Thursday, September 22, 2016

PBTB 2

PBTB 2: E-SAN NEW OLD SONGS (2016, Uthen Sririwi, A+15)
ผู้บ่าวไทบ้าน 2 ตอน แจกข้าวหาแม่ใหญ่แดง

1.ชอบภาคหนึ่งมากกว่าเยอะเล 

2.เราว่าภาคนี้มันมีความไม่ลงตัวระหว่างชีวิตตัวละครกับประเด็นที่หนังต้องการจะนำเสนอนะ ซึ่งก็คือเรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรมหมอลำ คือมันเหมือนกับว่า ถ้าหากหนังนำเสนอชีวิตคนในหมู่บ้านไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องพยายามยัดเยียดสาระเรื่องหมอลำเข้ามา มันอาจจะดีกว่านี้ หรือไม่งั้นหนังก็ทำตัวเป็นหนัง essay film เกี่ยวกับหมอลำไปเลย มันก็อาจจะดีกว่านี้ แต่พอหนังมันพยายามจะผสมสองส่วนนี้เข้าด้วยกัน มันเลยออกมาไม่ค่อยลงตัวสำหรับเรา

3.เต๋า ภูศิลป์ วารินรักษ์ พระเอกหนังเรื่องนี้ น่ารักมากๆ แต่เหมือนบทของเขาและตัวละครอื่นๆในหนังเรื่องนี้ มันเหมือนกับถูกเขียนขึ้นมาเพื่อหวังผลบางอย่าง มากกว่าจะปล่อยให้ตัวละครมันเป็นมนุษย์จริงๆน่ะ คือดูแล้วรู้สึกว่า ตัวละครพระเอกนางเอกในหนังเรื่องนี้เกลียดขี้หน้ากัน, โกรธกัน, คืนดีกัน, งอนกัน, ทะเลาะกัน, จีบกัน เพียงเพื่อ หวังผลทางอารมณ์ต่อผู้ชมตลอดเวลา มันไม่ใช่โกรธกันและคืนดีกัน เพราะตัวละครตัวนั้นเป็นมนุษย์จริงๆที่ควรจะรู้สึกอย่างนั้นในสถานการณ์อย่างนั้น แต่เป็นเพียงเพราะว่า เส้นเรื่องหรือพล็อตเรื่องแบบที่ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายชอบ มันบังคับให้ตัวละครต้องแสดงออกอย่างนั้น ตัวละครก็เลยแสดงออกอย่างนั้นไปตามเส้นเรื่อง 

4.วิวในหนังเรื่องนี้ เราว่าก็ขาดจิตวิญญาณนะ คือมันสวยจริง แต่มันสวยเพราะมัน จงใจถ่ายให้สวยน่ะ มันก็เลยสวยแบบจงใจ และไม่ได้ประทับใจเรามากนัก

5.น่าสนใจดีที่มีหนัง อนุรักษ์วัฒนธรรมไทยออกมาอย่างน้อย 3 เรื่องในปีนี้ ซึ่งก็คือเรื่องนี้, “เทริด” (เอกชัย ศรีวิชัย) และ พริกแกง (ประเสริฐสุข เหมทานนท์ + เมธีปัญญาวิชา) โดยที่ PBTB2 กับเทริด เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ไม่ใช่ส่วนกลางของไทย 

เราว่า เทริดผสมผสานชีวิตตัวละครกับประเด็นของหนังได้อย่างลงตัวกว่PBTB 2 มากๆ และหนังก็ทรงพลังกว่ามากๆด้วย แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าเราชอบหนังเรื่องไหนมากกว่ากัน คือ เทริด อาจจะดีกว่า PBTB2 น่ะ แต่เรามีปัญหากับทัศนคติแบบ อนุรักษ์นิยมใน เทริด ส่วนใน PBTB2 นั้น ถึงหนังอาจจะมีทัศนคติที่ไม่เข้ากับเราแอบแฝงอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ปะทะเราอย่างรุนแรงเท่ากับเทริด เราก็เลยไม่ค่อยมีปัญหากับหนังตรงจุดนี้

ส่วน พริกแกงนั้นมีปัญหาเรื่องทัศนคติอย่างรุนแรงที่สุดในสามโลก 

6.ถึงเราจะมีปัญหามากมายกับ PBTB 2 อย่างที่เขียนไปข้างต้น แต่ก็ยังชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+15 นะ เพราะมันก็พอดูเพลินดี และเราว่า สไตล์การถ่ายมันช่วยหนังไว้ได้เยอะ ถึงแม้เส้นเรื่องหรือพล็อตเรื่องจะไม่เข้าทางเรามากนักก็ตาม

คือเราชอบที่ในหลายๆฉากนั้น หนังเรื่องนี้ถ่ายแบบ medium shot หรือถ่ายในระยะห่างปานกลางจากตัวละครน่ะ โดยไม่ได้ถ่ายใกล้หน้าตัวละครแบบหนังทั่วๆไป คือในหลายๆฉากนั้น กล้องเหมือนจะอยู่ห่างจากตัวละครราว 1-2 เมตร และก็ปล่อยให้เราดูกิจกรรมของตัวละครกลุ่มนั้นไปเรื่อยๆ โดยกล้องไม่ได้ตัดภาพบ่อยด้วย คือกล้องก็เคลื่อนไหวไปมาบ้าง แต่ไม่ได้ตัดภาพฉึบฉับ และไม่ได้โคลสอัพใบหน้าตัวละคร

และพอหนังใช้วิธีการถ่ายแบบนั้น มันก็เลยช่วยลดอารมณ์ที่ล้นเกินในแต่ละฉากลงได้มากน่ะ คือเราว่าตัวเนื้อหาในแต่ละฉากนี่ อารมณ์มันล้นเกินจริงอยู่มากพอแล้ว และถ้าหากกล้องไปโคลสอัพใบหน้า หรือยิ่งตัดต่อแบบเร้าอารมณ์มากขึ้นไปอีก อารมณ์มันก็จะยิ่งล้นทะลักหนักมาก แต่พอกล้องตั้งอยู่ห่างจากตัวละคร และไม่ตัดภาพไปมา อารมณ์ในแต่ละฉากมันก็เลยถูกจำกัดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือฉากที่ตัวละครประกอบคุยกันแล้วเมียโทรมาหาหลายครั้งน่ะ เราว่า สไตล์การถ่ายช่วยฉากนี้ไว้ได้มาก คือบทมันจงใจทำให้ฉากนี้ตลก แต่การถ่ายแบบรักษาระยะห่างจากตัวละครช่วยทำให้ฉากนี้ดูมี ความเป็นธรรมชาติอยู่ด้วย และทำให้ ความจงใจตลกมันไม่ล้นเกินมากเกินไป ฉากนี้ก็เลยกลายเป็นหนึ่งในฉากที่เราชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้

No comments: