This is my comment in Dechito’s blog:
http://dechito.blogspot.com/2008/08/wall-e.html
I think the ending of WALL E (2008, Andrew Stanton, A+/A) is very intriguing for me. Its ending credit makes me fear that the human civilization may destroy itself again, or maybe not. In the ending credit, we can see the ending story being told through many art styles. It starts with the ancient art, and the art styles keep moving forward chronologically, and seem to end with the style of the Impressionist and Vincent Van Gogh, or end with the style of art before the First World War. The story ends happily, but the art style used in the ending credit unintentionally makes me think that there may be a next World War waiting to happen, or the new civilization may run into the same horrifying troubles as in the twentieth century. The film doesn’t show us directly that the ruination of mankind may happen again, but seeing the art styles used in the ending credit makes me think about it.
Though I like WALL E very much, I give it only A+/A because the topic of the film doesn’t interest me that much. I think its ending is good, but somehow it is not extremely satisfying for me. Coincidentally, I just saw a Thai short animation called ON THE MOON (2007, Dhan Lhaow, A+), which I prefer to WALL E. In this animation, we see the heroine destroy the whole world with her powerful bomb, but I’m not sure why she does it. Then we see the sad hero begin to smile without reason. I don’t know what this film or its ending means actually, but its ending is weirdly satisfying for me, much more satisfying than the ending of WALL E.
If you are interested, you can watch ON THE MOON here:
http://dhanlhaow.multiply.com/video/item/49/The_Moon
---------------------------------
It is said that the ending credit of WALL E imitates the art styles of Auguste Renoir, Georges Seurat, and Vincent Van Gogh.
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
3 comments:
ขอบคุณสำหรับ comment ของon the moonครับ
ผมอยากดู wall e มากเลยแต่ยังไม่มีเวลาไปดูเลย
ส่วนเรื่อง on the moon เกี่ยวกับอะไรผมเอง
ก็ไม่รุ้เหมือนกันครับ เพราะ เนื้อเรื่องทั้งหมด
มาจากความฝันช่วงปี1 ของผมครับ
ถึงจะไม่เข้าใจว่าฝันนี่มันยังไง เพราะความฝันคงไม่มีความหมายอะไร แต่พอตื่นขึ้นผมก็ชอบมันมาก ถึงกับจดลงกระดาษว่าซักวัน จะทำอะไรซํกอย่างกับไอ้นี่แหละ ช่วง จบว่างๆก็เลยเอามาทำครับ
เราชอบ WALL E ในระดับA+/A เหมือนกัน
รู้สึกว่าหนังมันดี แต่มันพูดแค่ครึ่งเดียว เหมือนกับบอกว่า ช่างเถอะยังไงโลกก็เจ๊งไปแล้วเรามาช่วยกันแก้ไข (โดยบรรษัทเดียวกับที่ทำให้เจ๊งนั่นแหละ)ดีกว่า
รู้สึกอยากเปรียบเทียบหนังกับ การรณรงค์ใช้ถุงผ้า มันดี มันช่วย แต่เราก็ไม่ได้มองว่าปัญหามันอยู่ที่ไหนอยู่ดี
ทำให้รู้สึกว่าฉากจบมนุษยืก็เริ่มเดินซ้ำรอยเดิม ทำให้นึกถึงคำพูโท่เดวิด เทห์เคยพูดว่า HISTORY REPEAT ITSELF /FILMSICK
ตอบคุณ Dhan Lhaow
ขอบคุณมากครับที่มาเล่าเบื้องหลังของ ON THE MOON ให้ฟัง
เรารู้สึกว่าตอนจบของ ON THE MOON เป็นตอนจบที่ฝังใจเรามากเลยนะ เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเรียกว่ามันเป็น HAPPY ENDING ได้ไหม เพราะตอนจบนางเอกก็ HAPPY, พระเอกก็ HAPPY และเราซึ่งเป็นคนดูก็ HAPPY แต่ว่าการ HAPPY นี้เกี่ยวข้องกับการที่โลกถูกทำลายโดยไม่มีสาเหตุ เราก็เลยไม่แน่ใจว่าตอนจบแบบนี้เรียกว่า HAPPY ENDING ได้หรือเปล่า ฮ่าๆๆๆๆ
ตอบคุณ FILMSICK
พูดถึงความลักลั่นของ WALL E แล้ว ก็เลยทำให้เรานึกถึง THE HAPPENING ขึ้นมา เพราะเราเดาว่าปัญหาหนึ่งที่ทำให้ต้นไม้พยายามฆ่ามนุษย์ ก็คือการที่จำนวนประชากรบนโลกนี้มีมากเกินไป แล้วทำไมตอนจบยัยนางเอกถึงต้องการเพิ่มจำนวนประชากรให้ล้นโลกขึ้นมาอีกหนึ่งคนด้วยการมีลูก เราไม่เข้าใจจริงๆ เราคิดว่าถ้าหากคุณยังคงผลิตลูกต่อไปเรื่อยๆแบบนี้แล้ว แล้วเมื่อไหร่ปัญหามันจะหมด คือถ้าเป็นในหนังเรื่องอื่นๆเราจะไม่รู้สึกกับฉากการตั้งครรภ์มากแบบนี้นะ แต่พอมันเป็นหนังที่อาจจะเกี่ยวกับปัญหาสภาพแวดล้อมแบบนี้แล้ว เราก็เลยรู้สึกงงๆกับมัน
Post a Comment