SHIN GODZILLA (2016, Hideaki Anno + Shinji Higuchi, Japan, A+30)
1.ถือเป็นหนึ่งในหนังที่เซอร์ไพรส์เรามากที่สุดในปีนี้
เพราะตอนแรกเราไม่เคยคิดจะดูหนังเรื่องนี้เลย แต่พอเห็นน้องกีวี่ไปดูมาแล้วชอบ เราก็เลยไปดูบ้าง
แล้วก็พบว่ามันเข้าทางเรามากๆ คือดูแล้วนึกว่ากำกับโดย Frederick Wiseman
55555
คือสิ่งที่เราชอบในหนังของ Frederick Wiseman อย่าง LA
DANSE (2009), AT BERKELEY (2013) และ NATIONAL GALLERY
(2014) คือการตีแผ่ระบบการทำงานของหน่วยงานต่างๆในองค์กรหรือสถาบันน่ะ
ไม่ว่าจะเป็นคณะบัลเล่ต์, มหาวิทยาลัย หรือพิพิธภัณฑ์ คือในหนังของ Frederick Wiseman เราจะไม่ได้ตามติดชีวิตของนักบัลเล่ต์หน้าใหม่ที่พยายามจะก้าวข้ามอุปสรรค์ไปสู่ความโด่งดัง,
อาจารย์ที่พยายามโน้มน้าวนิสิตให้ตั้งใจเรียน หรือการพบรักกันระหว่างคนที่มาดูภาพวาดในพิพิธภัณฑ์
อะไรทำนองนี้ แต่เราจะได้เห็น “การทำงาน” จริงๆของคนที่มีตำแหน่งต่างๆกันไปในองค์กรองค์กรนั้น
หรือสถาบันนั้นๆ หนังของ Wiseman จะไม่ได้เน้นไปที่อารมณ์รักโลภโกรธหลงของมนุษย์
แต่เห็นมนุษย์ในฐานะกลไก ฟันเฟืองของระบบในองค์กรต่างๆ แทน
จุดที่เราชอบใน SHIN GODZILLA ก็คือจุดเดียวกับที่เราชอบในหนังของ
Frederick Wiseman น่ะแหละ เพราะใน SHIN GODZILLA เราเห็นกลไกการทำงานของรัฐบาลและข้าราชการของญี่ปุ่นในการรับมือกับภัยพิบัติ,
การออกกฎหมาย, ข้อกฎหมายใดเอื้อให้ทำสิ่งใดได้ หรือไม่อนุญาตให้ทำสิ่งใด,
อำนาจในการตัดสินใจอยู่ที่ใคร,
ต้องอาศัยความร่วมมือจากองค์กรใดบ้างในการทำงานนั้นๆ, เราควรจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำอย่างไร,
องค์การระหว่างประเทศสามารถให้คุณให้โทษอะไรกับเราในการรับมือกับภัยพิบัติบ้าง
และเราควรวางตัวอย่างไรกับประเทศต่างๆและองค์การระหว่างประเทศ ฯลฯ
คือพอดู SHIN GODZILLA แล้ว รู้สึกว่ามันสามารถ “วิวัฒนาการ”
ไปเป็นหนังแบบ Frederick Wiseman ได้สบายเลยนะ
คือเหลืออีกแค่ step เดียวมันก็จะเป็นหนัง Frederick
Wiseman แล้ว
หรือถ้าหากประเทศไทยจะทำหนังแนวนี้ เราก็สามารถดัดแปลง SHIN GODZILLA ให้กลายเป็นหนังแนว
Kafkaesque ได้สบายเลยนะ คือเน้นการรับมือกับภัยพิบัติที่ล่าช้า,
มีขั้นตอนยุ่งยากมากมาย, มีระบบราชการบ้าบอคอแตก,
มีข้าราชการที่แย่งกันเสนอหน้าหรือเกี่ยงงานกันทำอะไรก็ว่าไป 555
2.ไปๆมาๆแล้ว ปีนี้ถือเป็นปีที่มีหนัง “ระบบ” ที่เราชอบมากๆหลายเรื่องเลยนะ
ตั้งแต่ THE BIG SHORT (2015, Adam McKay), SPOTLIGHT (2015, Tom McCarthy), นางส่วย (อรรคพล สาตุ้ม), POWERHOUSE COMPLEX
(2016, Soraya Nakasuwan) และรวมมาถึงSHIN GODZILLA นี่
คือหนังกลุ่มนี้ไม่ได้เล่าเรื่องแบบหนังทั่วไปที่มีพระเอกนางเอกฟันฝ่าอุปสรรค
โดยเน้นไปที่ตัวพระเอกนางเอกเป็นหลักน่ะ แต่หนังกลุ่มนี้มันให้ความสำคัญกับ “ระบบ”
มากกว่าอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร อย่างเช่น THE BIG SHORT ก็เน้นตีแผ่ระบบการเงิน,
SPOTLIGHT ก็แสดงให้เห็นกลไกการทำงานของหนังสือพิมพ์, “นางส่วย”
ก็แสดงให้เห็นขั้นตอนการทำงานของนายจ้างในการให้สวัสดิการที่ดีแก่ลูกจ้าง ส่วน POWERHOUSE
COMPLEX ก็แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการทำงานของผู้พิพากษา
3.แต่เราก็ไม่ได้ต่อต้านหนังที่เน้นความเป็นมนุษย์ของตัวละครนะ
เพราะโดยปกติแล้วเราชอบหนังที่เน้นความเป็นมนุษย์ของตัวละคร แต่เราก็ต้องการ “ความหลากหลาย” ด้วยเช่นกัน
นั่นก็คือต้องการให้มีหนังหลายๆแนว หรือหนังที่มีข้อดีในตัวมันเองในจุดที่ไม่ซ้ำกับหนังเรื่องอื่นๆ
เพราะฉะนั้นการที่มี “หนังระบบ” ออกมาดีๆหลายเรื่องในปีนี้
ก็เลยเป็นสิ่งที่เราปลื้มปริ่มมากๆ ถึงแม้หนังบางเรื่องในกลุ่มนี้มันอาจจะไม่ได้มีมนุษย์จริงๆอยู่ในหนังก็ตาม
4.การที่ SHIN GODZILLA เป็น “หนังระบบ”
มีส่วนทำให้หนังเรื่องนี้เข้าทางเราในแง่นึงด้วย เพราะจริงๆแล้วเราก็เบื่อพล็อตเรื่องประเภท
“กูต้องกลับไปช่วยสมาชิกครอบครัวกู กูต้องพยายามช่วยชีวิตลูกสาว, ลูกชาย, ผัว,
เมีย, พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายญาติโกโหติกาของกู” ในหนังอย่าง TRAIN TO
BUSAN (2016, Yeon Sang-ho), THE HOST (2006, Bong Joon-ho) หรือ THE
WAVE (2015, Roar Uthaug) น่ะ ซึ่งจริงๆแล้วเราก็ชอบหนังทั้ง 3
เรื่องนี้ในระดับ A+30 นะ
แต่พอหนังภัยพิบัติหลายเรื่องใช้ประโยชน์จากพล็อตแบบนี้เหมือนๆกันไปหมดในการเร้าอารมณ์ผู้ชม
เราก็เลยพึงพอใจที่ได้เจอหนังอย่าง SHIN GODZILLA ที่ไม่ต้องใช้ประโยชน์จากพล็อตแบบนี้อีกต่อไป
5.หนังที่ควรฉายคู่กับ SHIN GODZILLA ก็คือ GAS
ATTACK (2001, Kenneth Glenaan, UK) ที่เล่าเรื่องการระบาดของโรคที่อาจจะเกิดจากฝีมือของผู้ก่อการร้าย
แต่แทนที่หนังเรื่องนี้จะเป็นหนัง thriller สืบสวนตามหาผู้ก่อการร้าย
หนังกลับเน้นไปที่ฉากข้าราชการประชุมกันอย่างจริงจัง และถกเถียงกันในที่ประชุมเป็นเวลายาวนานแทน
No comments:
Post a Comment