม่มีหนุ่มหล่อเลย มันคงจะไม่ดี เขาก็เลยสร้างตัวละคร “น้องชายนางเอก” ที่หล่อน่ารักมาก ๆ เข้ามา 5555 ซึ่งเราก็ชอบจุดนี้ของหนังมาก ๆ

 

แต่เราไม่ได้จะบอกว่า LOVE LIES เป็นหนังที่ “ดี” กว่า SALLI นะ เราแค่แจกแจงให้เห็นว่า เพราะเหตุใดเราถึงชอบ LOVE LIES มากกว่า หรือเพราะเหตุใดเราถึงรู้สึก “อิน” หรือ “ลุ้น” ไปกับ LOVE LIES มากกว่า

 

เราว่าจริง ๆ แล้ว LOVE LIES กับ SALLI ก็ดีกันไปคนละทางน่ะแหละ LOVE LIES ทำให้เรารู้สึกลุ้นสุดขีด ลุ้นให้นางเอกที่เป็นหญิงวัยกลางคน ได้มีเซ็กส์หรือได้พบรักกับพระเอกที่เป็นเด็กหนุ่มหล่อ เหมือนหนังมันตอบสนอง romantic fantasy ของเรา ส่วน SALLI ไม่ใช่ “หนังโรแมนติก” แต่เหมือนมันเป็น “หนังน่ารัก ๆ เกี่ยวกับหญิงสาวที่ค้นพบตนเอง” อะไรแบบนั้นมากกว่า

 

4. ถ้าหากถามถึง “หนังแนวเดียวกัน” หรือหนังแนว SELF-DISCOVERY OF A WOMAN ที่เราชอบสุดขีดแล้ว หนังแนวนี้ก็รวมถึง

 

4.1 THE LEFT-HANDED WOMAN (1977, Peter Handke, West Germany)

 

4.2 MISS FIRECRACKER (1989, Thomas Schlamme)

 

4.3 SHIRLEY VALENTINE (1989, Lewis Gilbert, UK)

 

4.4 SWANN (1996, Anna Benson Gyles, Canada)

 

4.5 VALERIE FLAKE (1999, John Putch)

 

4.6 AWAKENING (2006, Junji Sakamoto, Japan)

 

4.7 QUEEN (2013, Vikas Bahl, India)

 

4.8 TUMHARI SULU (2017, Suresh Triveni, India)

 

4.9 THAPPAD (2020, Anubhav Sinha, India)

 

4.10 I AM WHAT I AM (2022, Shinya Tamada, Japan)

++++++++

 

ช่วงนาทีตั้งแต่ 5.30 เป็นต้นไปนี่คือคลาสสิคมาก นึกว่าขุนพันธ์, พนอ, ธี่หยด, อมฤตาลัย, HEREDITARY ยังต้องพ่าย สงครามคุณไสยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว 55555

https://web.facebook.com/ejanentertain/videos/1373654843723284/

++++

Alliance ประกาศตารางฉายหนังของเดือนส.ค.แล้ว มีหนังน่าดูมากมาย แต่ไม่รู้ว่าเราจะได้ไปดูกี่เรื่อง เพราะมันชนกับโปรแกรมฉายหนัง Arsenal ที่หอภาพยนตร์, โปรแกรมฉาย ALEXANDER NEVSKY (1938, Sergei Eisenstein, Soviet Union) ที่หอภาพยนตร์ และเราก็ยังไม่รู้ตารางฉายหนังในเทศกาลภาพยนตร์ WHAT THE DOC! ในวันที่ 22-31 ส.ค.ด้วย
https://afthailande.org/en/cultural-events/#/

++++

 

เวลาเราฟังเทปเด็กหนังกระโปก เราชอบอ่านที่คอมพิวเตอร์มัน live transcribe ไปด้วย เพราะมันชอบมีอะไรฮา ๆ

 

อย่างเช่นอันนี้ เขาพูดว่า “มึงบูชา สตีเวน สปีลเบิร์ก” แต่คอมพิวเตอร์มัน transcribe เป็น “มึงกัมพูชา สตีเวนส์เบิร์ก”

 

Thursday, July 24, 2025

VERMIN OF THE VORTEX (1996, George Kuchar, 22min, A+30)

 

รอบที่เราไปดูที่เมเจอร์ เอกมัย ก็มีกลุ่มสาวอินเดียไปดู แล้วพวกเธอก็ร้องกรี๊ด ๆๆๆ ให้กับพระเอกในบางฉาก จนเราแอบฮาในใจ แต่เราชอบ SAIYAARA (2025, Mohit Suri, India, A+) แค่ในระดับ A+ นะ เพราะเรามักจะไม่อินกับหนังโรแมนติกอยู่แล้ว

+++++++

 

เราเคยดูแค่ 5 เรื่องในลิสท์นี้ ซึ่งได้แก่

 

1. 4 MONTHS, 3 WEEKS AND 2 DAYS (2007, Cristian Mungiu, Romania)

 

ดูที่โรงเอสพลานาด ในเทศกาล World Film Festival of Bangkok

 

2. AFTERNOON (2007, Angela Schanelec, Germany)

 

ดูในเทศกาลภาพยนตร์ Open Air Kino ที่สถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1

 

3. ALL IS FORGIVEN (2007, Mia Hansen-Løve, France)

 

ดูที่โรงภาพยนตร์ของสมาคมฝรั่งเศสในกรุงเทพ

 

4. WONDERFUL TOWN (2007, Aditya Assarat)

 

ดูในโรงภาพยนตร์สักแห่งในกรุงเทพ

 

5. YELLA (2007, Christian Petzold, Germany)

 

ดูในรูปแบบดีวีดี

++++++

 

VERMIN OF THE VORTEX (1996, George Kuchar, 22min, A+30)

 

กราบตีนของจริง ไม่ทราบชีวิต ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกว่า “นี่แหละ คู่แข่งที่แท้จริงของ Manassak Dokmai” อยากให้มีคนจัด DOUBLE RETROSPECTIVES OF GEORGE KUCHAR VS. MANASSAK DOKMAI ในไทยมาก ๆ

 

ในที่สุดเราก็ได้ดูหนังของ George Kuchar ซะที หลังจากที่เราอยากดูหนังของเขามาเป็นเวลานานราว 25 ปีแล้ว

 

ดูแล้วก็ชอบสุดขีด ชอบความประสาทแดก บ้าบอ แบบในหนังเรื่องนี้มาก ๆ นึกว่าปะทะกับ “หนังบ้าน ๆ” แบบที่ดูในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนของไทยได้สบาย ๆ โดยเฉพาะหนังอย่าง “1. ศาลายา กระฉึก กระฉัก 2563” (2021, Manassak Dokmai, 63min, A+30) เพราะว่าหนังสองเรื่องนี้ต่างก็เป็นหนังทดลองที่มีความบ้าน ๆ สูงมาก เหมือนกัน และเป็นการ “เก็บเกี่ยวสิ่งสามัญธรรมดา ๆ ในชีวิต” มาผสมกับ “ความพิสดารในหัวของผู้กำกับ” แล้วก็ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็น “หนังที่หาคำจำกัดความไม่ได้” เหมือนกัน

 

ในส่วนของ VERMIN OF THE VORTEX นั้น เราเข้าใจว่า ฟุตเตจหลักของหนังคือการถ่ายทำสิ่งต่าง ๆ ในช่วงที่ George Kuchar เดินทางไปร่วมงาน Flaherty Seminar และเดินทางไปร่วมงาน Chicago Underground Film Festival แต่แทนที่เขาจะเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวโดยตรง แบบ video diary เขากลับไม่เน้นการเล่าเรื่อง แต่เก็บเกี่ยวเอาสิ่งละอันพันละน้อยที่เขาถ่ายได้มาร้อยเรียงเข้าด้วยกันอย่างพิลึกกึกกือ โดยเน้นไปที่ฉาก “เขาใส่กางเกงในตัวเดียวเดินไปเดินมา” และผสมมันเข้ากับเรื่องราวบ้าบอต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่น เรื่องราวการเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาว, การปะทะกันระหว่างความเชื่อทางศาสนากับโหราศาสตร์, สฟิงซ์, etc.

 

George Kuchar (1942-2011) เคยกำกับหนังมาแล้ว 250 เรื่อง และเราเข้าใจว่าบางเรื่องมีให้ดูในยูทูบนะ

 

ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่เว็บ e-flux จนถึงสิ้นเดือนก.ค. 2025 นะ

https://www.e-flux.com/film/6736161/vermin-of-the-vortex

++++

เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ลูกหมีสีขาวตัวนี้ อาศัยอยู่กับเรามานาน 30 ปีแล้ว เพราะเราซื้อมันมาจากห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าวในช่วงราว ๆ เดือนก.ค. 1995 แต่เราไม่ได้จดไว้ว่า เราซื้อมันมาในวันไหน จำได้แต่เดือนที่ซื้อมันมา

++++++

 

เนื่องจากลูกหมีสีขาวของเรามีอายุครบ 30 ปีในเดือนก.ค.ปีนี้ ตามที่เราโพสท์ไว้ข้างล่าง เราก็เลยถือโอกาสนี้แปะคลิปลูกหมีสีขาวของเราในปี 2012 อีกครั้ง 55555

https://www.youtube.com/shorts/dq4FY4Br4hM

 

Wednesday, July 23, 2025

A CONVERSATION WITH A FRIEND IN 2016 ABOUT WHY I LIKE FILMS THAT MAKE ME FEEL

 

A CONVERSATION WITH A FRIEND IN 2016 ABOUT WHY I LIKE FILMS THAT MAKE ME FEEL “ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป”

 

OR WHY I LIKE หอแต๋วแตก AND JEAN-LUC GODARD’S FILMS

 

จริง ๆ แล้วเราไม่มีความเห็นแต่อย่างใดทั้งสิ้นเกี่ยวกับประเด็นที่เพื่อน ๆ บางคนถกกันในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เราก็เลยอ่านสิ่งที่เพื่อน ๆ เขียนที่มันเด้งขึ้นมาใน feed ของเรา แต่เราไม่มีความเห็นแต่อย่างใดเกี่ยวกับประเด็นเหล่านั้น เราก็เลยเน้นอ่านเพียงอย่างเดียว แต่เราไม่ขอแสดงความเห็นใด ๆ

 

แต่พอประเด็นมันแตกแขนงไปไกลจากเดิมมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราได้อ่านความเห็นของเพื่อนบางคน มันก็เลยไปกระตุ้นความทรงจำของเราเกี่ยวกับสิ่งที่เราเคยเขียนสนทนากับเพื่อน/ผู้มีพระคุณท่านหนึ่งในปี 2016 เกี่ยวกับหนังเรื่อง  BY THE TIME IT GETS DARK (2016, Anocha Suwichakornpong, A+30) และประเด็นที่ว่า ทำไมเราถึงมักจะชอบหนังที่เราดูแล้วไม่เข้าใจ (หรือหนังที่ทำให้เรารู้สึกว่า “ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป”)

 

เราก็เลย copy สิ่งที่เราเขียนสนทนากับเพื่อน/ผู้มีพระคุณท่านนั้น มาแปะไว้ในนี้ด้วยเลยดีกว่า (เฉพาะส่วนที่เราเขียน) ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับประเด็นที่เพื่อน ๆ หลายคนถกกันในช่วงนี้แต่อย่างใด เพียงแต่ว่ามีอะไรบางอย่างที่เพื่อนบางคนเขียนในช่วงนี้ แล้วมันทำให้เรานึกถึงบทสนทนานี้ในปี 2016 โดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ

 

สิ่งที่เราเขียนสนทนากับเพื่อน/ผู้มีพระคุณท่านหนึ่งในปี 2016

 

---1.ถ้าดาวคะนอง กำกับโดยผู้กำกับที่ผมไม่รู้จักมาก่อน ผมก็คงชอบหนังเรื่องนี้มากเท่าเดิมครับ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวงการหนังจะมีปฏิกิริยาอย่างไร คือผมคงไม่สามารถให้คำตอบในฐานะตัวแทนของ “วงการหนัง” ได้ครับ แต่ผมสามารถตอบได้ว่าตัวผมเองนั้นคิดและรู้สึกอย่างไรบ้างครับ

 

2.ผมไม่ได้มองหนังทุกเรื่องเป็น “การสื่อสาร” ครับ คือมันมีหนังหลายเรื่องที่ผู้กำกับต้องการ “ส่งสาร” ถึงคนดู แต่มันก็มีหนังหลายเรื่องที่ผู้กำกับไม่ได้ต้องการ “ส่งสาร” ถึงคนดูครับ ด้วยรสนิยมส่วนตัวของตัวผมเองแล้ว ผมมักจะชอบหนังที่ไม่ได้ต้องการ “ส่งสาร” ถึงคนดูครับ และผมมักจะ approach หนังโดยใช้ “ความสุข” ของตัวเองเป็นเกณฑ์ และหนังหลายเรื่องก็ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขได้โดยที่ผมไม่เข้าใจตัวหนังเลย หรือเข้าใจมันแค่ 10% เท่านั้น คือความสุขของผมมักจะไม่เกี่ยวข้องกับ “ความเข้าใจ” น่ะครับ

 

คือด้วยรสนิยมส่วนตัวของตัวผมเองนั้น เวลาดูหนังที่ต้องการ “ส่งสาร” ผมมักจะรู้สึกอึดอัดน่ะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่พอดูหนังที่ไม่ต้องการ “ส่งสาร” ผมกลับรู้สึกว่ามันอิสระดี ผมสามารถคิดและรู้สึกอะไรได้มากมาย โดยใช้ “ภาพ”, “เสียง”, “องค์ประกอบต่างๆทางภาพยนตร์” ที่อยู่ในหนังเรื่องนั้น มาคิดต่อเติมอะไรต่างๆในหัวตัวเองได้อย่างสนุกสนานน่ะครับ เพราะฉะนั้น หนังหลายเรื่องที่ผมชอบ จึงเป็นหนังที่ “สื่อสารล้มเหลว” ครับ แต่เพราะมันสื่อสารล้มเหลว มันจึงเป็นหนังที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขกับมัน เพราะผมสามารถใช้หลายๆอย่างในหนังเรื่องนั้น มารองรับจินตนาการ, ความคิด, ความรู้สึกของตนเองได้อย่างเป็นอิสระ โดยไม่ถูกขัดขวางด้วย “สาร” ของหนังเรื่องนั้น

 

 แต่ไม่ใช่ว่าหนังที่ “ไม่สื่อสาร” ทุกเรื่อง จะเป็นหนังที่ผมชอบนะครับ คือสำหรับผมแล้ว มันเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ คือหนังทดลองบางเรื่อง หรือหนังงงๆบางเรื่อง ผมดูแล้วรู้สึกจูนไม่ติดกับมัน มันไม่ได้กระตุ้นให้ผมรู้สึก ecstasy หรืออะไร ผมก็ไม่ได้ชอบหนังเรื่องนั้นครับ

 

ผมอาจจะตอบไม่ตรงคำถามของคุณ เพราะผมไม่อยากจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ “ดีงาม” หรือ “มีคุณค่า” แต่ผมเพียงแค่อยากจะอธิบายว่า โดยรสนิยมส่วนตัวของผมนั้น ผมชอบหนังแนวที่ “ดูไม่รู้เรื่อง” และ “สื่อสารล้มเหลว” เท่านั้นครับ เพราะผมดูแล้วรู้สึกว่ามันอิสระดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าหนังแนวนี้ทุกเรื่องจะทำให้ผมรู้สึกดีหรือมีความสุขขณะที่ดูมันครับ มันต้องแยกเป็นเรื่องๆไป

 

3.ผมชอบหนังเรื่องนี้จริงๆครับ และที่เขียนไปก็เป็นลักษณะการเขียนเฉพาะตัวของผมครับ คือผมมักจะเขียนเปรียบเทียบหนังเรื่องนึงกับหนังอีกหลายๆเรื่องอยู่แล้วเป็นปกติครับ

 

4.โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบหนังที่ผู้กำกับใส่ฉากต่างๆเข้ามาโดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจครับ 555 โดยเฉพาะผู้กำกับอย่าง Luis Bunuel คือผู้กำกับกลุ่มนี้มักจะทำงานตาม “จิตใต้สำนึก” ครับ คือทำงานตาม “อารมณ์ความรู้สึก” หรือ “สัญชาตญาณ” ที่อยู่นอกเหนือเหตุผลครับ

 

ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆก็คือว่า มันจะมีผู้กำกับสองคนที่ผมชอบครับ คนนึงคือ Alexander Kluge ส่วนอีกคนคือ Dusan Makavejev หนังบางเรื่องของสองคนนี้จะมีบางอย่างคล้ายกัน คือประกอบด้วยส่วนต่างๆมากมาย ไม่ได้เล่าเรื่องเป็นเส้นตรง หนังอาจจะเล่าเรื่องของ A อยู่ดีๆ แล้วฉากต่อมาก็เล่าเรื่องของ b แล้วฉากต่อมาก็เล่าเรื่องของ c แต่ในหนังของ Dusan Makavejev นั้น ผมมักจะหาเหตุผลเชื่อมโยง a-b-c ได้โดยง่าย ในขณะที่หนังของ Alexander Kluge นั้น ผมมักจะหาเหตุผลเชื่อมโยง a-b-c แทบไม่ได้เลย แต่ผมกลับรู้สึก “มีความสุขสุดๆ” ขณะที่ได้ดูมัน มันกระตุ้นความคิดของผม มันมีความคล้องจองบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจมัน มันเหมือนกับว่าหนังเรื่องนั้นกระทบจิตใต้สำนึกของผม หรือกระทบสัญชาตญาณของผม หรือกระทบอะไรบางอย่างในตัวผมที่อยู่นอกเหนือจาก “เหตุผล” เพราะฉะนั้นผมก็เลยชื่นชอบหนังของ Alexander Kluge อย่างสุดๆครับ ทั้งๆที่ผมเข้าใจหนังของเขาแต่ละเรื่องแค่ 10% เท่านั้น เพราะ wavelength ของผู้กำกับคนนี้มันตรงกับผม, หนังของเขากระตุ้นความคิดของผม, หนังของเขาทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ และมัน touch ผมอย่างรุนแรง โดยที่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ผมก็เลยมักจะมีความสุขกับการดูหนังที่ยึด “สัญชาตญาณ” มากกว่า “เหตุผล” น่ะครับ หนังที่ใส่ฉาก a-b-c เข้ามา โดยที่ผมไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกันยังไง ผมหาเหตุผลเชื่อมโยงฉากเหล่านั้นเข้าด้วยกันไม่ได้ ผมรู้แต่ว่า ผมมีความสุขที่ได้ดูมันแค่นั้นเองน่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับที่อาจจะตอบไม่ตรงคำถามของคุณ ผมเพียงแค่อยากจะเล่าถึงรสนิยมของการดูหนังของตัวเองมากกว่าน่ะครับ 555

 

--ผมคิดว่าไม่ได้แกล้งชมครับ เขาชอบกันจริงๆ แต่ก็มีคนในวงการศิลปะบางคนที่ไม่ชอบหนังเรื่องนี้นะครับ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่หนังทุกเรื่องต้องมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ ในบรรดาแวดวงเพื่อนๆนักดูหนังของผมนั้น ผมก็เป็นคนเดียวที่ไม่ชอบหนังของ Yasujiro Ozu, ไม่ชอบ FROM BANGKOK TO MANDALAY และก็เป็นคนเดียวที่ชอบหนังเรื่อง “มหาลัยเที่ยงคืน” กับ “กระสือครึ่งคน” ครับ ในขณะที่เพื่อนๆทุกคนของผมเกลียดหนังสองเรื่องนี้กันหมดเลย เพราะฉะนั้นการที่เรามีความเห็นแตกต่างจากคนอื่น ๆ หรือมีความรู้สึกแตกต่างจากคนอื่นๆ ถือเป็นเรื่องปกติในวงการหนังครับ 555

 

--หนังกลุ่มนี้หลายๆเรื่องมี “การอ่านผิด” “อ่านไม่ถูกต้อง” และ “ดูไม่รู้เรื่อง” ได้ครับ เพียงแต่ว่า การอ่านผิดในการดูหนังประเภทนี้ถือเป็น “เรื่องปกติ” ครับ และนักดูหนังทุกคนก็จะ “อ่านผิด” กับหนังแต่ละเรื่องแตกต่างกันไปครับ ผมเองก็เคยอ่านผิดหนังหลายๆเรื่องเช่นกันครับ และในส่วนของดาวคะนองนั้น ผมก็มั่นใจว่า ผมเองก็อ่านหนังเรื่องนี้อย่างผิดๆถูกๆ และเพื่อนผมหลายๆคนก็อ่านหนังเรื่องนี้อย่างผิดๆถูกๆเหมือนกัน เพียงแต่ผมรู้สึกว่า การอ่านหนังประเภทนี้อย่างผิดๆถูกๆเป็นเรื่องที่สนุกมากครับ

 

 ก่อนอื่นอาจจะต้องอธิบายก่อนว่า หนังแต่ละเรื่องก็มีสัดส่วนของการใช้ความรู้สึกและการใช้เหตุผลแตกต่างกันไปครับ หนังฮอลลีวู้ดบางเรื่องอาจจะใช้เหตุผล 70% ใช้ความรู้สึก 30% และส่งสารอย่างตรงไปตรงมาทั้งหมด, หนังของ Teeranit Siangsanoh อาจจะมีฉากที่เน้นความรู้สึกถึง 90% ของเรื่อง และมีฉากที่ “ซ่อนสาร” แฝงไว้เพียงแค่ 10% ของหนัง ในขณะที่หนังของ Alexander Kluge อาจจะมีสารซ่อนอยู่ในทุกฉาก แต่การเชื่อมโยงฉากเหล่านี้เข้าด้วยกันอาจจะต้องใช้ความรู้สึกเป็นหลัก

 

เพราะฉะนั้นหนังที่ “เปิดอิสระในการตีความ” จึงอาจจะมีการตีความผิดได้ครับ เพราะถึงแม้หนังเรื่องนั้นเน้นความรู้สึกเป็นหลัก แต่หนังเรื่องนั้นจริงๆแล้วก็อาจจะมีสารแฝงไว้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าจุดประสงค์หลักของผู้สร้างหนังไม่ได้ต้องการให้ผู้ชมทุกคนได้รับสารที่เหมือนกันอย่างตรงไปตรงมาแบบ “นิทานอีสป” หรือนิทานที่บอกคติสอนใจตอนท้ายเรื่อง จุดประสงค์ของผู้สร้างหนังบางคนในกลุ่มนี้อาจจะเป็นการกระตุ้นความคิดผู้ชม และเปิดโอกาสให้ผู้ชมตีความได้อย่างเป็นอิสระ และผู้ชมแต่ละคนก็จะตีความฉากและองค์ประกอบต่างๆในหนังถูกบ้างผิดบ้าง ตรงกับความตั้งใจของผู้กำกับบ้าง หรือไม่ตรงกับความตั้งใจของผู้กำกับบ้าง “เป็นเรื่องปกติธรรมดา” ครับ

 

ผมขอเล่าประสบการณ์การดูหนังของตัวเองประกอบด้วยแล้วกันนะครับ เพื่อแสดงให้เห็นว่า การอ่านผิดในการดูหนังประเภทนี้ เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับผม และผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกสนานดีมากสำหรับผมครับ

 

1.ในหนังโปแลนด์เรื่อง A SHORT FILM ABOUT LOVE มีฉากนางเอกทำนมหกบนโต๊ะ และผู้ชมหลายคนก็ตีความสิ่งนี้แตกต่างกันไป แต่ผู้กำกับบอกว่า ฉากนี้ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์แทนอะไรเลย เขาใส่ฉากนี้เข้ามาเพราะมันสอดคล้องกับความรู้สึกของเขาแค่นั้นเอง

 

2.หนึ่งในหนังที่ผมชอบมากที่สุดในชีวิตคือเรื่อง LA CHINOISE (1967, Jean-Luc Godard) ซึ่งเป็นหนังที่ผู้ชมหลายคนเกลียดมากๆ แต่ตอนที่ผมดูหนังเรื่องนี้ในรอบแรกนั้น ผมรู้สึกจูนติดกับหนังอย่างรุนแรงมากๆ และสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าพฤติกรรมของตัวละครในเรื่องทำให้ผมนึกถึงเพื่อนๆตัวเอง

 

เพราะฉะนั้นในการดูหนังเรื่อง LA CHINOISE รอบแรกนั้น ผมก็ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ เพราะ “ความรู้สึก” และ “ประสบการณ์ชีวิต” ของตัวเองครับ แต่ในการดูรอบแรกนั้น ผมตีความหนังเรื่องนี้ว่าเป็นการสะท้อน “ความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีนิยมกับโลกคอมมิวนิสต์ในทศวรรษ 1960” แต่พอผมได้ดูหนังเรื่องนี้รอบสองในอีก 3 ปีต่อมา ผมก็เริ่มตามทัน dialogues ของตัวละครได้มากขึ้น เริ่มหาเหตุผลเชื่อมโยงสิ่งต่างๆในหนังเรื่องนี้เข้าด้วยกันได้อย่างเป็นระบบระเบียบมากขึ้น และความรู้รอบตัวของผมก็เพิ่มมากขึ้นด้วยในการดูรอบสอง (เมื่อเทียบกับการดูรอบแรก) และผมก็พบว่า จริงๆแล้วหนังเรื่อง LA CHINOISE มันพูดถึง “ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์แบบโซเวียต กับกลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์แบบจีน” ต่างหาก ตัวละครที่ด่าทอกันอย่างรุนแรงในหลายๆฉากในหนังเรื่องนี้ มันสะท้อนความขัดแย้งระหว่างโซเวียตกับจีน มันไม่ได้สะท้อนความขัดแย้งระหว่างเสรีนิยมกับคอมมิวนิสต์เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้ในการดูรอบแรก

 

เพราะฉะนั้นผมก็เลยพบว่า ผม “อ่านผิด”, “อ่านไม่ถูกต้อง” เพราะผม “ไม่มีความรู้” ในการดู LA CHINOISE รอบแรกครับ แต่ผมก็มองว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เราจะเข้าใจผิดอะไรแบบนี้ และสาเหตุนึงอาจจะเป็นเพราะว่า LA CHINOISE เป็นหนังเรื่องแรกที่ผมได้ดูในชีวิตนี้ที่พูดถึงความขัดแย้งระหว่างโซเวียตกับจีน ในขณะที่หนังที่ผมเคยดูมาตั้งแต่เด็กจนโตในยุคสงครามเย็น มันพูดถึงความขัดแย้งระหว่างเสรีนิยมกับโซเวียตทั้งนั้นเลย พอดู LA CHINOISE รอบสอง ผมก็ยิ่งชอบหนังมากขึ้นไปอีกครับ คือการดู LA CHINOISE รอบแรกมันตอบสนองผมในด้านอารมณ์ความรู้สึก แต่การดู LA CHINOISE รอบสอง มันให้ “ความรู้” กับผมด้วย

 

 LA CHINOISE และหนังหลายๆเรื่องของ Jean-Luc Godard อาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งของหนังที่ผู้ชมแต่ละคนสามารถ approach หนังได้แตกต่างกันไปครับ ใครจะ approach หนังด้วยความรู้สึกก็ได้ หรือใครจะพยายามตีความหนังเพื่อหาสารที่ซ่อนแฝงอยู่ในหนังก็ได้ครับ และในหนังของ Jean-Luc Godard นั้น จริงๆแล้วหนังอาจจะพูดถึงประเด็น ABCDEFGHIJ แต่ตอนที่ผมดูหนังของ Godard นั้น ผมจะคิดถึงประเด็น AB LMNOP อิสริยาอาจจะคิดถึงประเด็น CD OPQRS นางสาวมารติสอาจจะคิดถึงประเด็น FG TUVWX อะไรแบบนี้ครับ คือเวลาที่ดูหนังประเภทนี้ คนดูส่วนใหญ่จะตีความผิดๆถูกๆทั้งนั้นแหละครับ ผมอาจจะเข้าใจช่วงแรกของหนังได้อย่างถูกต้อง แต่ตีความช่วงกลางกับช่วงท้ายของหนังผิด อิสริยาอาจจะตีความช่วงท้ายของหนังถูก แต่ตีความช่วงแรกของหนังผิด มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ

 

แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับผมก็คือว่า ขณะที่ดูนั้น ผมรู้สึกสนุกและมีความสุขมากๆ กับการได้ใช้ความคิด+ตีความมันอย่างผิดๆถูกๆ เสร็จแล้วก็มาพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆที่ตีความไม่เหมือนกับเรา หรือตามอ่านบทวิจารณ์ของคนที่ตีความไม่เหมือนกับเราครับ มันสนุกดี คือในการดูหนังปกตินั้น หนังที่สื่อสาร ABCDEFGHIJ อย่างตรงไปตรงมา พอเราดูจบ เราก็ได้รับสาร ABCDEFGHIJ เท่านั้นครับ แต่ในการดูหนังของ Jean-Luc Godard นั้น เมื่อเราดูจบ แล้วเราได้พูดคุยกับเพื่อนๆแล้ว เราอาจจะได้รับรู้อะไรต่างๆมากมายมากกว่าที่หนังบอกไว้ครับ เราอาจจะได้รับรู้ประเด็น ABCDFG LMNOPQRSTUVW ก็ได้ครับ เพราะหนังที่เปิดกว้างแบบนี้ มันไปกระตุ้นความรู้+ความทรงจำ+ประสบการณ์ชีวิตในตัวผู้ชมแต่ละคนด้วย และในเมื่อมนุษย์ทุกคนแตกต่างกัน ผู้ชมแต่ละคนก็ย่อมมีประสบการณ์ชีวิต+ความรู้+ความทรงจำ+รสนิยม+อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกัน หนังที่เปิดกว้างแบบนี้ จึงไปกระตุ้นความทรงจำ S ในผู้ชมคนที่หนึ่ง และไปกระตุ้นความทรงจำ Y ในผู้ชมคนที่สอง และพอแต่ละคนแสดงความเห็นที่ไม่เหมือนกันออกมา คนที่อ่านก็จะได้รับรู้ S และ Y ไปด้วย โดยที่ผู้สร้างหนังไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้แต่อย่างใด ว่าหนังของตนเองจะไปกระทบอะไรในตัวผู้ชมคนใดบ้าง เพราะผู้ชมทุกคนย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา

 

 และจริงๆแล้ว เวลาดูหนังของ Godard ผมเองก็ไม่ได้ดูพร้อมกับตั้งใจว่า “ฉันจะต้องตีความฉากนี้ให้ได้” ด้วยครับ ผมดูพร้อมกับตั้งใจว่า “ฉันจะพยายามจูน wavelength” ของตัวเองให้เข้ากับหนังเรื่องนี้ เพื่อจะได้ปล่อยอารมณ์ความรู้สึกให้ไหลไปกับมัน และในระหว่างที่ดู ถ้าหากมันมีสารใดในหนังที่มากระทบเรา เราก็จะรับสารนั้นไว้ แต่ถ้าหากเราหาสารในหนังไม่เจอ เราก็ไม่แคร์ 555

 

สมมุติผมดูหนังเรื่องนึงของ Godard แล้วผมเขียนว่า หนังเรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงประเด็น AB LMNOP ไม่ว่าหนังจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แล้วมีคนฝรั่งเศสมา comment ว่า ไม่ใช่ คุณอ่านผิด, คุณอ่านไม่ถูกต้อง หรือคุณไม่มีความรู้ดีพอ จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้พูดถึงประเด็น ABCDEFGHIJ ต่างหาก ผมก็จะมองว่า มันเป็น “เรื่องปกติธรรมดา” ครับ และการที่ผมอ่านหนังของ Godard ผิดในบางส่วน ไม่ได้ทำให้ผมชอบหนังเรื่องนั้นน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะผมมีความสุขมากพอแล้วจากอารมณ์ความรู้สึกที่ได้รับจากหนังเรื่องนั้น และจากความสนุกในการพยายามได้ตีความหนังเรื่องนั้นอย่างผิดๆถูกๆครับ

 

3.ตัวอย่างหนึ่งของหนังทำนองนี้คือหนังเรื่อง EUROPA 2005 – 27 OCTOBER (2006, Jean-Marie Straub+ Daniele Huillet, 10min) ครับ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหนังสั้นที่ผมชอบมากที่สุดในชีวิต ในหนังเรื่องนี้ กล้องจะถ่ายตรอกเล็กๆตรอกหนึ่งในกรุงปารีสประมาณ 5 เที่ยว และผมก็ดูแล้วรู้สึกว่ามันทรงพลังมาก ประทับใจอย่างรุนแรงมากๆ คือตรอกเล็กๆนี้เป็นตรอกที่เด็กหนุ่มต่างชาติสองคนถูกตำรวจยิงตาย แล้วเหตุการณ์นี้ก็ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์จลาจลอย่างรุนแรงในกรุงปารีสตามมา แต่หนังไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์เหล่านี้เลย และมันก็ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะเราหาข้อมูลเหล่านี้จากข่าวหรือ Wikipedia ได้อยู่แล้ว หนังแค่ถ่ายตรอกเล็กๆนี้ 5 รอบเท่านั้น

 

ถ้าถามผมว่า ทำไมผมถึงรู้สึกรุนแรงกับหนังเรื่องนี้มากๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเดาว่าหนังมันคงมี wavelength ที่ตรงกับผม, มัน touch จิตใต้สำนึกและสัญชาตญาณของผม และมันมีลักษณะ minimal ซึ่งสอดคล้องกับรสนิยมส่วนตัวของผม นอกจากนี้ การดูหนังเรื่องนี้ยังทำให้ผมคิดไปถึงว่า วิญญาณของเด็กสองคนนี้อาจจะยังคงวนเวียนอยู่ในตรอกนี้ ไปไหนไม่ได้ และการวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหนังเรื่องนี้ ยังทำให้ผมคิดถึงประเด็นเรื่อง racism ในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปี แล้วยังแก้ไขไม่ได้ด้วย

 

 และพอผมได้พูดคุยกับเพื่อนๆถึงหนังเรื่องนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกสนุกกับหนังมากขึ้นไปอีก เพราะเพื่อนผมบางคนได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในการวน loop 5 รอบในหนังเรื่องนี้นั้น ถ้าสังเกตให้ดี loop แต่ละรอบจะมีอะไรแตกต่างกัน บาง loop ไม่มีเสียงหมาเห่า บาง loop มีเสียงหมาเห่าที่มาในจังหวะเวลาไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ ถ้าสังเกตเงาต้นไม้ เราอาจจะพบอีกด้วยว่า แต่ละ loop ถ่ายทำในเวลาที่แตกต่างกันไปของวัน แต่ผมสามารถตีความเสียงหมาเห่า, เงาต้นไม้ที่แตกต่างกันในหนังเรื่องนี้ได้หรือไม่ ผมก็ไม่สามารถตีความได้ และผมก็ไม่แคร์มันแต่อย่างใด เพราะหนังเรื่องนี้มันสะเทือนความรู้สึกผมอย่างรุนแรงไปแล้ว โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องเข้าใจเสียงหมาเห่าที่มาในจังหวะเวลาที่แตกต่างกันในแต่ละ loop ในหนังเรื่องนี้แต่อย่างใด และถ้าหากมีใครบอกว่า การวน loop ในหนังเรื่องนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อสะท้อนวิญญาณที่ไปไหนไม่ได้แต่อย่างใด ผมก็มองว่าเป็นเรื่องปกติครับ คือผมสนใจแค่ว่าหนังเรื่องนี้ “ทำให้ผมคิดถึงอะไรบ้าง ไม่ว่าผู้กำกับจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม” มากกว่าที่จะสนใจว่า “ผมตีความแต่ละอย่างในหนังถูกต้องตรงตามที่ผู้กำกับตั้งใจหรือเปล่า” ครับ

 

--คือถ้าหากผมเจองานเขียนที่ผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ ผมก็จะมองมันแบบนี้ครับ

 

1.งานเขียนชิ้นนั้นทำให้ผม “รู้สึก” อะไรบ้าง ถ้าหากมันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขได้ ทั้งๆที่ผมไม่เข้าใจมันทั้งหมด หรือเข้าใจมันแค่ 10% ผมก็จะชอบมันอย่างสุดๆครับ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว บทกวีของ Emily Dickinson จะทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ และหนังทดลองบางเรื่อง ก็ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ครับ

 

 2.งานเขียนชิ้นนั้นกระตุ้นความคิดอะไรผมบ้าง ถ้าหากมันกระตุ้นความคิดผมได้อย่างสนุกสนาน ผมก็อาจจะชอบมันอย่างสุดๆก็ได้ครับ ถึงแม้ผมอาจจะเข้าใจมันเพียงแค่ 0-15% ก็ตาม

 

3.แต่ถ้าหากผมอ่านงานเขียนชิ้นนั้นแล้วไม่เข้าใจ, พบว่ามันไม่ได้กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของผม, มันไม่ได้กระตุ้นความคิดของผมได้อย่างสนุกสนาน , มันไม่ได้กระตุ้นให้ผมไปถกกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน, ไม่ได้กระตุ้นให้ผมไปขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม ฯลฯ ผมก็อาจจะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ผมไม่ชอบงานเขียนชิ้นนั้น” “งานเขียนชิ้นนั้นไม่มีคุณค่าสำหรับผม” แต่มันอาจจะเป็นงานเขียนที่ “ดีมากๆ” สำหรับคนอื่นๆก็ได้ หรืออาจจะเป็นงานเขียนที่สร้างความรู้สึกงดงามมากๆให้กับผู้อ่านบางคนก็ได้ ผมเพียงแค่ไม่ใช่ผู้อ่านกลุ่มเป้าหมายของงานเขียนชิ้นนั้นเท่านั้นเอง งานเขียนชิ้นนั้นไม่มีคุณค่าสำหรับผม แต่อาจจะมีคุณค่าสำหรับผู้อ่านอีก 1-2 ล้านคนบนโลกนี้ก็ได้ครับ

 

 เพราะฉะนั้นการประเมินคุณค่าสิ่งใดก็ตามทุกครั้งของผม จึงเป็นการประเมินคุณค่าสำหรับตัวผมเองเป็นหลักเท่านั้นครับ หนังที่ผมชอบในระดับ A+30 จึงหมายถึงหนังที่ผมชอบสุดๆ และมันอาจจะเหมาะกับเพื่อนๆบางคนของผมที่มีรสนิยมสอดคล้องกับผม แต่แน่นอนว่ามันอาจจะไม่เหมาะกับคนอีกหลายล้านคนบนโลกนี้ ผมมองว่าคนทุกคนแตกต่างกันครับ สิ่งที่เหมาะกับคนคนนึงอาจจะไม่เหมาะกับคนคนนึงก็ได้ มันเป็นเรื่องธรรมดา และผมมองว่าไม่มีหนังเรื่องใดในโลกที่สร้างขึ้นมาเพื่อ “ผู้ชมทุกคนบนโลกนี้” หนังแต่ละเรื่องต่างก็สร้างขึ้นเพื่อผู้ชมเฉพาะกลุ่มทั้งนั้นครับ

 

ผมมักจะเปรียบเทียบเรื่องนี้กับการแพ้ยาของตัวเองครับ คือผมแพ้ยา amoxil แต่ไม่แพ้ยา ciprofloxacin และการที่ผมแพ้ยา amoxil นั้น ผมมองว่ามันไม่ใช่ความผิดของผม และไม่ใช่ความผิดของยา amoxil และไม่ใช่ความผิดของคนที่ผลิตยา amoxil และไม่ใช่ความผิดของคนที่ไม่แพ้ยา amoxil ด้วย เพราะฉะนั้น ผมจึงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ยา amoxil ไม่มีคุณค่าสำหรับผม” “ผมไม่ชอบยา amoxil” แต่ผมจะไม่พูดว่า “ยา amoxil ไม่มีประโยชน์สำหรับคนอื่นๆ” ครับ

 

 ฉันใดก็ฉันนั้น ผมดูหนังที่ “สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา” บางเรื่อง แล้วรู้สึกอึดอัด รู้สึกว่าตัวสารมันไปบีบรัดหนังเรื่องนั้นจนผมไม่มีความสุขในขณะที่ได้ดู ผมก็จะรู้สึกเหมือนกับยา amoxil ครับ คือผมไม่ชอบหนังเรื่องนั้น, หนังเรื่องนั้นไม่ทำให้ผมมีความสุข แต่ผมรู้สึกว่าตัวผมไม่ผิดที่ไม่ใช่ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายของหนังเรื่องนั้น และผู้สร้างหนังเรื่องนั้นก็ไม่ผิดที่ไม่ได้สร้างหนังเรื่องนั้นขึ้นมาเพื่อผม เขาแค่สร้างหนังเรื่องนั้นขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชมกลุ่มอื่นๆแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นผมจึงมองว่า ผู้กำกับ “ดาวคะนอง” เขาอาจจะสร้างหนังที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาอาจจะมีรสนิยมคล้ายผมกับเพื่อนๆบางคนของผมก็ได้ นั่นก็คือมีความสุขกับการดูหนังแบบนี้, ดูหนังแนวนี้แล้วรู้สึกเป็นอิสระดี ฯลฯ

 

---มันเหมือนกับว่า ถ้าหากเขาสร้างหนังแบบ “ดาวคะนอง” มันก็คือการสร้างหนังเพื่อตอบสนองผู้ชมกลุ่ม B+C แต่ไม่ได้ตอบสนองผู้ชมกลุ่ม A แต่ถ้าหากเขาเลือกสร้างหนังที่เน้นการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา มันก็คือการสร้างหนังเพื่อตอบสนองผู้ชมกลุ่ม A+B แต่ไม่ได้ตอบสนองผู้ชมกลุ่ม C และพอดีผมกับเพื่อนๆของผมอยู่ในกลุ่ม C น่ะครับ เพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยเชียร์หนังเรื่องนี้อย่างมากๆ เพราะมันตรงกับรสนิยมของเรา และอาจจะตรงกับรสนิยมของผู้กำกับเองด้วย และนี่อาจจะเป็นการตอบคำถามที่ว่า ทำไมเขาถึงสร้างหนังที่อาจจะ “ดูยาก” ในสายตาของผู้ชมบางกลุ่มครับ เพราะหนังที่ “ดูยาก” ในสายตาของผู้ชมกลุ่ม A อาจจะเป็นหนังที่ดูแล้วมีความสุขในสายตาของผู้ชมกลุ่ม C ก็ได้

 

แต่เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ ยกตัวอย่างเช่น FROM BANGKOK TO MANDALAY เป็นหนังที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองเพื่อน ๆ หลายคนของผม แต่ไม่ได้ตอบสนองผม กระสือครึ่งคน เป็นหนังที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองผม แต่ไม่ได้ตอบสนองเพื่อน ๆ บางคนของผมรุ่นพี่” ของวิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง เป็นหนังที่มีแนวคิดทางการเมืองสอดคล้องกับผม แต่ผมจูนไม่ติดกับหนังเรื่องนี้เลย โดยไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ชอบหนังเรื่องนี้ หนังเรื่องนี้ไม่ได้ตอบสนองผม แต่สามารถตอบสนองเพื่อนๆเสื้อแดงหลายๆคนของผม เพราะฉะนั้นผมก็เลยพบว่ามันเป็นเรื่องที่ปกติที่สุดครับ ที่หนังหลายๆเรื่องที่ผมชอบในระดับ A+30 เป็นหนังที่ได้เกรด F จากเพื่อน ๆ ของผม เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลกแตกต่างกัน ผมกับเพื่อน ๆ ไม่ใช่คนคนเดียวกัน และหนังทุกเรื่องบนโลกนี้ต่างก็สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนอง “ผู้ชมเฉพาะกลุ่ม หรือผู้ชมบางคน” ทั้งนั้น ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อ “ผู้ชมทุกคนบนโลก” เพราะฉะนั้นผมก็เลยมองว่า “ดาวคะนอง” สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองผู้ชมกลุ่ม C (ซึ่งมีผมกับเพื่อนๆบางคนเป็นส่วนหนึ่งในนั้น) แต่ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองผู้ชมกลุ่ม A แค่นั้นเองครับ

 

---ผมเองนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “ความตั้งใจ” ของผู้ประพันธ์มากเท่ากับ “อารมณ์ความรู้สึก” ของตัวเองครับ เพราะจุดประสงค์หลักที่ผมดูหนัง ไม่ใช่เพื่อดู “หนังดี” หรือ “หนังที่มีคุณค่า” ในสายตาของคนอื่นๆ แต่เพื่อหาความสุขจากการดูหนังครับ เพราะฉะนั้นผมจึงต้องการดูหนังอย่างดาวคะนอง, หอแต๋วแตก, มหาลัยเที่ยงคืน, กระสือครึ่งคน เพราะหนังพวกนี้ตอบสนองผมด้านอารมณ์ความรู้สึก ทำให้ผมมีความสุขขณะที่ได้ดูด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป ดาวคะนองกระตุ้นความคิดผม และทำให้ผมรู้สึกเป็นอิสระขณะที่ได้ดู, มหาลัยเที่ยงคืนทำให้ผมรู้สึกซึ้งกับพระเอก+นางเอก, หอแต๋วแตกตอบสนองความเป็นกะเทยในตัวผม, กระสือครึ่งคนทำให้ผมรู้สึกแปลกใหม่ ฯลฯ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ค่อยแคร์ว่า ผู้สร้างหนังแต่ละเรื่องในกลุ่มนี้ มีจุดประสงค์อะไร, ต้องการสื่อสารอะไร (คือแคร์บ้าง แต่ไม่ได้แคร์มากนัก) , หนังเหล่านี้ได้รับคำชื่นชมจากคนอื่นๆหรือไม่ หรือได้รับคำก่นด่าจากคนอื่นๆหรือไม่ หนังเรื่องนี้ “ดี” หรือ “มีคุณค่า” ในสายตาของคนอื่นๆหรือไม่ เพราะคนอื่นๆ ไม่ใช่ตัวผม เขาไม่มีทางเข้าใจหรอกว่า ผมจะคิดและรู้สึกอย่างไรกับหนังเรื่องอะไร เพราะขนาดตัวผมเองนั้น เป็นเพื่อนกับ filmsick และ chayanin มาสิบปีแล้ว ยังเดาไม่ถูกเลยว่า เขาจะรู้สึกอย่างไรกับหนังเรื่องไหน เขาจะเห็นด้วยกับเราหรือเห็นตรงข้ามกับเราในหนังเรื่องไหน

 

เพราะฉะนั้นในเมื่อจุดประสงค์ในการดูหนังของผม คือเพื่อหาความสุขจากการดูหนัง ไม่ใช่เพื่อดูหนังที่ “ดี” หรือ “มีคุณค่า” ในสายตาของคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นผมจึงให้ความสำคัญมากที่สุดกับอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเป็นสำคัญครับ ในขณะที่ “ความตั้งใจของผู้สร้างหนัง” เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญบ้างในระดับที่แตกต่างกันไปในหนังแต่ละเรื่องครับ บางเรื่องผมก็อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญเลย แต่บางเรื่อง “เจตนา” ของผู้สร้างหนัง ก็อาจจะมีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของผมในขณะที่ได้ดูครับ

 

 ยกตัวอย่างเช่น หนังเรื่อง YOU HAVE TO WAIT ANYWAY ของนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์นั้น หนังเป็นการถ่ายสนามหญ้า+อัฒจันทร์เล็กๆ เป็นเวลาประมาณ 22 นาที ผมดูแล้วก็เพลินดี รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งเบาสบายขณะที่ได้ดู ผมชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30 แต่ก็ไม่ได้ชอบถึงขั้นที่จะติดอันดับประจำปี เพราะผมเดาเอาเองว่า ผู้กำกับหนังเรื่องนี้อาจจะต้องการ “แกล้ง” คนดู เขาอาจจะถ่ายสนามหญ้าโล่งๆเพื่อแกล้งคนดูให้ดูอะไรแบบนี้ เขาไม่ได้ถ่ายมัน เพราะตัวเขาเอง “มีความสุข” ที่ได้จ้องมองอะไรแบบนี้เป็นเวลานานๆ การที่ผมเดาเจตนาของตัวผู้กำกับไปในทางลบแบบนี้ มีส่วนในการทำให้ผมไม่ได้ “มีความสุขอย่างรุนแรง” เมื่อย้อนรำลึกถึงหนังเรื่องนี้

 

แต่หนังอย่าง RUHR (2009, James Benning, 120min) นั้น มีฉากถ่ายปล่องไฟเป็นเวลา 60 นาที ซึ่งผมไม่รู้เจตนาของผู้กำกับ และเพื่อนผมแต่ละคนก็อาจจะตีความเจตนาของผู้กำกับแตกต่างกันไป หรือ “รู้สึก” กับภาพที่ได้เห็นในแบบที่แตกต่างกันไป แต่ในกรณีของ RUHR นั้น มันถือเป็นหนึ่งในหนังที่ผมชอบมากที่สุดเท่าที่ได้ดูมาในชีวิตนี้ เพราะผมรู้สึกตราตรึงมากๆกับการนั่งจ้องปล่องไฟในโรงหนังเป็นเวลา 60 นาที และมีความสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึงประสบการณ์ในครั้งนั้น ไม่ว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้จะมีเจตนาเป็นเช่นใดก็ตาม เพราะฉะนั้น RUHR กับ YOU HAVE TO WAIT ANYWAY จึงเป็นหนังที่มีอะไรคล้ายๆกันครับ มันปล่อยให้คนดูจ้องมองอะไรนิ่งๆนานๆเหมือนกัน แต่ “การที่ผมคาดเดาเจตนาของผู้กำกับในทางลบ” ทำให้ความสุขที่ผมได้รับจาก YOU HAVE TO WAIT ANYWAY ลดลงนิดนึง ในขณะที่ RUHR นั้น ความสุขที่ผมได้รับจากหนังเรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจตนาของผู้กำกับแต่อย่างใดครับ

 

 

Tuesday, July 22, 2025

VERNACULAR DREAMSCAPES: NOCTURNAL DREAM DISPOSAL

 

ชอบหนังเรื่อง PRECIPICE (2025, Kent Tate, Canada, 3min, A+30) มาก ๆ

 

RAIN (2024, Mike Hoolboom, Canada, 5min, A+30)

https://vimeo.com/876667655

 

VERNACULAR DREAMSCAPES: NOCTURNAL DREAM DISPOSAL (2024, Marc Richter, Germany, 9min, A+30)

 

1. หนังทดลองที่เพิ่งมาฉายที่หอภาพยนตร์ ศาลายาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และเป็นหนังที่มีให้ดูในยูทูบด้วย เราดูแล้วก็นึกถึงทั้ง

 

1.1 Matthew Barney (CREMASTER)

 

1.2 Tarsem Singh (THE CELL, THE FALL)

 

1.3 Salvador Dalí

 

ที่เรานึกถึงทั้ง 3 คนนี้เป็นเพราะว่า ทั้ง 3 คนนี้สร้างสรรค์โลกสมมุติที่ดูเพี้ยนพิลึกและสวยงามแบบวิปริตและทรงพลังได้เหมือน Marc Richter เหมือนกัน

 

2. พอดูหนังเรื่องนี้แล้ว ก็คิดว่าพลังของ “โลกสมมุติที่สวยงามแบบวิปริต” อย่างในหนังเรื่องนี้ สามารถพัฒนาต่อไปได้เป็น

 

2.1 production design ในหนังสักเรื่อง

 

2.2 หนัง horror

 

2.3 video games

 

2.4 สวนสนุก

 

เพราะเราดูแล้วก็รู้สึกว่า เราอยากเข้าไปผจญภัยในสถานที่ต่าง ๆ แบบในหนังเรื่องนี้มาก ๆ

 

THE BIRDS CHOOSE THE CARDS (2024, Basim Magdy, Egypt/Switzerland, 24min, A+30)

 

หนังเรื่องนี้เพิ่งมาฉายที่หอภาพยนตร์ ศาลายา ในเทศกาลภาพยนตร์ Signes de Nuit และก็มีให้ดูออนไลน์ด้วย ถือเป็นหนึ่งในหนังที่พิศวงที่สุดที่เราได้ดูมาในปีนี้ เพื่อนบอกว่าดูแล้วนึกถึง SANS SOLEIL (1983, Chris Marker, A+30)

++++++++

 

หนึ่งในสิ่งที่ประทับใจสุดขีดในเทศกาลภาพยนตร์ Signes de Nuit ก็คือว่า ปีนี้มีภาพยนตร์หลายเรื่องมาก ๆ ที่ถ่ายโดยใช้ “ฟิล์ม” ไม่ได้ถ่ายด้วยกล้องดิจิทัล คือถ้าดูใน end credits ของหนังหลาย ๆ เรื่องในเทศกาลนี้ ก็จะเจอสัญลักษณ์ KODAK ปรากฏอยู่ในหนังหลายเรื่องในเทศกาล

 

มีเพื่อนคนนึงบอกว่า ทางบริษัท KODAK เองก็เคยระบุว่า ที่ทางบริษัทอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ ก็เป็นเพราะว่า วงการ EXPERIMENTAL FILMS ยังคงนิยมชมชอบใช้ฟิล์มในการสร้างภาพยนตร์อยู่ คือพูดในทำนองที่ว่า “Experimental films save our company.” อะไรทำนองนี้ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่เพื่อนพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่านะ)

 

แต่จริง ๆ แล้วเราก็ไม่มีปัญหาอะไรกับหนังดิจิทัลนะ คือจะถ่ายด้วยกล้องแบบไหน กล้องถูกหรือกล้องแพง เราก็ชอบได้หมดน่ะแหละ เพียงแต่ว่าเสน่ห์ของกล้องแต่ละแบบมันก็แตกต่างกันไป ภาพแบบดิบ ๆ ก็มีเสน่ห์แบบนึง ภาพที่ถ่ายด้วยฟิล์มก็จะมีมนตร์ขลังอีกแบบนึง เพียงแต่ว่าตอนนี้เราอาจจะไม่ได้ดู “หนังที่ถ่ายด้วยฟิล์ม” บ่อยนัก ยกเว้นในเทศกาลภาพยนตร์ Signes de Nuit นี่แหละ ที่ได้ดู “หนังที่ถ่ายด้วยฟิล์ม” เยอะมาก

 

ภาพจาก GHOSTING MOTHER (2025, Bernard Mescherowsky, Germany, 16min, A+30) ที่ถ่ายด้วยฟิล์ม 16 มม.

 

++++

RIP Malcolm-Jamal Warner เราเคยดู THE COSBY SHOW (1984-1992) ตอนที่มันมาฉายทางช่อง 9 ในทศวรรษ 1980 แต่เราน่าจะเคยดูแค่ซีซั่นเดียวมั้ง

 

Saturday, July 19, 2025

Most Desirable Actor: Sharnaaz Ahmad from BLOOD BROTHERS: BARA NAGA

 

เมื่อวานเรียก Grab Bike ปรากฏว่าได้คนขับนามสกุล โพธิ์แก้ว เหมือนกับเรา เราก็เลยบอกเขาว่า เรามีนามสกุลเดียวกันเลยนะ พื้นเพครอบครัวของพ่อเรามาจากจังหวัดนครนายก เขาก็เลยบอกว่า พื้นเพของเขามาจากร้อยเอ็ด เราก็เลยได้ข้อสรุปในใจว่า เขาคงไม่ใช่ญาติเรา จบ

 

จริง ๆ แล้วนามสกุล โพธิ์แก้ว เป็นนามสกุลโหล เพราะว่ามีคนที่มีนามสกุลนี้อยู่ในทั่วทุกจังหวัดในไทย แต่เราก็แอบสงสัยว่า บางคนอาจจะเป็นญาติของเราหรือเปล่า เพราะว่าครอบครัวของพ่อเราเป็นครอบครัวชาวนาในจังหวัดนครนายก ส่วนพ่อของเราเป็นทหารบก แต่พ่อของเราตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1976 ตอนที่เราอายุ 3 ขวบ แล้วหลังจากนั้นเราก็แทบไม่เคยติดต่อกับครอบครัวของพ่ออีกเลย

 

จนตอนนี้เรามีอายุ 52 ปีแล้ว เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่า ปู่กับย่าของเรามีชื่อว่าอะไร พ่อของเรามีพี่น้องกี่คน เรามีลูกพี่ลูกน้องฝั่งพ่อหรือไม่ อะไรทำนองนี้

 

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เราเพิ่งคุยกับแม่ แล้วเราก็เลยเพิ่งรู้ว่า พ่อของเราเคยไปรบในสงครามเวียดนาม และเคยไปประจำการที่ “ตาคลี นครสวรรค์” ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ด้วย ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด

++++++

 

เห็นมีข่าวเกี่ยวกับประเทศ ESWATINI เราก็งงว่ามันมีประเทศนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอวะ กูไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็เลยไปกูเกิลดู แล้วก็เลยรู้ว่า มันคือประเทศ Swaziland นี่เอง แต่ Swaziland ได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ESWATINI ในปี 2018 เพื่อไม่ให้คนสับสนระหว่าง Swaziland กับ Switzerland

 

อันนี้เป็นรูปของพระราชินี Queen Inkhosikati LaNgangaza ซึ่งเป็นมเหสีองค์ที่ 4 ของกษัตริย์ ESWATINI

++++++++

 

ซื้อกิ๊บหนีบผมหมีมา 2 อัน กับที่รัดผมหมีมาอันนึง คนขายถามว่า “ซื้อไปให้ลูกเหรอคะ” เราเลยตอบว่า “ยังไม่มีลูกครับ ยังหาผัวไม่ได้”

 

555555 JUST KIDDING ข้างบนเป็นแค่คำตอบในจินตนาการ

 

จริง ๆ คือเราตอบคนขายไปว่า “ซื้อไปให้ตัวเองครับ ชอบสะสมของที่เป็นอะไรหมี ๆ”

 

ตอนนี้เราเลยลองเอากิ๊บหมีมาหนีบหูฟังแทน

+++++

 

Most Desirable Actor: Sharnaaz Ahmad from BLOOD BROTHERS: BARA NAGA (2025, Abhilash Chandra, Syafiq Yusof, Malaysia, A+30)

 

ขอมอบรางวัล most desirable actor ประจำเดือนนี้ให้กับ Sharnaaz Ahmad จากมาเลเซียค่ะ หล่อล่ำมาก ๆ เห็นเขาแล้วนึกถึงนักกล้ามของไทยที่เป็นขวัญใจของเรา ซึ่งก็คือคุณ Ratchapol Simarangsun หรือ Tossagunz รูปผู้ชายถอดเสื้อที่เราโพสท์ไว้นี้เป็นรูปของคุณ Ratchapol นะคะ

 

 

Thursday, July 17, 2025

SUPERMAN OR HOW TO DEAL WITH “GOOD-SIDE CHARACTERS” WHO SEEM TO BE TOO POWERFUL

 

SUPERMAN OR HOW TO DEAL WITH “GOOD-SIDE CHARACTERS” WHO SEEM TO BE TOO POWERFUL

 

1. เราเพิ่งได้ดู SUPERMAN (2025, James Gunn, A+30) เมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งเป็นหนังที่เราชอบมาก ๆ เรื่องหนึ่ง ชอบตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องแล้ว ที่มันบอกว่า Superman พ่ายแพ้ในการต่อสู้กับฝ่ายผู้ร้าย ซึ่งส่งผลให้ Superman ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง เพราะฉากเปิดนี้เป็นการบอกเลยว่า Superman ในหนังภาคนี้ “เข้าทางเรา” เขาไม่ใช่ตัวละคร “ฝ่ายธรรมะ” ที่ “แข็งแกร่งจนเกินไป” เหมือนที่เราเคยมองเขาในอดีต

 

เราเองก็เคยได้ดู SUPERMAN แค่ไม่กี่ภาคนะ ถ้าหากจำไม่ผิด เราอาจเคยดูแค่ SUPERMAN (1978, Richard Donner), SUPERMAN IV: THE QUEST FOR PEACE (1987, Sidney J. Furie), SUPERMAN RETURNS (2006, Bryan Singer) และ JUSTICE LEAGUE (2017, Zack Snyder) ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราไม่ได้ตามดูหนังชุด SUPERMAN เป็นเพราะเราไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละครตัวนี้น่ะ เรารู้สึกว่าเขา “ดีงาม” เกินไป และ “แข็งแกร่ง” เกินไป ความดีงามเกินไปของเขาไม่เข้ากับคนที่มีจิตใจชั่วร้ายอย่างเรา และการที่เรารู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งเกินไป ทำให้เรามองว่าตัวละครตัวนี้ทำให้หนังมันไม่เข้าทางเรา เพราะถ้าหากตัวละครฝ่ายธรรมะตัวนี้มีพลังแข็งแกร่งมาก ๆ เขาก็สามารถกำราบผู้ร้ายได้ง่าย ๆ แล้วหนังมันก็อาจจะขาดความรู้สึกแบบ “ลุ้นระทึก” หรือความรู้สึกแบบ “หืดขึ้นคอ” สำหรับเราน่ะ

 

คือเราอาจจะแตกต่างจากคนดูหนังบางคนนะ เพราะเวลาที่เราดูหนัง action, thriller หลาย ๆ เรื่องของฮอลลีวู้ด เราจะไม่ลุ้นว่าพระเอกหรือตัวละครเด็ก ๆ จะรอดหรือเปล่า เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าพระเอกและตัวละครเด็ก ๆ มักจะต้องรอดในหนังฮอลลีวู้ดเมนสตรีม (ที่ไม่ใช่หนัง horror) เราก็เลยชอบไปลุ้นกับ “ตัวประกอบต่าง ๆ” ในหนัง action, thriller แทน ว่า “พวกมึงจะรอดชีวิตหรือเปล่า” อย่างเช่นตอนดู MISSION: IMPOSSIBLE – THE FINAL RECKONING (2025, Christopher McQuarrie, A+30) เราก็ไม่ลุ้นแต่อย่างใดว่า Tom Cruise จะรอดหรือไม่ เรามุ่งความสนใจไปยังประเด็นที่ว่า “หญิงเอสกิโม Tapeesa” (Lucy Tulugarjuk) จะรอดชีวิตหรือไม่ หรือใน M3GAN 2.0 (2025, Gerard Johnstone, A+25) เราก็ไม่ลุ้นว่าเด็กหญิง Cady (Violet McGraw) จะรอดหรือไม่ แต่เราลุ้นว่า Tess (Jen Van Epps) ที่เป็น “ผู้ช่วยในห้องแล็บ” จะรอดหรือไม่ และใน JURASSIC WORLD: REBIRTH (2025, Gareth Edwards, A+30) เราก็ไม่ลุ้นว่า Scarlett Johansson จะรอดหรือไม่ แต่เราลุ้นว่า Xavier Dobbs (David Iacono) เด็กหนุ่มที่ดูไม่เอาถ่าน จะรอดหรือไม่

 

คือเราจะรู้สึกลุ้นระทึกกับ “ตัวละครฝ่ายธรรมะ” ที่ดูไม่ได้เก่งกาจมากนัก ดูมีความอ่อนแอ มีความ vulnerable น่ะ ตัวละครประกอบที่ดูมีความเป็นไปได้ 50% ที่อาจจะรอดชีวิตหรือตายห่าก่อนหนังจบก็ได้

 

ซึ่งตัวละคร Superman ในภาคที่เราได้ดูมาแค่ไม่กี่ภาค ก็ดูจะเป็นขั้วตรงข้ามกับ “ตัวละครที่ทำให้เรารู้สึกลุ้นระทึกไปกับความเป็นความตาย” ของพวกเขา เพราะ Superman ดูเป็นตัวละครที่เอาชนะได้ยากสุดขีด เราก็เลยไม่ได้ตามดูหนังชุด Superman ในช่วงที่ผ่านมา เพราะเรามองว่า เราไม่ได้รักตัวละครตัวนี้ และตัวละครตัวนี้คงเอาชนะศัตรูได้ไม่ยาก

 

แต่พอเราได้ดู SUPERMAN (2025) และ “ฉากเปิดเรื่อง” บอกว่า Superman พ่ายแพ้ในการต่อสู้ เราก็รู้ได้ในทันทีว่า ภาคนี้นี่แหละเข้าทางกูแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ Superman ในภาคนี้อาจจะยังคงมี “จิตใจดีงามเกินไป” แต่หนังก็ตั้งคำถามทาง moral และ legal กับ “การกระทำหลาย ๆ อย่างที่ Superman มองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” และ James Gunn ก็สร้างตัวละคร Superman ในภาคนี้ให้ดูมีความอ่อนแอ มีความเปราะบาง ในแบบที่เปิดโอกาสให้เราพอได้รู้สึกลุ้นระทึกไปกับการต่อสู้ของเขาได้ ลุ้นว่า “มึงจะหาทางเอาชนะได้ยังไง” อะไรทำนองนี้

 

เราก็เลยรู้สึกว่า James Gunn ทำได้ดีทีเดียว ในการทำให้ตัวละครฝ่ายธรรมะตัวนี้ ดูไม่ “แข็งแกร่งจนเกินไป” สำหรับเรา ทำให้เขาดูเหมือนว่าอาจจะต้องใช้ความพยายามและเผชิญความยากลำบากสูงมากก่อนที่จะเอาชนะผู้ร้ายได้

 

ดูแล้วก็นึกถึง JUSTICE LEAGUE ด้วย ในแง่ที่ว่า ผู้สร้างหนังเรื่อง JUSTICE LEAGUE คงรู้ว่าตัวละคร Superman นี่สามารถกำราบผู้ร้ายในภาคนั้นได้อย่างง่ายดาย ผู้สร้างหนังเรื่องนั้นก็เลยต้องทำให้ตัวละคร Superman ตายไปในช่วง 2 องก์แรก ถ้าหากเราจำไม่ผิด เพราะถ้าหาก Superman ฟื้นคืนชีพมาตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง หนังเรื่อง JUSTICE LEAGUE ก็คงจบภายในเวลา 15-30 นาทีแรก 55555

 

พอดู SUPERMAN (2025) เราก็เลยนึกถึง “ตัวละครฝ่ายธรรมะ” ตัวอื่น ๆ ด้วย ที่เป็นตัวละครที่ “แข็งแกร่งมาก” จนผู้สร้างหนัง/ละครโทรทัศน์/นิยาย/การ์ตูน ต้องหาวิธีการต่าง ๆ ในการทำให้ตัวละครตัวนั้น “ไม่สามารถไล่ปราบผู้ร้ายได้อย่างง่ายดาย” ตั้งแต่ในช่วงต้นเรื่อง ไม่เช่นนั้นเนื้อหาของหนังเรื่องนั้นอาจจะจบลงภายใน 15 นาทีแรก

 

2. Captain Marvel

 

นี่ก็คงเป็นตัวละครที่เข้าข่ายนี้เช่นกัน เธอเป็นตัวละครฝ่ายธรรมะที่แข็งแกร่งมาก ผู้สร้างหนังชุด Marvel ก็เลยเหมือนต้องแต่งเรื่องในทำนองที่ว่า ตัวละครตัวนี้ไปโลดแล่นอยู่ในส่วนอื่น ๆ ของจักรวาล เธอก็เลยไม่ได้มาร่วมมือกับตัวละครฝ่ายธรรมะตัวอื่น ๆ ในการต่อสู้กับ Thanos ใน AVENGERS: INFINITY WAR (2018, Anthony Russo, Joe Russo, A+30)  เพราะถ้าหากเธอโผล่มาตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง หนังภาค INFINITY WAR ก็อาจจะจบลงอย่างรวดเร็ว

 

3. The Eternals

 

ตัวละคร Superheroes กลุ่มนี้ก็ดูมีอิทธิฤทธิ์มากเช่นกัน ผู้สร้างหนังชุด Marvel ก็เลยแต่งเรื่องในทำนองที่ว่า ตัวละครกลุ่มนี้ไม่เข้าร่วมในการต่อสู้กับ Thanos เพราะตัวละครกลุ่มนี้ได้รับคำสั่งว่า ให้เข้าร่วมเฉพาะในการต่อสู้กับ Deviants เท่านั้น

 

4. Dorami

 

ตัวละครโดเรมี่ เป็นตัวละครที่ดูเก่ง, ฉลาด และนิสัยดี ผู้สร้างหนังชุด DORAEMON ก็เลยเหมือนไม่ค่อยได้ใช้ตัวละครตัวนี้มาช่วยแก้ปัญหาให้โนบิตะ (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด) เพราะถ้าหาก Dorami โผล่มาตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง หนังชุด DORAEMON ภาคนั้นก็อาจจะจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว

 

5. เตียซำฮง ใน “ดาบมังกรหยก”

 

เตียซำฮง หรือ จางซันฟง หรือ เตียกุนป้อ ก็ดูเหมือนจะเป็น “ตัวละครฝ่ายธรรมะ” ที่มีวรยุทธ์สูงลิบลิ่วมาก ๆ กิมย้งและผู้สร้างละครชุด “ดาบมังกรหยก” ก็เลยต้องหาหนทางต่าง ๆ ในการไม่แต่งเรื่องหรือไม่เปิดโอกาสให้ตัวละครตัวนี้ออกเดินทางไปปราบเหล่าร้ายทั่วยุทธภพ หรืออะไรทำนองนี้ เพราะถ้าหากตัวละครตัวนี้ออกเดินทางไปปราบเหล่าร้ายทั่วยุทธภพ เนื้อหาของ “ดาบมังกรหยก” ก็อาจจะจบลงเร็วเกินไป เราเข้าใจว่าอย่างนั้นนะ 55555

 

ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด หนึ่งในกลวิธีที่กิมย้งใช้ ก็คือการแต่งเรื่องให้เตียซำฮง กักตัวเป็นเวลานาน 18 เดือน เพื่อคิดค้นวิชาไท้เก๊กด้วย การที่ตัวละครฝ่ายธรรมะตัวนี้ ต้องกักตัวเป็นเวลานาน ก็น่าจะเป็นหนึ่งในกลวิธีที่ช่วยสกัดกั้นไม่ให้ “ตัวละครฝ่ายธรรมะ ที่มีอานุภาพมากเกินไป” สามารถเข้ามาช่วยคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ ในนิยาย/ละครโทรทัศน์ได้อย่างรวดเร็ว

 

6. Alice (Milla Jovovich) ในหนังชุด RESIDENT EVIL

 

ใน RESIDENT EVIL: EXTINCTION (2007, Russell Mulcahy, A+30) หรือ RESIDENT EVIL ภาคสาม ตัวละคร Alice มีอิทธิฤทธิ์สูงสุดขีดมาก ๆ เธอมีพลังจิตอะไรต่าง ๆ มากมาย เธอกลายเป็น superhuman

 

แต่ใน RESIDENT EVIL: AFTERLIFE (2010, Paul W.S. Anderson) หรือ RESIDENT EVIL ภาคสี่ ตัวละคร Alice ถูกฉีดยาใส่ตั้งแต่ต้นเรื่อง ซึ่งส่งผลให้เธอสูญเสียพลังจิต และสูญเสียความเป็น superhuman ไป

 

เราก็เลยเดาว่า ผู้สร้างหนังชุด RESIDENT EVIL คงมองว่า ถ้าหากปล่อยให้ Alice มีพลังจิตสูงสุดขีดแบบใน RESIDEN EVIL ภาคสามต่อไป แล้วหนังภาคต่อ ๆ ไปมันจะ “ลุ้นระทึก” ได้ยังไง 55555 ผู้สร้างหนังชุดนี้ก็เลยต้องหาทางทำให้ตัวละคร Alice กลับมาเป็น “ตัวละครฝ่ายธรรมะ ที่ไม่ได้แข็งแกร่งจนเกินไป” อีกครั้ง เพราะไม่เช่นนั้นหนังชุดนี้คงจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว

 

7. Jean Grey

 

นี่ก็เป็นตัวละครที่มีอิทธิฤทธิ์สูงมาก ๆ หนังก็เลยต้องหาทางทำให้ตัวละครนี้เดี๋ยวอยู่ฝ่ายธรรมะ เดี๋ยวอยู่ฝ่ายอธรรม 55555 เพราะถ้าหากตัวละครตัวนี้ “นิสัยดีแบบ Superman” ฝ่ายธรรมะก็คงหาทางเอาชนะฝ่ายอธรรมได้อย่างง่ายดายจนเกินไป

 

Jean Grey ก็เลยต้องไปอยู่กับฝ่ายอธรรมบ้างเป็นครั้งคราว อย่างเช่นใน X-MEN: THE LAST STAND (2006, Brett Ratner) และใน X-MEN: DARK PHOENIX (2019, Simon Kinberg, A+30)

 

8. Sailor Saturn

 

Sailor Saturn ถือเป็น ONE OF MY MOST FAVORITE CHARACTERS OF ALL TIME เธอมี “พลังในการทำลายล้างดาวเคราะห์ทั้งดวง” ได้ แต่ถ้าหากเธอใช้พลังดังกล่าว เธอก็จำเป็นจะต้องพลีชีพตนเองด้วย

 

ผู้สร้างการ์ตูน/anime series ชุด SAILOR MOON ก็เลยเหมือนต้องแต่งเรื่องให้ตัวละครตัวนี้มี “ฝ่ายอธรรม” ที่ชื่อว่า Mistress 9 แฝงอยู่ในตัวด้วย ทำให้ตัวละครตัวนี้เหมือนมีทั้งด้านดีและด้านชั่วในตัวคนคนเดียวกัน เพราะถ้าหากตัวละครนี้อยู่ฝ่ายธรรมะอย่างเต็มตัว ฝ่ายธรรมะก็จะดูมีอานุภาพสูงล้นจนเกินไป ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด

 

เพื่อน ๆ นึกถึงตัวละครตัวไหนอีกบ้าง “ตัวละครฝ่ายธรรมะที่ดูเหมือนมีอิทธิฤทธิ์สูงเกินไป” จนผู้สร้างการ์ตูน/หนัง/ละครโทรทัศน์ ต้องหากลวิธีต่าง ๆ ในการสกัดกั้นไม่ให้ตัวละครดังกล่าวออกปราบปรามเหล่าร้ายได้ง่าย ๆ

++++++

 

Favorite Quote from a friend for the character Cat Grant (Mikaela Hoover) in SUPERMAN (2025, James Gunn, A+30)

 

ชอบตัวละครตัวนี้มาก ๆ ใน SUPERMAN แล้วก็ชอบความเห็นของเพื่อนคนนึงที่มีต่อตัวละครตัวนี้ด้วย

 

“ไม่รู้​เธอมีหน้าที่อะไรในหนังเรื่องนี้”

 

“จริงๆคือไม่รู้​อาชีพอะไรในบริษัท​นั้น”

 

“เด้งผมเด้งนมไปวันๆบ้ามาก”

 

“มาในคอนเสบ เนิรดๆแต่รั้นนิดๆ ?

+++++++

 

ได้ไปดูนิทรรศการ REMNANTS OF FADING SHADOWS ของคุณ Wantanee Siripattananuntakul มาในวันที่ 16 ก.ค. ประทับใจมาก ๆ แต่ปรากฏว่าเรากะเวลาผิด เพราะว่าในนิทรรศการนี้มีงาน video installations ราว 8 ชิ้น ซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาดูรวมกันราว 90 กว่านาที แต่เราไปถึงนิทรรศการช่วงหลัง 4 โมงเย็นไปแล้ว ก็เลยยังดูไม่หมด ทันดูงาน video ไปแค่ 7 ชิ้น เดี๋ยวกะว่าวันหลังจะต้องไปดูต่อให้ครบ (เรายังไม่ได้ดู THE WEB OF TIME ที่ยาว 27 นาที)

Wednesday, July 16, 2025

COMING OF AGING (2025, Eyedropper Fill, exhibition at River City)

 

COMING OF AGING (2025, Eyedropper Fill, exhibition at River City)

 

ในนิทรรศการมีห้องหลัก ๆ อยู่ 3 ห้อง ห้องนึงเป็นบ่อน้ำ ซึ่งคนแน่นมาก เราก็เลยรีบออกจากห้องนั้น ไม่ได้เดินสำรวจอะไร ห้องที่สองเป็นต้นไม้ใหญ่ และมีการเปิดเสียงสัมภาษณ์คน 3 คน ความยาวของบทสัมภาษณ์น่าจะราว ๆ 45 นาที คนนึงเล่าเรื่องพ่อแม่ตาย, อีกคนเป็นสตรีอายุราว ๆ 70 กว่าปีเล่าเรื่องการพบรักใหม่ในวัยชรา (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด) ส่วนอีกคนเป็นบุรุษอายุราว ๆ 70 ปีเล่าเรื่องสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อแก่ตัวลง

 

เราก็เลยยืนฟัง + นั่งฟังบทสัมภาษณ์ในห้องนี้ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับดูแสงสีตระการตา

 

ตัวบทสัมภาษณ์ก็น่าประทับใจมากๆ เหมือนเป็นสัจธรรมของชีวิตที่เราเองก็ไม่อยากนึกถึง เราเองก็ไม่อยากแก่ สิ่งที่เราปรารถนาที่สุดในชีวิตก็คือนอนหลับแล้วตายไปเลย จะได้ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน คือเราไม่กลัวตาย แต่กลัว “เจ็บ” เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราปรารถนาก็คือ ถ้าหากเมื่อถึงเวลาที่เราจำเป็นจะต้องตาย เราก็ขอตายด้วยการนอนกอดลูกหมี หลับ แล้วตายไปเลยไม่เจ็บไม่ปวด นั่นน่าจะเป็นสุดยอดปรารถนาของเรา

 

ผู้คนที่มาชมห้องนี้อาจจะแบ่งออกได้เป็น 2 จำพวกหลัก ๆ จำพวกแรกก็คือกลุ่มที่นั่งฟังบทสัมภาษณ์เป็นเวลานาน ส่วนจำพวกที่สองก็คือกลุ่มที่เน้นถ่ายรูปตัวเองตลอดเวลา ซึ่งเรารู้สึกว่ามันก็เชื่อมโยงกับบทสัมภาษณ์โดยไม่ได้ตั้งใจมาก ๆ เพราะบทสัมภาษณ์ในห้องนี้ทำให้เรานึกถึง “ความโหดร้ายของกาลเวลาที่ไม่มีใครต้านทานได้” กาลเวลาทำให้คนเรา “แก่ เจ็บ ตาย” โดยไม่มีใครเอาชนะมันได้ กาลเวลาทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างคงอยู่ได้เพียง “ชั่วครู่ชั่วยาม” เท่านั้น

 

และเราก็รู้สึกว่า ตัวเราเองที่พยายามถ่ายรูปแสงสีในนิทรรศการนี้ หรือผู้ชมคนอื่น ๆ ที่ถ่ายรูปตัวเองหรือเพื่อนของตัวเองตลอดเวลา มันก็เหมือนเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่พยายาม “ต้านทานความโหดร้ายของกาลเวลา” เพราะภาพถ่ายเป็นสิ่งที่ช่วยเก็บรักษา “เสี้ยววินาทีนั้น ๆ” เอาไว้ เสี้ยววินาทีที่แสงสีสวย ๆ ปรากฏ ก่อนที่นิทรรศการนี้จะจบสิ้นลง หรือเสี้ยววินาทีที่คนคนนั้นยังสาวยังสวย ยังไม่มีตีนกาขึ้นบนใบหน้า หรือเสี้ยววินาทีที่โลกยังคงมีนิทรรศการศิลปะดีๆ ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม, etc.

 

เราก็เลยรู้สึกว่า ถึงแม้เราหรือคนอื่น ๆ บางคน พยายามที่จะหลีกเลี่ยงนึกถึง “ความแก่ เจ็บ ตาย” ในชีวิตประจำวัน แต่กิจกรรมบางอย่างที่เราทำ อย่างเช่น “การถ่ายรูป” ตลอดเวลา เพื่อเก็บรักษาเสี้ยววินาทีนั้น ๆ เอาไว้ในรูปของภาพถ่าย บางทีมันก็เหมือนเป็นความพยายามที่จะรับมือกับ “สิ่งที่เราไม่อยากจะนึกถึง” โดยไม่ได้ตั้งใจ

 

ส่วนห้องที่สามในนิทรรศการ เป็นการให้ผู้ชมเขียนคำคมหรืออะไรทำนองนี้ ซึ่งห้องนี้ผู้ชมก็แน่นขนัดมาก เราก็เลยใช้เวลาอยู่ในห้องนี้แค่แป๊บเดียว

+++++

วันอาทิตย์นี้ได้กิน “ข้าวมธุปายาส” เป็นครั้งแรกในชีวิตการแสดงค่ะ กินที่ GROOVE MARKET ตรงศาลายา หลังจากดูเทศกาลภาพยนตร์ SIGNES DE NUIT เสร็จที่หอภาพยนตร์

 

ในรูปมีขนมสองถ้วย ถ้วยทางซ้ายคือ RAS MALAI ส่วนทางขวาคือข้าวมธุปายาส ซึ่งอร่อยดี

Saturday, July 12, 2025

THE CIRCLE OF CINEPHILES: PREQUEL

 

เห็นน้อง JOYCE โพสท์คลิป THE CIRCLE OF CINEPHILES เราก็เลยขุดคลิป THE CIRCLE OF CINEPHILES ฉบับ PREQUEL ที่ถ่ายไว้ในวันที่ 26 พ.ย. 2016 หรือเมื่อราว 8-9 ปีที่แล้วมาลงควบคู่กันไปด้วย 555555 โดยคลิปนี้น่าจะถ่ายหลังจากการจัดงาน WILDTYPE MIDDLECLASS ที่ READING ROOM โดยในวันนั้นมีการฉายหนังเรื่อง

 

1. SOLOS  (Teeranit Siangsanoh, 2014)

 

2. ขอให้น้ำแข็งละลาย  LONG FOR (2014, Pawinee Sattawatsakul)

 

3. BERMUDA (Phawinee Sattawatsakul, 2016)

 

4. ALONG THE SHORE, UNDER THE DYING SUN สิ้นแสงสุรีย์ (2016, Natchanon Vana, 54min, A+30)

 

5. ความเศร้าของภูตผี INSURGENCY BY A TAPIR (Ratchapoom Boonbunchachoke, Wachara Kanha, Chulayarnnon Siriphol, Chaloemkiat Saeyong, 2016)

 

6. MR. ZERO (Nutcha Tantivitayapitak, 2016)

https://web.facebook.com/reel/10211748545092471

Thursday, July 10, 2025

JURASSIC WORLD: REBIRTH (2025, Gareth Edwards, A+30)

 

Favorite Soundtrack: STAND BY ME (1961, Ben E. King) from JURASSIC WORLD: REBIRTH (2025, Gareth Edwards, A+30)

 

ถ้าจำไม่ผิด เราเคยดูแค่ JURASSIC PARK (1993, Steven Spielberg) กับ THE LOST WORLD: JURASSIC PARK (1997, Steven Spielberg) แต่เราไม่ได้ดู JURASSIC PARK III (2001), JURASSIC WORLD (2015), JURASSIC WORLD: FALLEN KINGDOM (2018) และ JURASSIC WORLD: DOMINION (2022) คือเราข้ามมา 4 ภาค แล้วก็มาดูภาค 7 นี้เลย แต่กลับดูรู้เรื่อง เหมือนกับว่าการไม่ได้ดู 4 ภาคนั้นไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำความเข้าใจเนื้อเรื่องในภาค 7 นี้แต่อย่างใด 55555

 

สาเหตุที่ไม่ได้ดู 4 ภาคนั้น ก็เป็นเพราะว่าเราดูสองภาคแรกแล้วเรารู้สึกเฉย ๆ น่ะแหละ รู้สึกว่ามันไม่ใช่หนังแบบที่เราอิน ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะเรารู้สึกไปเองว่ามันดูไกลตัวสำหรับเรามั้ง และมันก็ไม่ใช่ “โลกจินตนาการ” ในแบบที่เราใฝ่ฝันอยากเข้าไปผจญภัยด้วยน่ะแหละ ในขณะที่ถ้าหากเป็นหนังที่ตัวละครหลบหนี “ฆาตกรโรคจิต” เราจะรู้สึกว่ามันใกล้ตัวเรามาก ๆ สามารถเกิดขึ้นในชีวิตเราได้ เราก็เลยอินกับมันมากกว่า

 

แต่พอดูภาค 7 แล้วก็สนุกดีนะ ซึ่งก็ต้องขอบคุณคนเขียนบทที่สร้างตัวละคร “ครอบครัว 4 คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่” เพราะเรารู้สึกเอาใจช่วยครอบครัวนี้น่ะ ในขณะที่ตัวละครกลุ่มทหารรับจ้างนี่เป็นตัวละครที่เราไม่ค่อยรู้สึกแคร์ความเป็นความตายของพวกเขาเท่าไหร่

https://www.youtube.com/watch?v=dTd2ylacYNU&list=RDdTd2ylacYNU&start_radio=1

FAVORITE SOUNDTRACKS

 Favorite Soundtrack

 

THIS WOMAN’S WORK (1988, Kate Bush) from M3GAN 2.0 (2025, Gerard Johnstone, A+25)

https://www.youtube.com/watch?v=UXzx--YefD8&list=RDUXzx--YefD8&start_radio=1

 

Favorite Soundtrack

 

FREED FROM DESIRE (1996, Gala) from COPILOT (2021, Anne Zohra Berrached, Germany, A+30)

 

ตอนแรกเราไม่รู้ว่าหนังเรื่อง COPILOT มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร นึกว่าเนื้อเรื่องมันเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ก็เลยประหลาดใจที่หนังมันเปิดเรื่องด้วยเพลงฮิตในปี 1996 แต่พอดูไปถึงกลางเรื่อง เราถึงเพิ่งเดาออกว่าหนังเรื่องนี้จริง ๆ แล้วมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร แล้วเราก็รู้สึกขนลุกมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้มันเลือกเปิดเรื่องด้วยเพลงนี้ เหมือนมัน hint ตั้งแต่เพลงนี้แล้วว่า จริง ๆ แล้วหนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร

https://www.youtube.com/watch?v=p3l7fgvrEKM&list=RDp3l7fgvrEKM&start_radio=1

 

 

Wednesday, July 09, 2025

TWO SYRIAN FILMMAKERS

 

มีข่าวว่าไซปรัสใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการหาศพคน 2000 กว่าคนที่ถูกฆ่าตายในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองในทศวรรษ 1960 พอเราอ่านข่าวนี้แล้วก็เลยนึกถึงหนังเรื่อง AFRICA STAR (2024, Adonis Floridis, Cyprus, 120min, A+30) ที่เราเพิ่งได้ดูที่ HOUSE SAMYAN เพราะหนังเรื่องนั้นก็นำเสนอการฆ่ากันในไซปรัสในทศวรรษ 1960 ได้อย่างน่าสะเทือนใจมาก ๆ

---

 

พอเราได้ดูหนังเรื่อง A PLATE OF SARDINES (1997, Omar Amiralay, France, about Syria, documentary, 17min, A+30) เป็นรอบที่สองในงาน Flaherty ที่หอภาพยนตร์ และได้ฟังคุณ Selma มาเสวนาเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ เราก็เลยไป google หาข้อมูลเพิ่มเติม

 

1. หนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเมือง Quneitra ของซีเรีย ที่อยู่ในที่ราบสูงโกลัน เมืองนี้เป็นเมืองสำคัญมาตั้งแต่ยุคจักรวรรดิออตโตมาน และเป็นเมืองสำคัญของประเทศซีเรียด้วย อย่างไรก็ดี ในช่วงที่เกิด “สงคราม 6 วัน” ในเดือนมิ.ย. 1967 อิสราเอลได้เข้ายึดเมืองนี้ ก่อนที่ซีเรียจะยึดกลับคืนมาเมื่อเกิด “สงครามยม คิปปูร์” ในปี 1973 แต่ซีเรียก็ยึดเมืองนี้คืนมาได้เป็นเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ก่อนที่อิสราเอลจะบุกเข้ายึดเมืองนี้อีกครั้งและทำลายเมืองที่สวยงามแห่งนี้ลงจนเกือบหมดในปี 1973-1974 และหลังจากนั้นอิสราเอลก็ถอยทัพออกไป ทิ้งซากเมืองนี้ไว้ให้ซีเรีย   

 

2. เนื้อหาของหนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ Mohammad Malas ปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์ของซีเรีย และเขาเหมือนสนิทกับ Omar Amiralay ผู้กำกับหนังเรื่อง A PLATE OF SARDINES ด้วย โดย Amiralay เน้นสัมภาษณ์ Malas ในหนังเรื่องนี้ เพราะ Malas เกิดและใช้ชีวิตอยู่ในเมือง QUNEITRA ก่อนที่เมืองนี้จะถูกอิสราเอลทำลาย

 

Mohammad Malas เกิดที่เมือง Quneitra ในปี 1945 เขาเคยไปเรียนด้านภาพยนตร์ที่กรุงมอสโคว์ของสหภาพโซเวียต และเคยกำกับหนังสั้นเรื่อง QUNEITRA 74 (1974) กับ THE MEMORY (1977)

 

ผลงานของเขาก็รวมถึง

 

2.1 THE DREAM (1981) หนังสารคดีเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ที่ลี้ภัยมาอยู่ในเลบานอน เขาสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยในค่ายซาบรา และชาติลาห์ด้วย ซึ่งรวมถึงสัมภาษณ์เกี่ยวกับ “ความใฝ่ฝัน” ของผู้ลี้ภัยเหล่านี้ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ผู้ลี้ภัยราว 3500 คนในค่ายซาบราและชาติลาห์ในปี 1982 โดยฝีมือของกองกำลังคริสเตียนในเลบานอน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอิสราเอล

 

2.2 DREAMS OF THE CITY (1983)

 

2.3 THE NIGHT (1992) หนังอัตชีวประวัติของ Malas เอง เกี่ยวกับชีวิตของเขาและคนอื่น ๆ ในเมือง Quneitra ในปี 1936-1948

 

3. Omar Amiralay (1944-2011) ผู้กำกับหนังเรื่อง A PLATE OF SARDINES นี้ เคยสนับสนุนพรรค Baath ของซีเรียในช่วงแรก ก่อนที่เขาจะ “ย้ายข้าง” ในเวลาต่อมา เขาเคยกำกับหนังเรื่อง

 

3.1 FILM ESSAY ON THE EUPHRATES DAM (1970) ซึ่งเชิดชูโครงการสร้างเขื่อน Tabqa บนแม่น้ำยูเฟรตีส หนังเรื่องนี้สนับสนุนรัฐบาลซีเรีย

 

3.2  EVERYDAY LIFE IN A SYRIAN VILLAGE (1974) หนังเรื่องนี้เริ่มวิพากษ์รัฐบาลซีเรีย โดยแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากเขื่อนที่มีต่อชีวิตชาวบ้านธรรมดา

 

3.3 A FLOOD IN BAATH COUNTRY (2003) เป็นหนังที่ด่ารัฐบาลซีเรียอย่างรุนแรงมาก จนหนังเรื่องนี้ถูกถอดออกจากเทศกาลภาพยนตร์คาร์เธจ อย่างไรก็ดี ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอาหรับหลายคนร่วมกันประท้วงด้วยการถอดหนังของตัวเองออกจากเทศกาลภาพยนตร์คาร์เธจด้วย ซึ่งรวมถึง Yousry Nasrallah, Annemarie Jacir, Nizar Hassan, Joana and Khalil Joreige, and Danielle Arbid ดังนั้นทางเทศกาลก็เลยตัดสินใจยอมนำหนังของ Amiralay กลับเข้ามาฉายตามเดิม

 

4. ยุคที่ Amiralay เคยสนับสนุนพรรค Baath ในช่วงแรกนั้น เป็นยุคที่ซีเรียอยู่ภายใต้การปกครองของ Hafez al-Assad ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีซีเรียในปี 1971-2000 แต่พอ Hafez ตาย Bashar al-Assad ซึ่งเป็นลูกชาย ก็ได้ขึ้นครองอำนาจต่อตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปี 2024 และ Bashar ก็เข่นฆ่าผู้คนตายไปมากมายในสงครามกลางเมือง

 

พออ่านข้อมูลเหล่านี้แล้วก็เลยรู้สึกว่า ผู้กำกับหนังซีเรียเหล่านี้มีชีวิตที่หนักจริง ๆ เพราะพวกเขาต้องเผชิญกับทั้ง “รัฐบาลเผด็จการที่โหดเหี้ยมของซีเรีย”, “กองทัพอิสราเอล” และยังเคยเผชิญกับ “กองกำลังคริสเตียนในเลบานอน” ด้วย

+++++++

 

อยู่ดี ๆ facebook ก็แจ้งเตือนเราว่า ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.เป็นต้นไป คนจะ follow เราไม่ได้อีก ยกเว้นแต่ว่าเราจะเปลี่ยนเป็นโหมด “มืออาชีพ” หรืออะไรทำนองนี้ เราก็เลยลองเปลี่ยนโหมดตามที่ facebook ต้องการ แต่ก็เปลี่ยนด้วยความงง ๆ ไม่รู้ว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง แต่เหมือนกับว่า เราสามารถ “ปิดโหมดมืออาชีพ” ได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าปิดเมื่อไหร่ เราก็จะสูญเสีย “ผู้ติดตามใด ๆ ที่ไม่ใช่เพื่อนของคุณ” ไป

 

ตอนนี้เราก็เลยลองใช้ “โหมดมืออาชีพ” อะไรนี่ไปก่อน แต่ถ้าหากใครมีคำแนะนำอะไรก็บอกมาได้นะ เรางง ๆ กับอะไรพวกนี้มาก ๆ

+++++++

สิ่งแรกที่นึกถึงโดยไม่ได้ตั้งใจหลังจากเห็นโปสเตอร์หนังใหม่ของ Osgood Perkins ก็คือหนังเรื่องนี้ที่ทุกคนรู้จักกันดี หนังที่ “เปลี่ยนชีวิตของเรา” 55555

 

เราเริ่ม “เขียนถึงหนัง” เป็นครั้งแรกในชีวิตในวันที่ 26 ก.ย.ปี 2000 หลังจากได้ดูหนังเรื่อง SOMBRE (1998, Philippe Grandrieux) ที่โรงภาพยนตร์ในห้างเซ็นทรัลพระรามสาม
https://www.imdb.com/title/tt0166808/review/rw0579553/?ref_=tturv_perm_14

 

Monday, July 07, 2025

I PREFER GOLDEN SWALLOW TO A CHINESE GHOST STORY

 

เทศกาลภาพยนตร์ SIGNES DE NUIT FILM FESTIVAL 2025 ประกาศตารางฉายหนังของช่วง 3 วันแรกแล้วนะ เราก็เลย copy ข้อมูลจากเว็บไซท์ของหอภาพยนตร์ ศาลายา มาไว้ตรงนี้ด้วย เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองเวลาที่เราต้องการค้นข้อมูลในอนาคต

 

FRIDAY 11 July

 

13:00 - DOC 1 (122 min)



Blame (Christian Frei / Switzerland / 2025 / 122 min)




เมื่อโลกถูกกลืนกินโดยการระบาดใหญ่ของ COVID-19 สามนักวิทยาศาสตร์ที่เคยทำนายการมาถึงของมันล่วงหน้ามานานแล้ว ไม่เพียงแต่จะต้องต่อสู้กับไวรัสเท่านั้น หากยังต้องต่อสู้กับบรรดาคลื่นข้อมูลที่บิดเบือน, ทฤษฎีสมคบคิด และการกล่าวโทษทางการเมืองที่คุกคามที่จะบดบังความจริง นี่คือเรื่องราวของพวกเขา ภาพยนตร์เรื่อง Blame เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนและส่วนหนึ่งเป็นแนวระทึกขวัญ ที่จะสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์, การเมือง และสื่อ 

 

15:30 SHORT 1 (83 min)



Julian and the Wind (Connor Jessup / Canada / 2024 / 15:29 min)



สองเพื่อนร่วมห้องในโรงเรียนประจำมีประสบการณ์แปลก ๆ เกี่ยวกับการเดินละเมอ



The Feast (Virundhu) (Rishi Chandna / India / 2023 / 24:52 min / Thailand Premiere)



ชาวประมงหญิงคนหนึ่งท้าทายนักการเมืองท้องถิ่นผู้ทรงอิทธิพลด้วยการจัดงานเลี้ยงให้เขา โดยใช้เมนูลับที่ไม่มีวันลืมเลือนซึ่งอาจช่วยกอบกู้ทะเลสาบที่กำลังจะตายของเธอได้



The Man who Couldn´t Stay Silent (Nebojša Slijcecic / Croatia, France, Bulgaria / 2024 / 14 min / Thailand Premiere) 



27 กุมภาพันธ์ 1993 สเติร์ปซี, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา รถไฟโดยสารจากเบลเกรดไปยังบาร์ถูกหยุดโดยกองกำลังกึ่งทหารในการปฏิบัติการกวาดล้างชาติพันธุ์ ในขณะที่พวกเขาลากตัวพลเรือนผู้บริสุทธิ์ออกไป มีเพียงชายคนเดียวจากผู้โดยสาร 500 คนที่กล้าลุกขึ้นต่อต้านพวกเขา นี่คือเรื่องจริงของชายผู้ไม่สามารถนิ่งเงียบอยู่ได้



Mercenaire (Pier-Philippe Chevigny / Canada, Quebec / 2024 / 14:58 min / Thailand Premiere)       



อดีตนักโทษผู้หนึ่งได้รับการว่าจ้างให้ทำงานในโรงฆ่าสัตว์จากโครงการฟื้นฟูสังคม เขาดิ้นรนเพื่อหางานอื่นในขณะที่พยายามระงับความรุนแรงที่ปะทุอยู่ในตัว



In the Garden of Tulips / Julia Elihu / USA / 2023 / 13:40 min / Thailand Premiere)

 

ในช่วงที่สงครามอิหร่าน-อิรักทวีความรุนแรงขึ้นถึงขีดสุด แคโรไลน์ได้นั่งรถไปกับพ่อของเธอสู่ชนบทของเมืองเบียร์จันด์ในประเทศอิหร่าน

 

SATURDAY 12 JULY 2025

 

13:00 DOC 2 (80 min)



The Adventures of the Black Girl in Her Search for Mabel Dove (Nnenna Onuoha / Ghana, Germany / 2024 / 14:56 min / Thailand Premiere)


        

ในโลกหลังหายนะที่เอกสารจดหมายเหตุถูกทำลาย หญิงสาวผิวดำคนหนึ่งออกเดินทางตามหา เมเบล โดฟ นักเขียนจากอดีตผู้ซึ่งผลงานของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับเธอ เมื่อทั้งร้านหนังสือสตรีนิยมและอาจารย์สอนแอฟริกันศึกษาไม่สามารถช่วยเธอได้ เธอก็หันไปพึ่งพวกลัทธิแก้ ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ใต้ดิน แล้วในคลังข้อมูลไซเบอร์ของพวกเขานั่นเอง ในที่สุดเธอก็พบโดฟและใช้เวลาช่วงบ่ายด้วยกัน



Messengers (Jeffrey Zablotny / Canada / 2025 / 45 min / Asia Premiere)   



ภายใต้พื้นผิวโลก ชุมชนวิทยาศาสตร์กำลังค้นหาคำตอบอย่างลับที่สุด ในสถานที่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักและเข้าถึงได้ยากเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นในแคนาดา ญี่ปุ่น หรือ แอนตาร์กติกา สิ่งที่เล็กจ้อยที่สุดจะถูกศึกษาเพื่อทำความเข้าใจถึงสิ่งที่กว้างใหญ่สุดจะหยั่งถึง นี่คือการสำรวจที่น่าเวียนหัว เปี่ยมด้วยบทกวีและจิตวิญญาณของความเป็นอนันต์ และสิ่งที่อยู่เหนือกว่านั้น



A Night That Took Everything (Nida Mehboob / Pakistan, Finland / 2025 / 19:25 min / Asia Premiere)   



กฎหมายดูหมิ่นศาสนาเป็นความผิดที่มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตในปากีสถาน ชายคนหนึ่งถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมและถูกตัดสินประหารชีวิต ลูกสาวของเขาซึ่งทั้งเสียใจและโกรธแค้น ได้ทบทวนถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายในประเทศบ้านเกิดของเธอ

 

15:00 DOC 3 (95 min)



On Air (Astrid Ardagh / Norway / 2024 / 21 min)



หลังจากเกิดการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ในสงครามยูเครน หมู่เกาะอาร์กติกของนอร์เวย์ก็ไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้อีก ภาพยนตร์เรื่องนี้สำรวจบทบาทสำคัญของ นักวิทยุสมัครเล่น ในการรักษาระบบสื่อสารสำรองของเราให้คงอยู่



142 Years (Stelios Kouloglou / Greece / 2024 / 74 min)       



ในเรือนจำของกรีซ ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพหลายพันคนถูกตัดสินว่ามีความผิดในฐานะผู้ค้ามนุษย์ เจสัน อะพอสโตโลปูลอส นักกู้ภัยผู้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล พยายามช่วยชีวิตผู้ลี้ภัยผู้บริสุทธิ์สามคน คนแรกถูกตัดสินจำคุก 142 ปี และอีกสองคนถูกตัดสินจำคุกคนละ 50 ปี ในหนังขึ้นโรงขึ้นศาลที่ลากยาวมานานกว่าหนึ่งปีนี้ เจสันและสหายของเขาจะสามารถช่วยพวกเขาให้เป็นอิสระได้หรือไม่?

 

17:00 SHORT 2 (66 min)



Welcome Home (VELKOMMEN HJEM) / Amanda Nalbant Nordpoll / Norway / 2023 / 12 min)



เมื่อครอบครัวพัง ๆ ครอบครัวหนึ่งมารวมตัวกันสำหรับอาหารค่ำคริสต์มาสประจำปี ทอร์มอด ลูกชายคนโต เห็นโอกาสที่จะแนะนำญาติคนใหม่ล่าสุดของเขา นั่นคือหญิงสาวสวยคนหนึ่ง



Family Sunday (Domingo familiar) (Gerardo Del Razo / Mexico / 2024 / 17:59 min / Asia Premiere)



สำหรับชานเมืองของเม็กซิโกซิตี การรีดไถจากพ่อค้าแม่ค้าและผู้อยู่อาศัยในพื้นที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ในวันอาทิตย์ที่อากาศสดใส ในบ้านหลังฟนึ่งในแถบนี้ พ่อค้าคนหนึ่งยังไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครอง และมือปืนรับจ้างก็ได้เดินทางมาเพื่อยื่นคำขาดกับเขา



Coal (Charbon) (Saman Lotfian / Iran / 2023 / 19:40 min / Asia Premiere)   



อีซาและมุกห์ตาร์เป็นคนงานเหมืองสองคนที่ทะเลาะกัน อีซาผลักมุกห์ตาร์ล้มลงกับพื้น ถังออกซิเจนของมุกห์ตาร์กระแทกพื้น ทำให้ก๊าซออกซิเจนรั่วไหลออกมาจำนวนมาก ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับถังออกซิเจนของมุกห์ตาร์ ขณะที่ทุกคนกำลังทำงานอยู่ในเหมือง อีซาก็ตระหนักว่าก๊าซมีเทนกำลังรั่วไหลอยู่ในอุโมงค์ อีซาช่วยคนงานหลายคนไว้ได้ แต่มุกห์ตาร์เสียชีวิตในอุบัติเหตุเนื่องจากถังออกซิเจนว่างเปล่า อีซาโทษตัวเองกับการตายของมุกห์ตาร์ ซึ่งเขาติดว่านั่นคือการยอมรับผิดในข้อหาฆาตกรรม ตอนนี้อีซาต้องเลือกระหว่างการโกหกและกลายเป็นวีรบุรุษ หรือบอกความจริง ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นฆาตกร



Sanki Yoksa (Azer Guliev / France / 2024 / 16 min / Thailand Premiere)




เมื่อซาเมียร์และไลลาตัดสินใจหนีความขัดแย้งของครอบครัว ซาเมียร์ก็หายตัวไปในเช้าวันรุ่งขึ้น การตามหาของไลลาทำให้เธอเข้าไปพัวพันกับชะตากรรมที่ผูกพันกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของเขา จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของปริศนาเสียเอง

 

SUNDAY 13 JULY 2025

 

13:00 DOC 4 (74 min)

 

Phoenix (Elisabeth Rasmussen / Norway / 2023 / 30 min / Asia Premiere)

 

เอลิซาเบธได้รับคำวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายที่ไม่อาจรักษาจากโรงพยาบาลในนอร์เวย์ ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ เธอเดินทางไปยังโรงพยาบาลในนิวยอร์กเพื่อพยายามรักษาชีวิต ที่นั่นเธอได้พบกับสุนัขจรจัดตัวหนึ่งซึ่งเธอรับมาเลี้ยง ในช่วงเวลาที่วุ่นวายของการรักษามะเร็ง เชื้อโควิด-19 ก็เริ่มระบาด นี่คือภาพยนตร์เกี่ยวกับความศรัทธา แม้ในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด

 

The Orchards (Basateen) (Antoine Chapon / France / 2025 / 24:41 min)  



ในปี 2015 ย่านบาซาตีน อัล-ราซี ในกรุงดามัสกัสถูกรื้อถอนจนราบเป็นหน้ากลอง เพื่อเป็นการลงโทษที่ประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านระบอบการปกครองของบาชาร์ อัล-อัสซาด พื้นที่แห่งนี้ถูกกำหนดให้แทนที่ด้วยเมืองมาโรตา ซึ่งเป็นย่านที่ทันสมัยและเชื่อมโยงถึงกัน โดยมีตึกระฟ้า 80 แห่ง สิบปีต่อมา หลังจากสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป อดีตผู้อยู่อาศัยสองคนได้หวนรำลึกถึงย่านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของบ้านของพวกเขาและสวนผลไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในดามัสกัส ด้วยคำบอกเล่าของพวกเขาและการนำแอนิเมชัน 3 มิติ ความทรงจำจึงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพื่อต่อต้านการลบเลือนนี้



Invisible Countdown      (Amir Ovadia Steklov / Germany / 2024 / 13:59 min) 



ชาวยิวในเยอรมนีได้รับอนุญาตให้แสดงความคิดเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์สงครามในฉนวนกาซาได้หรือไม่ หรือพวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับอิสราเอล? อามีร์สงสัยว่าเขาจะถูกมองอย่างไรในฐานะชาวยิวผู้รักสันติที่นี่ ภาพอินฟราเรดนำเสนอความงามของการกลับด้าน สิ่งที่มองไม่เห็นกลับกลายเป็นมองเห็นได้ และถูกเห็นว่าเป็นอื่น หูฟังตัดเสียงรบกวนช่วยให้ความเงียบภายนอกเข้ามาแทนที่ชั่วขณะ เพื่อให้ความสนใจกับภายใน ในภาพ: การนับถอยหลังจาก 24 เฟรมต่อวินาทีสู่ศูนย์



Rains Don’t Make Us Happy Anymore (Yashasvi Juyal / India / 2025 / 6 min / Asia Premiere)  



ในเทือกเขาหิมาลัย ยังมีหมู่บ้าน Lohari ที่จมอยู่ใต้น้ำของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ สมาชิกคนสุดท้ายของชนเผ่า Jaunsari ซึ่งอาศัยอยู่ในซากปรักหักพังของหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วม หวนรำลึกถึงช่วงเวลาที่ผืนดินเคยเปี่ยมไปด้วยมนตรา เรื่องราวของเด็กชายคนนี้เปิดเผยขึ้นผ่านจดหมายที่ส่งถึงเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งจากไปนานแล้ว ทำให้เส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงกับตำนานพร่าเลือน

 

15:00 DOC 5 (114 min)

 

Ceasefire (Prekid Vatre) / Jakob Krese / Germany, Italy, Slovenia / 2025 / 31:21 min)



เพื่อหลีกหนีความเจ็บปวด ฮาซิราจึงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา: เธอทำความสะอาด เธอผ่าฟืน เธอหนีจากความทรงจำ หนีจากปัจจุบัน และหนีจากความกลัวว่าทุกสิ่งจะหวนกลับมาซ้ำรอย ฮาซิราผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ที่สเรเบรนิกา ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศของเธอเองมาเกือบสามทศวรรษ ด้วยอารมณ์ขันแบบประชดประชันและความเข้มแข็งอันเงียบงัน เธออดทนต่อบาดแผลทางใจ ในปี 2025 จะครบรอบ 30 ปีของการสังหารหมู่ครั้งนั้น



To escape the pain, Hazira is constantly on the move: she cleans, she chops wood. Constantly on the run from memories, from the present and from the fear that everything will repeat itself. Hazira survived the Srebrenica massacre. She has been living in a refugee camp in her own country for almost three decades. With gallows humour and quiet strength, she withstands the trauma. 2025 will mark 30 years since the massacre. 

 

Road to Nowhere / Caroline D’hondt / Belgium / 2024 / 82 min / Asia Premiere)



ดินแดนอินูอิตอันห่างไกลจากโลกภายนอก อีกาลูอิต เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ เพราะผู้คนมากมายหลั่งไหลมาจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อมาทำงานในเมืองหลวงแห่งดินแดน นูนาวุต ของแคนาดา เมืองที่มีประชากรราว 8,000 คน ซึ่งเป็นเหมือนโลกย่อส่วนที่หลากหลายบนผืนดินอาร์กติก



"Road to Nowhere" ชวนคุณเดินทางไปบนถนนน้ำแข็งที่เริ่มต้นและสิ้นสุดลงในสถานที่ที่หลากหลายโลกอยู่ร่วมกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้จะพาคุณก้าวผ่านประตูทั้งในทางกายภาพและเชิงเปรียบเทียบ เพื่อสังเกตเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ท่าทางซ้ำ ๆ และนิสัยของผู้คนแต่ละคน ที่นี่คือการจับภาพว่าชีวิตดำเนินไปอย่างไรในแง่มุมที่ใกล้ชิดและเป็นปกติ เป็นมุมมองที่ตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของแต่ละบุคคล ความสัมพันธ์กับรากเหง้า และอนาคตของพวกเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้เผยให้เห็นตัวเองราวกับผืนผ้าใบที่ถักทออย่างประณีตให้เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังรวมหมู่ ณ สุดขอบโลก ที่ซึ่งเรื่องธรรมดา บทกวี และความขัดแย้งเกี่ยวพันกัน

In Inuit land, away from the world, Iqaluit is nevertheless a cosmopolitan city, because many people come from the four corners of the world to work in this capital of the Canadian territory of Nunavut. A city where some 8,000 inhabitants live, a diverse microcosm in Arctic soil.



Road to Nowhere invites you to travel the icy road that begins and ends in this place where many worlds coexist. A film which undertakes to cross doors literally and figuratively, to observe everyday events, the repetition of gestures and the habits of each person. Here, it is

a question of capturing how life unfolds in the intimate and the ordinary, a sideways look that questions the presence of each person, the relationship to their roots and their future. A film that reveals itself as a canvas skilfully woven into a collective fresco on the edge of the world where the trivial, poetry and paradox intertwine.

 

17:00 SHORT 3 (83 min)



Sorry I’m Late (But I Brought A Choir) (Håkon Anton Olavsen / Norway / 2024 / 10 min / Thailand Premiere)


        

ค่ำคืนยังอีกยาวไกล ในขณะที่คณะนักร้องประสานเสียงที่กำลังเมามายกำลังรออยู่ที่โถงทางเดิน นีน่าจะยอมให้พวกเขาเข้ามาในปาร์ตี้ของเธอหรือไม่? แล้วนี่เป็นปาร์ตี้จริง ๆ หรือเปล่า?

        

Poet (Sun Kun / United Kingdom / 2023 / 22 min / Thailand Premiere)


        

ฮวา พนักงานโรงงานผู้หลงใหลในวรรณกรรม เธอมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับหัวหน้าคนงาน เมื่อเธอค้นพบโปสเตอร์งานอีเวนต์ในร้านหนังสือเก่าๆ เธอจึงตกหลุมรักบทกวี

 

I Love You Life (Agnieszka Chojnacka / Poland / 2024 / 30 min)



ในโลกที่ไร้มนุษย์ ผู้มาเยือนพบว่าตัวเองกำลังสำรวจซากอารยธรรมของโลก พิพิธภัณฑ์ของโปแลนด์กลายเป็นดินแดนลึกลับแห่งการคาดเดาและจินตนาการ ที่ซึ่งผลงานศิลปะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหลังจากการสิ้นสุดของมวลมนุษยชาติ ความรู้สึกรันทดขบขันและเศร้าโศกปรากฏอยู่เท่าเทียมกัน ลัทธิโครงสร้างนิยมโลดแล่นไปกับแนวโรแมนติกตามจังหวะของโอเปร่า "สนธยาของทวยเทพ"



Unspoken (Damian Walshe-Howling / Australia / 2023 / 20:54 min) 



ปี 1979 ขณะที่การประท้วงรุนแรงปะทุขึ้นทั่วเมืองซิดนีย์ มารีน่าซึ่งเกิดในโครเอเชียถูกบังคับให้เปิดเผยความสัมพันธ์ลับกับแฟนหนุ่มชาวออสเตรเลีย เนื่องจากพายุการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้นได้ซัดเข้าสู่บ้านในวัยเด็กของเธอพร้อมกับผลลัพธ์ที่เลวร้าย

++++++++

มนต์รัก TRANS SISTERS

 

สืบเนื่องจากโพสท์ข้างล่าง เกี่ยวกับ หนังในจินตนาการเรื่อง “มนต์รัก TRANS SISTERS” ที่เกี่ยวข้องกับสองสาว TRANS ผจญภัยในชนบทของไทยในช่วง WW III (สงครามโลกครั้งที่สาม)

 

เราก็เลยจินตนาการต่อเล่น ๆ ว่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สามนั้น นอกจากตัวละครต่าง ๆ ในหนังจะมีอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายแล้ว ตัวละครก็อาจจะต้องแนะนำตัวเองหรือมีประวัติติดตัวด้วยว่า ตัวเองฝักใฝ่ฝ่ายใด อย่างเช่น ฝักใฝ่อเมริกา, ฝักใฝ่จีน, ฝักใฝ่รัสเซีย, ฝักใฝ่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์, etc.

 

และนอกจากตัวละครนำของหนังที่เป็นสองสาว trans แล้ว ตัวละครนำอีกคน (ซึ่งอาจจะเป็นพระเอกของหนัง) ก็จะเป็น “NON-ALIGNMENT NON-BINARY” หรือ NON-BINARY ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

 

และตัวร้ายของหนังก็เป็นเพศใดก็ได้ ที่ฝักใฝ่เนทันยาฮู

 

ใครจะเอาไอเดียอะไรในนี้ไปใช้ต่อยอดอะไรก็ได้ตามสบายนะจ๊ะ

 

ขอบคุณภาพประกอบจากคุณ Nil Paksnavin

 

แรงบันดาลใจจากโพสท์นี้

https://web.facebook.com/pornrit.soumapanao/posts/pfbid0ZoABSqy1GSgJSSzfjuRFJXvSMrjzy7rBpiVEZNjCQzE62666PKeMZr8Tuwy8e3Dql

+++++

 

Favorite Soundtrack

 

DAMN I WISH I WAS YOUR LOVER (1992, Sophie B. Hawkins) in BRIDE HARD (2025, Simon West, A+15)

 

ดีใจเสมอที่ได้ยินเพลงที่เราชอบเมื่อ 30-40 ปีก่อน ถูกใช้ในหนังยุคปัจจุบัน 55555

https://www.youtube.com/watch?v=Lt6r-k9Bk6o&list=RDLt6r-k9Bk6o&start_radio=1

+++++++++

 

FAVORITE FEMALE FIGHTING CHARACTERS

 

16. Hsiao-Hsueh (จงฉู่หง หรือ Cherie Chung) from GOLDEN SWALLOW โอม สู้แล้วอย่าห้าม (1987, O Sing-Pui, Hong Kong, A+30)

 

GOLDEN SWALLOW นี่ก็ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งสำหรับดิฉันที่แสดงให้เห็นว่า “หนังที่ดี” กับ “หนังที่ดิฉันชอบสุดขีด” เป็นสิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่นิดเดียว 55555 เพราะถ้าหากเทียบกับ “โปเย โปโลเย” A CHINESE GHOST STORY (1987, Ching Siu-Tung, Hong Kong, A+30) แล้ว A CHINESE GHOST STORY ก็เป็น “หนังที่ดี” กว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไง ๆ ดิฉันก็อินกับตัวละครนางเอกของ GOLDEN SWALLOW มากกว่าอยู่ดี และก็เลยส่งผลให้ดิฉันชอบ GOLDEN SWALLOW มากกว่า A CHINESE GHOST STORY อย่างรุนแรงมาก

 

เพราะฉะนั้นถ้าหากเห็นดิฉันชื่นชม “หนังห่วย ๆ” เรื่องใด ๆ ก็ตาม ก็ไม่ต้องประหลาดใจนะคะ มันเป็นเรื่องที่ปกติและเกิดขึ้นเป็นประจำในชีวิตของดิฉันค่ะ เพราะดิฉันมักจะอินกับตัวละครใน “หนังห่วย ๆ” ในสายตาของคนอื่น ๆ อยู่เสมอ และมักจะไม่อินกับ “นางเอก” ใน “หนังดี ๆ” ในสายตาของคนอื่น ๆ 55555

 

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจดีเหมือนกัน ที่หนังสองเรื่องที่คล้ายกันมาก ๆ แต่ดิฉันกลับชอบหนังที่ห่วยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดิฉันเดาว่า สาเหตุที่ดิฉันอินกับ GOLDEN SWALLOW มากกว่า คงเป็นเพราะตัวละครที่ “หวังจู่เสียน” แสดงใน A CHINESE GHOST STORY ดู “สวยแบบผู้หญิง” มากเกินไป จนดิฉันดูแล้วไม่สามารถ identify ตัวเองด้วยได้ เหมือนตัวละครของ “หวังจู่เสียน” มา “เพื่อให้ผู้ชายหลงรัก” อะไรทำนองนั้น

 

ส่วนตัวละครของ “จงฉู่หง” ใน GOLDEN SWALLOW นั้น ถึงแม้ตัวละครตัวนี้ดูคล้ายกับตัวละครนางเอกของ A CHINESE GHOST STORY แต่ดิฉันก็รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มี “พลังทางการสังหารผู้คน” หรือ “พลังทางการต่อสู้” สูงกว่าตัวละครของหวังจู่เสียน เหมือนเธอมา “เพื่อต่อสู้” มากกว่ามา “เพื่อให้ผู้ชายหลงรัก” น่ะ ดิฉันก็เลยอินกับตัวละครตัวนี้อย่างรุนแรงสุดขีด

 

และอีกสาเหตุหนึ่งที่ดิฉันอินกับตัวละครของจงฉู่หงในหนังเรื่องนี้มาก ๆ ก็เป็นเพราะ “อาวุธที่เธอใช้” ซึ่งเป็น “อาวุธในฝันของกะเทยอย่างดิฉัน” ค่ะ นั่นก็คือ เธอใช้ “ผ้า” เป็นอาวุธ

 

คือถ้าหากถามว่า ตัวละครแนว fighting female characters ที่ดิฉันชอบมากที่สุดในชีวิตคือใคร ตัวละครตัวนั้นก็คงเป็นนางเอกของ SUKEBAN DEKA ภาคสอง ที่แสดงโดย Yoko Minamino ที่ใช้ “ลูกดิ่ง” เป็นอาวุธ

 

แต่ถ้าหากเลือกเฉพาะ “อาวุธ” ที่ใช้แล้วล่ะก็ หนึ่งใน “อาวุธ” ที่ดิฉันชอบมากที่สุด ก็ไม่ใช่ “ปืน” อย่างแน่นอน และก็ไม่ใช่ “ลูกดิ่ง” ด้วย แต่เป็น “ผ้า” และ “เข็มพิษ” นี่แหละมั้ง ที่เป็นอาวุธที่ดิฉันชื่นชอบมากที่สุด ซึ่งตัวละครที่ใช้ “ผ้า” เป็นอาวุธได้อย่างสะใจดิฉัน ก็มีนางเอกของ GOLDEN SWALLOW, เจ้าแม่วังบุปผา จาก “เดชเซียวฮื่อยี้” (เวอร์ชั่น เหลียงเฉาเหว่ย) และ “น้องสาวของเจ้าแม่วังบุปผา” นี่แหละ

 

“โอม สู้แล้วอย่าห้าม” มีให้ดูตลอดทั้งเรื่องในยูทูบนะ

 

17. เจ้าแม่วังบุปผา (Maggie Chan) จาก “เดชเซียวฮื่อยี้” TWO MOST HONORABLE KNIGHTS (1988, Hong Kong TV series)

 

18. น้องสาวเจ้าแม่วังบุปผา จาก “เดชเซียวฮื่อยี้” TWO MOST HONORABLE KNIGHTS (1988, Hong Kong TV series)

 

ดูฉากการต่อสู้ระหว่าง เจ้าแม่วังบุปผา กับน้องสาว ได้ที่นี่นะ (แบบพากย์ไทย)

https://web.facebook.com/jit.phokaew/videos/10201440219070763/

 

แบบภาษาจีน
https://www.youtube.com/watch?v=rYwdL7-GxxA&list=PLUxlohmoXramp_i1Yv4mZy8yWXgUjA3gy&index=8

 

ฉากเปิดของ “เดชเซียวฮื่อยี้” ที่ตัวละครใช้ผ้าเป็นอาวุธในนาทีที่ 7-9 นี่มันคลาสสิคจริงๆ

https://www.youtube.com/watch?v=QFAplxImPsU&list=PLUxlohmoXramp_i1Yv4mZy8yWXgUjA3gy

+++++++

Lin Po-hung แสดงหนังเรื่อง SALLI นี้ด้วย เราเคยตกหลุมรักเขาอย่างรุนแรงจากหนังเรื่อง SUFFOCATING LOVE (2024, Liao Ming-Yi, Taiwan)

 

++++++

IMAGINARY CLASSIC FILM PROGRAM FOR BANGKOK

 

1.DER BIß (1984, Marianne Enzensberger, West Germany, 84min)

 

2. HOURS FOR JEROME (1982, Nathaniel Dorsky, USA, 45min)

 

3. ‘RAMEAU’S NEPHEW’ BY DIDEROT (THANX TO DENNIS YOUNG) BY WILMA SCHOEN (1974, Michael Snow, Canada, 4hrs 15min)

 

4. THE SATIN SLIPPER (1985, Manoel de Oliveira, Portugal, 6hrs 50min)

 

5. THAT DAY, ON THE BEACH (1983, Edward Yang, Taiwan, 2hrs 46min)