Friday, October 10, 2025

BAAN (2023, Leonor Teles, Portugal, 103min, A+30)

 

FILMS SEEN ON WEDNESDAY 8 OCT 2025

 

IN PREFERENTIAL ORDER

 

1. HOMEBOUND (2025, Neeraj Ghaywan, India, 119min, A+30)

 

ดูแล้วร้องห่มร้องไห้ ซาบซึ้งมาก ๆ ดูแล้วนึกถึงหนังสารคดีหลาย ๆ เรื่องของ Anand Patwardhan ที่เคยเข้ามาฉายในกรุงเทพมาก ๆ เพราะหนังเรื่องนี้พูดถึงปัญหาในสังคมอินเดีย โดยเฉพาะการเหยียดมุสลิมและการเหยียดวรรณะ

 

2. BAAN (2023, Leonor Teles, Portugal, 103min, A+30)

 

รู้สึกว่าหนังยังไม่ประสบความสำเร็จในทาง “อารมณ์ความรู้สึก” เท่าไหร่ แต่ “ไอเดีย” ของหนังเรื่องนี้กินขาดมาก ๆ เพราะมันเป็นการให้ “กรุงลิสบอน” กับ “กรุงเทพ” รับบทเป็น “กรุงลิสบอน” เหมือนกัน (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด) ดูแล้วก็เลยนึกถึงหนังอย่าง THAT OBSCURE OBJECT OF DESIRE (1977, Luis Bunuel, A+30) ที่ให้ดาราหญิงสองคนสลับกันเล่นบทตัวละครคนเดียวกันไปเรื่อย ๆ เพราะเราก็รู้สึกว่า THAT OBSCURE OBJECT OF DESIRE ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเราอย่างรุนแรงเท่ากับหนังเรื่องอื่น ๆ ของหลุยส์ บุนเยล แต่ “ไอเดีย” ของ THAT OBSCURE OBJECT OF DESIRE นั้นถือว่ากินขาดมาก ๆ

 

ตอนที่เราดู BAAN ช่วงแรก ๆ ของหนังเราก็งงมาก ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะการตัดสลับกรุงลิสบอนกับกรุงเทพตลอดเวลา ทำให้เราเห็นแต่ว่า ตัวละครพูดหรือทำอะไร แต่เราจับไม่ได้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น “ที่ไหน” และ “เมื่อไหร่” จนผ่านเข้าไปครึ่งเรื่องแล้ว เราถึงค่อยเข้าใจว่าหนังเรื่องนี้มันตั้งใจหลอมรวมกรุงลิสบอนกับกรุงเทพเข้าด้วยกัน สถานที่ในหนังเรื่องนี้เลยกลายเป็นเหมือนกึ่ง ๆ fantasy place หรือเป็น mental landscape ตลอดเวลา

 

ชอบกลวิธีที่หนังใช้ในการหลอมรวมสถานที่ด้วย เพราะนอกจากหนังจะใช้ “การตัดต่อ” ที่เอาฉากตัวละครในลิสบอนกับกรุงเทพมาเรียงตัดสลับกันไปเรื่อย ๆ แล้ว หนังยังใช้วิธีอื่น ๆ ด้วย อย่างเช่น

 

2.1 ในฉากที่ตัวละครอยู่ในลิสบอน หนังจะใช้เพลงประกอบเป็นเพลงไทย

 

2.2 ในฉากที่ตัวละครอยู่ในลิสบอน ตัวละครจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประท้วงในไทย

 

2.3 ในฉากที่ตัวละครอยู่ในกรุงเทพ ตัวละครจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมืองในโปรตุเกส

 

2.4 สิ่งของในประเทศไทย จะไปปรากฏอยู่ในลิสบอน และป้ายภาษาโปรตุเกส จะไปปรากฏอยู่ในบางสถานที่ในไทย

 

ก็เลยรู้สึกว่า นี่เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตเรา ที่เราได้เห็น “กรุงเทพ” รับบทเป็น “ลิสบอน” ในหลาย ๆ ฉาก เพราะก่อนหน้านี้เรามักจะได้เห็นแต่ “ประเทศไทย” รับบทเป็น “เวียดนาม” และ “กัมพูชา” ในหนังฮอลลีวู้ดหลาย ๆ เรื่อง แต่ไม่เคยเห็น “กรุงเทพ” รับบทเป็น “ลิสบอน” มาก่อน

 

Leonor Teles จงใจ tribute ให้ Wong Kar-wai และ Hou Hsiao-hsien ในหลาย ๆ ฉากด้วย

 

นอกจากไอเดียของหนังเรื่องนี้จะทำให้นึกถึง “ความเฮี้ยน” ของ Luis Bunuel แล้ว มันยังทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง THE BEAUTIFUL PRISONER (LA BELLE CAPTIVE) (1983, Alain Robbe-Grillet, A+30) ด้วย เพราะถ้าหากเราจำไม่ผิด เหตุการณ์ใน THE BEAUTIFUL PRISONER ก็เกิดขึ้นใน “หลายสถานที่” อย่างเช่นเกิดขึ้นใน บ้านเอ, คฤหาสน์บี, โรงแรมซี, etc. แต่หนังใช้ “ห้องห้องเดียว” ในการรับบทเป็นทั้งบ้านเอ, คฤหาสน์บี, โรงแรมซี อะไรทำนองนี้ เพื่อทำให้ผู้ชมรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ แต่ผู้ชมจะบอกไม่ได้ว่าอะไรที่ทำให้รู้สึกแปลก ๆ 55555

 

3. ORWELL: 2+2 = 5 (2025, Raoul Peck, France, documentary, 119min, A+30)

 

เป็นหนังที่พูดถึงทั้งสก็อตแลนด์, อังกฤษ, สหภาพโซเวียต, สงครามกลางเมืองสเปน, สหรัฐ, อิรัก, อัฟกานิสถาน, อิหร่าน, ยูเครน, เมียนมา, ไฮติ, สหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้พูดถึงประเทศไทยโดยตรง

 

แต่เนื้อหาของหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงประเทศไทยมาก ๆ ประเทศที่ 2+2 = 5 ของจริง

 

เราเพิ่งรู้จากหนังเรื่องนี้ว่า ในช่วงสงครามกลางเมืองสเปนนั้น ฝ่ายซ้ายของสเปนไม่ได้ต่อสู้กับ fascism เท่านั้น แต่ยังต่อสู้กับ “สายลับของสหภาพโซเวียต” ด้วย คือเป็น “ซ้ายฆ่าซ้าย” ด้วยกันเอง เพราะว่าสตาลินส่ง “สายลับโซเวียต” มาฆ่า Trotskyists หลาย ๆ คนในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน น่าเศร้ามาก ๆ

 

อย่างไรก็ดี การได้ดูหนัง essay film เรื่องนี้หลังจากที่เราเพิ่งได้ดูหนังของ Harun Farocki ไปแล้วหลายสิบเรื่อง ทำให้เรารู้สึก “ไม่ค่อยว้าว” กับหนังมากเท่าที่ควร 55555

 

ตอนนี้เพิ่งได้ดูหนังของ Raoul Peck ไปแค่ 3 เรื่อง เราชอบ I AM NOT YOUR NEGRO (2016) เป็นอันดับหนึ่ง และชอบ THE YOUNG CARL MARX (2017) เป็นอันดับสอง

 

 

4. NEST (2022, Hlynur Pálmason, Denmark/Iceland, 22min, A+30)

++++

 

หนึ่งในฉากที่เราประทับใจมากที่สุดในปีนี้ อยู่ในหนังเรื่อง BEFORE YOUR EYES – VIETNAM (1981, Harun Farocki, West Germany, 114min, A+30)  ที่เพิ่งมาฉายที่โรงหนัง HOUSE SAMYAN ซึ่งจริง ๆ แล้วมันคือ 3 ฉาก เป็น

 

THREE STEPS OF FALLING ASLEEP หรือ การผล็อยหลับ 3 ขั้นตอน

 

1. ฉากแรกเป็นฉากที่นางเอกเล่า+สาธิตให้พระเอกฟัง เรื่องที่เธอพยายามศึกษาเกี่ยวกับประเทศเวียดนาม เหมือนเธอไม่พบหนังสือภาษาเยอรมันที่พูดถึงเวียดนามได้อย่างถ่องแท้ เธอก็เลยต้องไปอ่านหนังสือภาษาฝรั่งเศสเกี่ยวกับเวียดนาม ซึ่งนั่นก็เลยเป็นการบังคับให้เธอต้องเรียนภาษาฝรั่งเศสไปด้วย

 

เนื่องจากเธอต้องการอ่านหนังสืออย่างรุนแรง เธอก็เลยตั้งใจว่าจะลดเวลานอนลงให้เหลือน้อยที่สุด เธอไม่ต้องการผล็อยหลับขณะอ่านหนังสือ เธอก็เลยเหมือนถือพวงกุญแจไว้ที่ปลายนิ้วมือ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เธอผล็อยหลับ ข้อมือก็จะหมดแรง พวงกุญแจที่คล้องไว้ที่นิ้วมือก็จะร่วงหล่นลงสู่พื้น เกิดเสียงดัง และทำให้เธอตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อได้

 

2.ในช่วงต่อ ๆ มาของหนัง เราก็จะเห็นทหารอเมริกันในเวียดนามคนนึงทำแบบเดียวกัน เหมือนเขาประจำการถือปืนซุ่มอยู่ที่พุ่มไม้ และเขาต้องทำให้ตัวเองไม่ผล็อยหลับ เพราะถ้าหากเขาผล็อยหลับ พวกเวียดกงก็จะถือโอกาสมายิงเขาให้ตายได้ เราไม่แน่ใจว่าเขาใช้วิธีถือพวงกุญแจไว้ที่ปลายนิ้วมือเหมือนนางเอกหรือเปล่านะ แต่ฉากนี้แสดงให้เห็นว่า การผล็อยหลับนำมาสู่การถูกศัตรูฆ่าตาย ไม่ใช่แค่เสียเวลาอ่านหนังสือ

 

3. ในช่วงต่อ ๆ มาของหนัง เราก็จะเห็นทหารอเมริกันถือลูกระเบิดอยู่ที่ขั้นบันได เหมือนเขาถือระเบิดและใช้นิ้วเกี่ยวสลักระเบิดเอาไว้หรืออะไรทำนองนี้ แล้วพอเขาผล็อยหลับ ลูกระเบิดก็ร่วงตกลงมาตามขั้นบันได

 

เราชอบที่หนังใส่ 3 ฉากนี้เข้ามาในหนังมาก ๆ โดยไม่ได้ใส่เข้ามาแบบเรียงติดต่อกัน แต่เหมือนใส่เข้ามาในนาทีที่ 60, 75, 90 ของหนังอะไรทำนองนี้ เราว่าการใส่ฉากที่เชื่อมโยงกันเข้ามาในจังหวะที่ห่างกันแบบนี้ มันทำให้เกิด “สัมผัสคล้องจองแบบบทกวี” ได้ดี

 

แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ทำไมเราถึงชอบทั้ง 3 ฉากนี้มาก ๆ เหมือนมันเป็นฉากที่สร้างความประทับใจให้เราและฝังใจเราอย่างรุนแรงมาก โดยที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

 

รูปไม่ได้มาจากหนังเรื่องนี้นะ 55555

+++

 

วันศุกร์นี้ที่ SF CENTRAL WORLD ฉาย THE SMASHING MACHINE (2025, Benny Safdie, 123min) ที่โรง 5 รอบ 13.20 น. แล้วก็ฉาย DRACULA (2025, Radu Jude, Romania, 170min) ที่โรง 5 ต่อในรอบ 16.00 น.

 

ถือได้ว่า SF วางโปรแกรมหนังได้ฉลาดมากค่ะ จับทางถูกว่าคนดูหนังเทศกาลเขาต้องการอะไร 55555

 

 

No comments: