Saturday, August 04, 2007

THE INSTRUCTIONAL MANUAL OF AERIAL VIDEOGRAPHY

THIS IS MY COMMENT IN BIOSCOPE WEBBOARD
http://www.bioscopemagazine.com/smf/index.php?topic=367.0

ตอบคุณ TAXI…ANON

ความรู้สึกของดิฉันที่มีต่อหนังเรื่อง THE INSTRUCTION MANUAL OF AERIAL VIDEOGRAPHY FOR WEDDING PRESENTATION (ถ้าดิฉันจำอะไรผิดไปหรือเข้าใจอะไรผิดไปก็ต้องกราบขออภัยด้วยนะคะ เพราะได้ดูหนังเรื่องนี้ไปเพียงแค่รอบเดียวเท่านั้น)

1.ชอบวิธีการนำเสนอของหนังที่เหมือนเล่าผ่านทางบุรุษที่หนึ่ง (ตัวผู้กำกับ) ที่เหมือนไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับ AERIAL VIDEOGRAPHY หรือคู่บ่าวสาวมาก่อน วิธีการเล่าแบบนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในสถานะเดียวกับผู้กำกับในช่วงเริ่มๆเรื่อง และทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าหนังมันไม่ซีเรียสเกินไป ชอบโทนอารมณ์ของหนังเรื่องนี้มากๆ มันดูง่ายๆสบายๆดี

จริงๆแล้วคิดว่าหนังเรื่องนี้สามารถนำเสนอในรูปแบบอื่นๆได้ เช่นนำเสนอออกมาในโทนซีเรียส และทำออกมาเป็นหนังเชิงการศึกษา/ฝีกอบรมเกี่ยวกับ AERIAL VIDEOGRAPHY อย่างจริงจัง โดยเหมือนเล่าผ่านทางบุรุษที่สาม ซึ่งถ้าทำออกมาแบบนี้ หนังคงจะน่าเบื่อมากสำหรับดิฉัน

2.ชอบอารมณ์ขันในหนังเรื่องนี้ ที่ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป ฉากที่ฮามากคือฉากคำนวณค่าอาหารแต่ละจานในช่วงต้นเรื่อง และฉากที่ฮาสุดๆโดยที่ผู้กำกับอาจจะไม่ได้ตั้งใจ คือฉากวิดีโอที่นำเสนอในงานแต่งงาน ซึ่งมันดูโรแมนติกจนโอเวอร์มากๆ แต่นั่นอาจจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวของดิฉันที่เกิดขึ้นมาเองโดยที่ผู้ชมคนอื่นๆอาจจะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นและผู้สร้างหนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจเช่นนั้น

3.ขอสารภาพว่าขณะที่ดิฉันดูหนังเรื่องนี้ ดิฉันไม่แน่ใจเลยตลอดทั้งเรื่องว่าตกลงมันเป็น DOCUMENTARY จริงๆ หรือว่ามันเป็น MOCKUMENTARY กันแน่ การที่หนังมันให้อารมณ์ง่ายๆ สบายๆตลอดทั้งเรื่องทำให้ดิฉันไม่แน่ใจว่ามันเป็นสารคดีจริงหรือลวงจนกระทั่งตอนจบของหนังและมีเครดิตขึ้นมา แต่ดิฉันชอบความไม่แน่ใจแบบนี้นี่แหละค่ะ

4.ชอบการเก็บภาพเล็กๆน้อยๆในงานแต่งงาน โดยเฉพาะภาพเจ้าสาวขณะเหนื่อยอ่อนและภาพเจ้าสาวขณะยิ้มให้กล้องถ่ายรูป

5.รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีท่าทีที่กลางๆดีต่อทั้ง AERIAL VIDEOGRAPHY และต่องานแต่งงาน คือไม่ได้เชิดชูมันและไม่ได้ดูถูกมัน แต่ดูเหมือนจะมองเรื่องเหล่านี้ในเชิงขำๆหน่อย การที่หนังไม่ได้พยายามชี้นำความคิดหรือทัศนคติจนเกินไปหรือไม่ได้เสียดเย้ยจนเกินไปทำให้ผู้ชมอย่างดิฉันไม่รู้สึกอึดอัด และดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างเพลิดเพลินมาก

6.ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วดิฉันก็ขอยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มอง AERIAL VIDEOGRAPHY หรืองานแต่งงานในแง่ดีเท่าใดนัก แต่นั่นเป็นทัศนคติที่เป็นมาตั้งแต่ก่อนดูหนังเรื่องนี้อยู่แล้ว

7.สิ่งหนึ่งที่ได้รับจากหนังเรื่องนี้ก็คือ วันจัดงานแต่งงานคงไม่ใช่วันแห่งความสุข แต่เป็นวันที่เหนื่อยสุดๆ

8.ไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้เกิดจากการวางแผนอะไรล่วงหน้าไว้บ้างหรือเปล่า แต่ความรู้สึกของตัวเองที่ได้ดูรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันไปเรื่อยๆดี ราวกับว่าเกิดจากการ improvise ตามสถานการณ์ไปเรื่อยๆมากกว่าจะเกิดจากการวางแผนอย่างรัดกุมล่วงหน้า ซึ่งวิธีการแบบไหลไปเรื่อยๆนี้อาจจะเหมาะแล้วกับหนังสารคดีแนวนี้ที่ไม่ได้เน้นการให้ความรู้แก่ผู้ชม แต่เหมือนจะเป็นการนำเสนอเรื่องราวเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง

(ตัวอย่าง classic ของหนังสารคดีแนวไหลไปเรื่อยๆที่ดิฉันชอบมากก็คือ SHERMAN'S MARCH (1986, Ross McElwee, A+) ที่ผู้กำกับตั้งใจจะแกะรอยนายพลในยุคสงครามกลางเมืองในตอนแรก แต่สาวๆที่เขาได้พบในระหว่างทางทำให้ผู้กำกับหนังสารคดีเรื่องนี้ไม่สามารถทำตามความตั้งใจเดิมได้ และหนังสารคดีเรื่องนี้ก็เลยไพล่ไปเล่าเรื่องอื่นๆแทน)

9.ปกติแล้วดิฉันไม่ชอบหนังโรแมนติก และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิฉันชอบหนังสารคดีเรื่องนี้มากๆ เพราะมันนำเสนอแง่มุมต่างๆตามความเป็นจริงในงานแต่งงานโดยไม่ได้พยายามสร้างความโรแมนติกให้กับงานแต่งงานหรือสร้างอารมณ์โรแมนติกให้กับกระบวนการต่างๆก่อนจะถึงงานแต่ง



ตอบน้อง merveillesxx

พี่ว่าถ้าหากน้องได้ดู WASABI น้องก็คงจะชอบหนังเรื่องนี้อย่างมากๆแน่จ้ะ หนังเรื่องนี้เลียนแบบอะไรต่างๆในหนังหรือละครญี่ปุ่นได้เหมือนและได้อย่างฮามากๆ โดยเฉพาะฉากท่าทางการร้องไห้ของคุณแม่

พอได้ดูท่าทางการร้องไห้ที่เลียนแบบคนญี่ปุ่นในหนังเรื่องนี้ ก็เลยทำให้นึกถึงหนังสารคดีเรื่อง ABDUCTION: THE MEGUMI YOKOTA STORY (2006, Patty Kim + Chris Sheridan, A) ที่เพิ่งได้ดูมา เพราะหนังเรื่องนี้บอกว่าสาเหตุหนึ่งที่เกาหลีเหนือต้องลักพาตัวคนญี่ปุ่นไปก็เพื่อจะได้เลียนแบบท่าทางของคนญี่ปุ่นได้เหมือน เพราะแม้แต่ท่าทางการล้างหน้าของคนเกาหลีเหนือกับคนญี่ปุ่นก็แตกต่างกันแล้ว

ฉากที่ฮาสุดๆฉากนึงใน WASABI ก็คือฉากที่ครอบครัวคนไทยในเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับ "วันป้องกันวินาศภัย" และฉากที่หนุ่มญี่ปุ่นหัดร้อยพวงมาลัย ในขณะที่สาวไทยใช้เวลาว่างไปกับการทำตุ๊กตาไล่ฝน

ประเด็นนึงที่ฮาดีใน WASABI คือการพูดถึงทัศนคติแบบเหมารวมที่คนแต่ละชาติมีต่อคนชาติอื่นๆ โดยพวกเขาลืมไปว่ามนุษย์ทุกคนมีความแตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าพอเป็นคนไทยแล้วก็ต้องชอบอะไรเหมือนๆกัน หรือเป็นคนญี่ปุ่นแล้วก็ต้องชอบอะไรเหมือนๆกัน

อย่างไรก็ดี มีความ CLICHE อย่างหนึ่งของหนัง/ละครทีวีญี่ปุ่นที่ WASABI ไม่ได้นำเสนอ นั่นก็คือ "การวิ่งของตัวละครในช่วงท้ายๆเรื่อง" แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าการถ่ายทำฉากแบบนี้อาจจะยากอยู่สักหน่อย หรือไม่ก็เนื้อเรื่องของ WASABI ไม่เอื้ออำนวย

จำได้ว่าตัวเองรู้สึกถึงความ cliche ของการวิ่งในละครญี่ปุ่นครั้งแรกๆตอนที่ดูละครทีวีเรื่อง TOKYO LOVE STORY (1991, Kozo Nakayama, B) ที่นำแสดงโดย Yuji Oda, Yosuke Eguchi, Honami Suzuki จำได้ว่าพอถึงช่วงท้ายๆของแต่ละตอน มันก็จะต้องมีเหตุอะไรสักอย่างให้พระเอกเกิดสำนึกอะไรได้ขึ้นมา และก็ต้องรีบวิ่ง วิ่ง วิ่ง ไปทำอะไรบางอย่างให้ทันหรือไปพบใครให้ทันในช่วงใกล้จบแต่ละตอน

ดิฉันรู้สึกว่าถ้าหากดิฉันได้เห็นฉากวิ่งแบบนี้ในหนัง/ละครทีวีญี่ปุ่นอีกเมื่อไหร่ ดิฉันก็คงจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับฉากนั้นเท่าใดนัก แต่ถ้าหากเห็นฉากแบบนี้ในหนังของชาติอื่นๆ ดิฉันก็อาจจะไม่ได้รู้สึกในทางลบกับฉากแบบนี้ ตัวอย่างล่าสุดก็คือในหนังโซเวียตเรื่อง BALLAD OF A SOLDIER (1959, Grigori Chukhrai, A+) ที่ในช่วงท้ายเรื่องมีฉากตัวละครวิ่งเตลิดฝ่าไร่พืชอะไรสักอย่าง พร้อมกับดนตรีประกอบที่โหมประโคมสร้างความซึ้งอย่างจงใจมากๆ ดิฉันคิดว่าถ้าหากฉากแบบนี้ปรากฏอยู่ในหนังญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน ดิฉันก็คงจะรู้สึกเลวร้ายกับฉากนั้นมากๆ แต่เนื่องจากฉากนี้ปรากฏอยู่ในหนังโซเวียตปี 1959 ดิฉันก็เลยไม่ได้รู้สึกเลวร้ายกับฉากนั้น
http://ec1.images-amazon.com/images/I/4163X2758VL._SS500_.jpg

No comments: