FILMS SEEN ON WEDNESDAY 8 OCT 2025
IN PREFERENTIAL ORDER
1. HOMEBOUND (2025, Neeraj Ghaywan, India, 119min, A+30)
ดูแล้วร้องห่มร้องไห้ ซาบซึ้งมาก ๆ
ดูแล้วนึกถึงหนังสารคดีหลาย ๆ เรื่องของ Anand Patwardhan ที่เคยเข้ามาฉายในกรุงเทพมาก
ๆ เพราะหนังเรื่องนี้พูดถึงปัญหาในสังคมอินเดีย
โดยเฉพาะการเหยียดมุสลิมและการเหยียดวรรณะ
2. BAAN (2023, Leonor Teles, Portugal, 103min, A+30)
รู้สึกว่าหนังยังไม่ประสบความสำเร็จในทาง
“อารมณ์ความรู้สึก” เท่าไหร่ แต่ “ไอเดีย” ของหนังเรื่องนี้กินขาดมาก ๆ
เพราะมันเป็นการให้ “กรุงลิสบอน” กับ “กรุงเทพ” รับบทเป็น “กรุงลิสบอน” เหมือนกัน (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด)
ดูแล้วก็เลยนึกถึงหนังอย่าง THAT OBSCURE OBJECT OF DESIRE (1977, Luis
Bunuel, A+30) ที่ให้ดาราหญิงสองคนสลับกันเล่นบทตัวละครคนเดียวกันไปเรื่อย
ๆ เพราะเราก็รู้สึกว่า THAT OBSCURE OBJECT OF DESIRE
ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเราอย่างรุนแรงเท่ากับหนังเรื่องอื่น ๆ ของหลุยส์
บุนเยล แต่ “ไอเดีย” ของ THAT OBSCURE OBJECT OF DESIRE
นั้นถือว่ากินขาดมาก ๆ
ตอนที่เราดู BAAN ช่วงแรก
ๆ ของหนังเราก็งงมาก ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เพราะการตัดสลับกรุงลิสบอนกับกรุงเทพตลอดเวลา ทำให้เราเห็นแต่ว่า
ตัวละครพูดหรือทำอะไร แต่เราจับไม่ได้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น “ที่ไหน” และ
“เมื่อไหร่” จนผ่านเข้าไปครึ่งเรื่องแล้ว เราถึงค่อยเข้าใจว่าหนังเรื่องนี้มันตั้งใจหลอมรวมกรุงลิสบอนกับกรุงเทพเข้าด้วยกัน
สถานที่ในหนังเรื่องนี้เลยกลายเป็นเหมือนกึ่ง ๆ fantasy place หรือเป็น mental landscape ตลอดเวลา
ชอบกลวิธีที่หนังใช้ในการหลอมรวมสถานที่ด้วย
เพราะนอกจากหนังจะใช้ “การตัดต่อ”
ที่เอาฉากตัวละครในลิสบอนกับกรุงเทพมาเรียงตัดสลับกันไปเรื่อย ๆ แล้ว
หนังยังใช้วิธีอื่น ๆ ด้วย อย่างเช่น
2.1 ในฉากที่ตัวละครอยู่ในลิสบอน
หนังจะใช้เพลงประกอบเป็นเพลงไทย
2.2 ในฉากที่ตัวละครอยู่ในลิสบอน
ตัวละครจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประท้วงในไทย
2.3 ในฉากที่ตัวละครอยู่ในกรุงเทพ
ตัวละครจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมืองในโปรตุเกส
2.4 สิ่งของในประเทศไทย จะไปปรากฏอยู่ในลิสบอน
และป้ายภาษาโปรตุเกส จะไปปรากฏอยู่ในบางสถานที่ในไทย
ก็เลยรู้สึกว่า นี่เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตเรา
ที่เราได้เห็น “กรุงเทพ” รับบทเป็น “ลิสบอน” ในหลาย ๆ ฉาก
เพราะก่อนหน้านี้เรามักจะได้เห็นแต่ “ประเทศไทย” รับบทเป็น “เวียดนาม” และ
“กัมพูชา” ในหนังฮอลลีวู้ดหลาย ๆ เรื่อง แต่ไม่เคยเห็น “กรุงเทพ” รับบทเป็น
“ลิสบอน” มาก่อน
Leonor Teles จงใจ tribute ให้ Wong Kar-wai และ Hou Hsiao-hsien ในหลาย ๆ ฉากด้วย
นอกจากไอเดียของหนังเรื่องนี้จะทำให้นึกถึง
“ความเฮี้ยน” ของ Luis Bunuel แล้ว
มันยังทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง THE BEAUTIFUL PRISONER (LA BELLE CAPTIVE)
(1983, Alain Robbe-Grillet, A+30) ด้วย เพราะถ้าหากเราจำไม่ผิด
เหตุการณ์ใน THE BEAUTIFUL PRISONER ก็เกิดขึ้นใน
“หลายสถานที่” อย่างเช่นเกิดขึ้นใน บ้านเอ, คฤหาสน์บี, โรงแรมซี, etc. แต่หนังใช้ “ห้องห้องเดียว” ในการรับบทเป็นทั้งบ้านเอ, คฤหาสน์บี,
โรงแรมซี อะไรทำนองนี้ เพื่อทำให้ผู้ชมรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ แต่ผู้ชมจะบอกไม่ได้ว่าอะไรที่ทำให้รู้สึกแปลก
ๆ 55555
3. ORWELL: 2+2 = 5 (2025, Raoul Peck, France, documentary, 119min,
A+30)
เป็นหนังที่พูดถึงทั้งสก็อตแลนด์, อังกฤษ,
สหภาพโซเวียต, สงครามกลางเมืองสเปน, สหรัฐ, อิรัก, อัฟกานิสถาน, อิหร่าน, ยูเครน,
เมียนมา, ไฮติ, สหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้พูดถึงประเทศไทยโดยตรง
แต่เนื้อหาของหนังเรื่องนี้
ทำให้นึกถึงประเทศไทยมาก ๆ ประเทศที่ 2+2 = 5 ของจริง
เราเพิ่งรู้จากหนังเรื่องนี้ว่า
ในช่วงสงครามกลางเมืองสเปนนั้น ฝ่ายซ้ายของสเปนไม่ได้ต่อสู้กับ fascism เท่านั้น แต่ยังต่อสู้กับ “สายลับของสหภาพโซเวียต” ด้วย คือเป็น
“ซ้ายฆ่าซ้าย” ด้วยกันเอง เพราะว่าสตาลินส่ง “สายลับโซเวียต” มาฆ่า Trotskyists
หลาย ๆ คนในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน น่าเศร้ามาก ๆ
อย่างไรก็ดี การได้ดูหนัง essay film เรื่องนี้หลังจากที่เราเพิ่งได้ดูหนังของ Harun Farocki ไปแล้วหลายสิบเรื่อง ทำให้เรารู้สึก “ไม่ค่อยว้าว” กับหนังมากเท่าที่ควร
55555
ตอนนี้เพิ่งได้ดูหนังของ Raoul Peck ไปแค่ 3 เรื่อง เราชอบ I AM NOT YOUR NEGRO (2016) เป็นอันดับหนึ่ง
และชอบ THE YOUNG CARL MARX (2017) เป็นอันดับสอง
4. NEST (2022, Hlynur Pálmason, Denmark/Iceland, 22min,
A+30)
++++
หนึ่งในฉากที่เราประทับใจมากที่สุดในปีนี้
อยู่ในหนังเรื่อง BEFORE YOUR EYES – VIETNAM (1981, Harun Farocki, West
Germany, 114min, A+30) ที่เพิ่งมาฉายที่โรงหนัง HOUSE SAMYAN ซึ่งจริง ๆ แล้วมันคือ 3 ฉาก เป็น
THREE STEPS OF FALLING ASLEEP หรือ
การผล็อยหลับ 3 ขั้นตอน
1. ฉากแรกเป็นฉากที่นางเอกเล่า+สาธิตให้พระเอกฟัง
เรื่องที่เธอพยายามศึกษาเกี่ยวกับประเทศเวียดนาม
เหมือนเธอไม่พบหนังสือภาษาเยอรมันที่พูดถึงเวียดนามได้อย่างถ่องแท้
เธอก็เลยต้องไปอ่านหนังสือภาษาฝรั่งเศสเกี่ยวกับเวียดนาม
ซึ่งนั่นก็เลยเป็นการบังคับให้เธอต้องเรียนภาษาฝรั่งเศสไปด้วย
เนื่องจากเธอต้องการอ่านหนังสืออย่างรุนแรง
เธอก็เลยตั้งใจว่าจะลดเวลานอนลงให้เหลือน้อยที่สุด
เธอไม่ต้องการผล็อยหลับขณะอ่านหนังสือ เธอก็เลยเหมือนถือพวงกุญแจไว้ที่ปลายนิ้วมือ
เพราะเมื่อใดก็ตามที่เธอผล็อยหลับ ข้อมือก็จะหมดแรง
พวงกุญแจที่คล้องไว้ที่นิ้วมือก็จะร่วงหล่นลงสู่พื้น เกิดเสียงดัง
และทำให้เธอตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อได้
2.ในช่วงต่อ ๆ มาของหนัง
เราก็จะเห็นทหารอเมริกันในเวียดนามคนนึงทำแบบเดียวกัน
เหมือนเขาประจำการถือปืนซุ่มอยู่ที่พุ่มไม้ และเขาต้องทำให้ตัวเองไม่ผล็อยหลับ
เพราะถ้าหากเขาผล็อยหลับ พวกเวียดกงก็จะถือโอกาสมายิงเขาให้ตายได้
เราไม่แน่ใจว่าเขาใช้วิธีถือพวงกุญแจไว้ที่ปลายนิ้วมือเหมือนนางเอกหรือเปล่านะ
แต่ฉากนี้แสดงให้เห็นว่า การผล็อยหลับนำมาสู่การถูกศัตรูฆ่าตาย
ไม่ใช่แค่เสียเวลาอ่านหนังสือ
3. ในช่วงต่อ ๆ มาของหนัง
เราก็จะเห็นทหารอเมริกันถือลูกระเบิดอยู่ที่ขั้นบันได
เหมือนเขาถือระเบิดและใช้นิ้วเกี่ยวสลักระเบิดเอาไว้หรืออะไรทำนองนี้
แล้วพอเขาผล็อยหลับ ลูกระเบิดก็ร่วงตกลงมาตามขั้นบันได
เราชอบที่หนังใส่ 3 ฉากนี้เข้ามาในหนังมาก ๆ
โดยไม่ได้ใส่เข้ามาแบบเรียงติดต่อกัน แต่เหมือนใส่เข้ามาในนาทีที่ 60, 75,
90 ของหนังอะไรทำนองนี้
เราว่าการใส่ฉากที่เชื่อมโยงกันเข้ามาในจังหวะที่ห่างกันแบบนี้ มันทำให้เกิด
“สัมผัสคล้องจองแบบบทกวี” ได้ดี
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ทำไมเราถึงชอบทั้ง 3
ฉากนี้มาก ๆ เหมือนมันเป็นฉากที่สร้างความประทับใจให้เราและฝังใจเราอย่างรุนแรงมาก
โดยที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
รูปไม่ได้มาจากหนังเรื่องนี้นะ 55555
+++
วันศุกร์นี้ที่ SF CENTRAL WORLD ฉาย THE SMASHING MACHINE (2025, Benny Safdie, 123min) ที่โรง 5 รอบ 13.20 น. แล้วก็ฉาย DRACULA (2025, Radu Jude,
Romania, 170min) ที่โรง 5 ต่อในรอบ 16.00 น.
ถือได้ว่า SF วางโปรแกรมหนังได้ฉลาดมากค่ะ
จับทางถูกว่าคนดูหนังเทศกาลเขาต้องการอะไร 55555
No comments:
Post a Comment