Sunday, July 12, 2015

SOME THAI SHORT FILMS SEEN ON SUNDAY, JULY 12

ชอบ STAR (พันธวิศย์ เทพจันทร์, 20min, A+30) มากๆ มันเป็นเหมือน mockumentary เบื้องหลังการถ่ายทำหนังเรื่องนึงที่ออกแนวอีโรติกหน่อยๆ ตอนแรกเรานึกว่ามันเป็นสารคดีจริงๆ พอดูไปสัก 5 นาทีถึงค่อยแน่ใจว่ามันเป็น mockumentary จุดที่เราชอบสุดๆในหนังเรื่องนี้คือการที่หนังแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรือเหมาะกับสถานะและบทบาทของตนเองจริงๆ มนุษย์ทุกคนต่างก็มีทั้งความเหมาะสมและไม่เหมาะสมกับสถานะที่ตนเองดำรงอยู่ คือเราชอบหนังที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนมี flaws น่ะ และหนังเรื่องนี้ก็ออกมาในแนวทางนั้น แต่อาจจะไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้ตรงๆ คือหนังเรื่องนี้เจาะไปที่ตัวละครนำ 3 ตัว ซึ่งก็คือนักแสดงที่จะมาเล่นเป็นพระเอก (เขาน่ารักสุดๆในสายตาของเรา), นักแสดงที่จะมาเล่นเป็นนางเอก ซึ่งตัวนักแสดงเป็นสาวเซ็กซี่ แต่เธอต้องมารับบทสาวเซอร์ และนักแสดงที่จะมาเล่นเป็นนางรอง ซึ่งบุคลิกในชีวิตจริงของเธอเหมาะกับการเป็นสาวเซอร์ๆมากกว่า ในขณะที่ตัวพระเอกเองนั้นก็ไม่เคยมีประสบกามมาก่อนเลย แต่ต้องมารับบทขึ้นเตียงกับสาวเซ็กซี่ คือ conflict ในเรื่องคือการที่นักแสดงแต่ละคนมีความไม่เหมาะกับบทที่ตัวเองได้รับ แต่ถึงแม้แต่ละคนสลับบทบาทกัน ก็ไม่มีใครสามารถรับบทบาทใดได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่ดี ทุกคนต่างก็มีความ “พร่อง” ต่อบทบาทของตนเองทั้งนั้นแม้จะสลับบทบาทกันแล้ว และประเด็นนี้ของหนังก็เลยทำให้เรานึกถึงบทบาทต่างๆของมนุษย์ในชีวิตจริง และเราก็ชอบมากๆที่หนังทำให้เรานึกถึงการที่มนุษย์เราต่างก็ต้องพยายามรับบทบาทต่างๆไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่มีทางเป็นอะไรที่ “สมบูรณ์แบบ” ได้

THE CREEPY THINGS FROM 7TH FLOOR (Panupat Leangpanich, A+15) เป็นหนังที่ไอเดียดีสุดๆ ที่ล้อเลียน cliche ต่างๆทั้งในหนังรัก, หนังครอบครัว และหนังผี แต่เราว่าจังหวะตลกหรือจังหวะต่างๆของหนังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นถึงแม้ไอเดียของหนังจะดีมากๆ แต่อารมณ์ของหนังอาจจะยังไปได้ไม่สุดเท่าใดนัก ส่วน THAK LIFE (พิพัฒน์ เจริญขวัญ, A+30) นี่จัดเป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดในบรรดาหนังที่ได้รับอิทธิพลจาก Apichatpong Weerasethakul ได้เลย เพราะปกติแล้วหนังที่ได้รับอิทธิพลจากพี่เจ้ยมักจะเป็นหนังอาร์ตนิ่งช้า อย่างเช่นหนังของเอกลักษณ์ มาลีทิพย์วรรณ แต่หนังเรื่อง THAK LIFE เป็นหนังตลกแบบเซอร์เรียล และมันเอาลักษณะต่างๆในหนังของพี่เจ้ยมายั่วล้อได้อย่างขำขันและน่ารักมากๆ นอกจากนี้ ฉากตั้งกล้องนิ่งหน้าอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินนี่คลาสสิคมากๆ การแสดงในฉากนั้นนึกว่าละครเวทีแนว absurd

THE LORD BE WITH YOU (อภิชาติ จีรวัชรากร, A+10) เราชอบประเด็นเรื่องท่าทีของนางเอกที่มีต่อสถาบันศาสนา คือหนังเรื่องนี้ไม่ได้ด่าสถาบันศาสนา แต่มุ่งเป้าไปที่เฉพาะตัวละครนางเอกหรือคนแบบนางเอกที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมืออะไรบางอย่าง คือการเข้าหาศาสนาของนางเอกหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับเรื่องราวความบ้าผู้ชายของเธอ และเธอก็มองสถาบันศาสนาเหมือนเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่หนทางในการยกระดับจิตใจแต่อย่างใด นอกจากนี้ เราว่าหนัง treat เรื่องราวความบ้าผู้ชายของนางเอกและตัวละครนางเอกได้ดีพอสมควรด้วย แต่สาเหตุที่เราไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้แบบสุดๆอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้อินกับตัวนางเอกมากนักน่ะ เพราะเราไม่ใช่คนแบบที่จะไปสวดภาวนาให้ดาราคนไหนน่ะ และเราก็ไม่ใช่คนแบบที่จะจินตนาการว่าตัวเองจะใส่ชุดเจ้าสาวเข้าโบสถ์อะไรทำนองนี้ แต่เราจะอินกับตัวละครนางเอกถ้าหากมีฉากนางเอกสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองขณะดูรูปดาราหนุ่มเกาหลี อะไรทำนองนี้มากกว่า สรุปว่าสาเหตุที่เราชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+10 เป็นเพราะว่าเราชอบที่นางเอก “บ้าผู้ชาย” แต่สาเหตุที่เราไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30 เป็นเพราะว่านางเอกหนังเรื่องนี้ไม่ได้ “เงี่ยนผู้ชาย” จริงๆ 555

ส่วนหนังเรื่อง THE INNOCENT GIRL (กนกพร ท้าวฬา/บวรลักษณ์ สมรูป, A+20) นั้น เราชอบมากๆเพราะมันเป็น Alfred Hitchcock + Brian De Palma มากๆ คือเราชอบ Brian De Palma มากในระดับนึงน่ะ ก็เลยดีใจมากที่มีคนไทยทำหนังแบบ Brian De Palma ออกมา คือเป็นหนังทริลเลอร์ โรคจิต ที่อาจจะเน้นสไตล์และ form มากกว่าจะเน้นไปที่การลงลึกความเป็นมนุษย์ และหนังของ Brian De Palma บางเรื่องมีการสร้างตัวละครแนว femme fatale ที่น่าประทับใจมากๆเหมือนในหนังเรื่องนี้

THE NIGHT AT STUDIO ONE (พชร พิทักษ์จำนงค์, A+30) นี่ซึ้งมากๆ และสาเหตุที่เราชอบคือสาเหตุที่คล้ายๆกับที่เราชอบหนังเรื่อง STAR (พันธวิศย์ เทพจันทร์, A+30) ที่เราเพิ่งเขียนไป นั่นก็คือเราชอบหนังที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์หลายๆคนอยู่ในสถานะหรือบทบาทที่ไม่เหมาะสมกับตนเองเท่าไหร่ คือในหนังเรื่องนี้มันแสดงให้เห็นว่า คนแต่ละคนในวงดนตรีอาจจะไม่ได้รับ “ตำแหน่ง” ที่เหมาะสมกับตนเอง แต่ถ้าหากเราเปิดใจให้กว้าง ไม่ยึดติดกับตำแหน่งของตนเองมากเกินไป มันก็จะดี และวันนึงเราอาจจะต้องยอมรับความจริงที่ว่า สิ่งที่เราทำอยู่ หรือสิ่งที่เราทำมานานแล้ว มันไม่เหมาะกับตนเองจริงๆ จริงๆแล้วสิ่งที่เหมาะกับเรามันคือตำแหน่งอื่นหรือบทบาทอย่างอื่น คือจุดนี้ของหนังมันทำให้นึกถึงชีวิตจริงของเรากับเพื่อนเราน่ะ เพื่อนเราบางคนอาจจะเก่งการออกแบบเครื่องแต่งกายมากๆ แต่ต้องทำงานเป็นครูสอนฟิสิกส์ เพื่อนเราอีกคนอาจจะเก่งภาษาอังกฤษมากๆ แต่ต้องเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ มันเหมือนกับว่ามนุษย์หลายคนมันไม่ได้อยู่ในจุดที่เหมาะสมกับตนเองจริงๆ และมนุษย์แต่ละคนต้องดิ้นรนมากพอสมควร กว่าจะหาจุด/บทบาท/ตำแหน่งที่เหมาะสมกับตนเองจริงๆ ได้

คือหนังเรื่องนี้หยิบมาแค่ moment เล็กๆ moment เดียวเท่านั้นน่ะ นั่นก็คือ moment ที่วงดนตรีวงนึงทะเลาะกันในคืนๆเดียว แต่ไอ้ moment เดียวนี่แหละ มันสามารถสะท้อนความจริงที่น่าเศร้าในชีวิตมนุษย์ได้ดีมากๆเลย


อีกจุดที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้ก็คือว่า หนังทั่วๆไปจะ treat “คนที่ได้เปล่งความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง” เป็นพระเอกของเรื่องน่ะ และ treat “คนที่พยายามจะยึดครองตำแหน่งของตัวเองต่อไปตามเดิม” เป็นผู้ร้ายของเรื่อง แต่หนังเรื่องนี้กลับ treat คนที่พยายามจะยึดครองตำแหน่งต่อไป เป็นพระเอกของเรื่อง มันก็เลยดีมากๆ เพราะนอกจากมันจะไม่เหมือนหนังทั่วๆไปแล้ว มันยังซึ้งและเจ็บปวดสุดๆด้วย คือแทนที่หนังจะโฟกัสไปที่อารมณ์ “ในที่สุดฉันก็ได้เปล่งความสามารถที่แท้จริงของตนเองออกมาเสียที” หนังกลับ focus ไปที่อารมณ์ “ในที่สุดฉันก็ต้องยอมรับว่า ฉันอาจจะไม่ได้เก่งจริง มีคนที่เก่งกว่าฉันอยู่ใกล้ๆตัวฉัน” ซึ่งอารมณ์แบบที่สองนี่มันสร้างความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงมาก

No comments: