Saturday, August 04, 2007

FILMS WITH LONG CONVERSATION

THIS IS MY COMMENT IN BIOSCOPE WEBBOARD

http://www.bioscopemagazine.com/smf/index.php?topic=367.0

ตอบคุณ TAXI__ANON

ดีใจที่ได้อ่านความเห็นของคุณ TAXI__ANON และได้ทราบเบื้องหลังการทำงานของหนังเรื่องนี้ค่ะ เรื่องอุปสรรคในการผ่านด่านเซ็นเซอร์ทางการผลิตนั้นเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจจริงๆ และทำให้นึกไปถึงหนังสารคดีเรื่อง FINAL SCORE (2007, Soraya Nakasuwan, A+) เมื่อต้นปีนี้ที่ได้ยินข่าวลือมาว่า จริงๆแล้วเนื้อหาของ FINAL SCORE มันแรงกว่านี้ แต่บริษัทต้นสังกัดของหนังไม่ยอมให้ผ่าน และก็เลยทำให้ FINAL SCORE ถูกตัดต่อออกมาจนกลายเป็นหนังที่ดูใสบริสุทธิ์เกินจริงไปหน่อย (ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า)

ข้อความข้างล่างนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังของคุณ TAXI__ANON แต่อย่างใด แต่ดิฉันขอเป็นฝ่ายระบายความรู้สึกในประเด็นอื่นๆบ้างแล้วกันนะคะ

จริงๆแล้วดิฉันไม่ค่อยกล้าแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสารคดีไทยอย่างตรงไปตรงมาสักเท่าไหร่ เพราะมีหนังสารคดีไทยบางเรื่องที่กระทบความรู้สึกของดิฉัน เพราะว่าหนังสารคดีเรื่องนั้นนำเสนอตัวคนที่เป็น SUBJECT ของเรื่องในแง่ไม่ดีเท่าใดนัก ดิฉันกลัวว่าถ้าหากดิฉันจะแสดงความเห็นที่ตรงไปตรงมาของตัวเองออกมา แล้วมันอาจจะทำให้ตัวคนที่อยู่ในหนังสารคดีกับผู้กำกับหนังสารคดีผิดใจกันได้ แบบว่าคนที่อยู่ในหนังสารคดีอาจจะตามมาด่าผู้กำกับได้ว่า “ตายแล้ว นี่ฉันยอมให้แกมาถ่ายฉันไปทำหนังสารคดี แล้วก็เลยทำให้คนมองฉันในแง่ลบกันไปทั้งบ้านทั้งเมืองเลยหรือนี่”

มีหนังสารคดีสั้นบางเรื่องของไทยที่ดิฉันได้ดูในปีที่แล้วที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพ่อ+แม่และลูกชายที่เป็นศิลปิน และพอดูจบดิฉันก็เกิดความรู้สึกไม่ดีกับคนที่เป็นแม่ในหนังเรื่องนั้น ตอนแรกก็อยากจะเขียนถึงประเด็นนี้ลงในเว็บบอร์ด แต่กลัวว่าเขียนแล้วอาจจะทำให้คุณแม่ในหนังเรื่องนั้นกับผู้กำกับหนังสั้นเรื่องนั้นผิดใจกันได้ ก็เลยไม่เขียนดีกว่า

พูดถึงหนังสารคดีที่นำเสนอตัว SUBJECT ของหนังในแง่ลบแล้ว ดิฉันก็นึกถึงหนังเรื่อง IMELDA (2003, Ramona S. Diaz, A) ที่นำเสนออิเมลดา มาร์กอส ในแง่ไม่โสภาเท่าใดนัก ฉากที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้คือฉากที่อิเมลดาบรรยายถึงทฤษฎีบ้าบอคอแตกอะไรของเธอก็ไม่รู้ และผู้กำกับก็ใส่ฉากนั้นเข้ามาในหนังโดยไม่ได้ “บอก” ว่าผู้ชมควรรู้สึกอะไรกับฉากนั้น แต่ดิฉันเชื่อว่าผู้ชมหลายคนคงรู้สึกอย่างเดียวกันกับดิฉัน นั่นก็คือรู้สึกสมเพชอิเมลดาอย่างมากๆในฉากนั้น

แหะ แหะ เขียนมาเยอะโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังของคุณ TAXI__ANON เลย แต่ดิฉันก็แค่อยากระบายเท่านั้นค่ะว่า การเขียนถึงหนังสารคดีของไทยที่ได้ดูนั้น บางทีมันก็ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเหมือนกันว่าสิ่งที่เราเขียนมันจะก่อให้เกิดผลในทางลบโดยไม่ได้ตั้งใจได้หรือเปล่า ซึ่งสิ่งนี้แตกต่างจากหนัง FICTION เพราะดิฉันรู้สึกว่าในการเขียนถึงหนัง FICTION นั้น ดิฉันสามารถเขียนด่าทอ “ตัวละคร” ในหนังได้โดยไม่ต้องยั้งมือแต่ประการใด ฮ่าๆๆๆ



ตอบคุณ ENNISDELMAR

ช่วงนี้รู้สึกตลกดีที่ได้ดูหนังที่ชอบสุดๆ 3 เรื่องที่มีจุดร่วมเดียวกัน นั่นก็คือทั้งสามเรื่องมีฉากการสนทนาที่ยาวมากๆ หนัง 3 เรื่องนี้ได้แก่

1.ONE TRUE THING (2007, Vichart Somkaew, A+)

2.BELLE TOUJOURS (2006, Manoel de Oliveira, A+)

3.DEATH PROOF (2007, Quentin Tarantino, A+)


ส่วนหนังที่มีฉากคุยกันที่ยาวมากๆที่เคยดูเมื่อหลายปีก่อน ก็คือเรื่อง MY DINNER WITH ANDRE (1981, Louis Malle) ที่ให้ผู้ชายสองคนมาคุยกันตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง แต่วิดีโอที่ดิฉันได้ดูไม่มีซับไตเติลให้ค่ะ และดิฉันก็แทบฟังไม่ออกเลยว่าสองคนนี้พูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไรบ้าง แต่เดาว่าต้องมีบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาแน่ๆ เอาไว้ว่างๆเมื่อไหร่อาจจะลองขุดเอาวิดีโอหนังเรื่องนี้ขึ้นมาดูอีกที เผื่อว่าคราวนี้อาจจะฟังบทสนทนาในหนังออกมากขึ้น

Synopsis of MY DINNER WITH ANDRE from amazon.com
http://www.amazon.com/gp/product/6305069743/imdb-adbox/

“The sheer audacity of My Dinner with Andre drew throngs of curious filmgoers who made the film the most talked-about art-house hit of 1981. After all, who'd ever heard of a movie consisting of nearly two hours of nonstop dinner conversation? Ah... but this isn't just any conversation--it's the kind of mesmerizing, soul-searching, life-affirming exploration that we feel privileged to listen to, and with unobtrusive style, director Louis Malle invites us to eavesdrop to our hearts' and minds' content. The film was written by two New Yorkers at the dinner table, noted playwright-actor Wallace Shawn and well-known stage director Andre Gregory, who essentially play themselves. They taped their conversations for several weeks and Shawn gradually shaped them into a scripted conversation, but you'd never know it from watching the movie. The talk flows and flows until you're captivated by Gregory's stories of world travel and spiritual quests in Poland, India, Tibet, the Sahara desert... the tales of a soul-searcher who'd dropped out of the theater world to rediscover his zest for living. Shawn plays the skeptic, the voice of reason, his feet on the ground but his own mind willing to soar. The cumulative effect of this conversation is almost hypnotic, and certainly plays into our eternal appetite for storytelling. Both primal and sophisticated, witty and profound, My Dinner with Andre is a film that can be savored over time, offering new revelations with each viewing as the listener-viewer develops his or her own appreciation of life's great mysteries. --Jeff Shannon”

http://ec1.images-amazon.com/images/I/51F2Q008SHL._SS500_.jpg


ตอบน้อง merveillesxx

ขำโปสเตอร์ “รักในวัยเรียน” แบบที่สองมากๆค่ะ

No comments: