Tuesday, October 07, 2025

AGON (2025, Giulio Bertelli, Italy, 100min, A+30)

 

SUNNY SANSKARI KI TULSI KUMARI (2025, Shashank Khaitan, India, 135min) เข้าโรงฉายในกรุงเทพแล้ว ฉันควรจะไปดูดีไหม

 

FILMS SEEN ON SUNDAY 5 OCT 2025

 

เรียงตามลำดับการดู

 

 1. THE SQUARE (2025, Kim Bo-sol, South Korea, animation, 73min, A+30)

 

ไม่รู้ว่าผู้กำกับต้องการให้ผู้ชม “จิ้นวาย” หรือเปล่า แต่เราจิ้นไปแล้วอย่างรุนแรง หนังเล่าเรื่องความรักต้องห้ามระหว่างนักการทูตหนุ่มหล่อชาวสวีเดนกับสาวเกาหลีเหนือ แต่สิ่งที่เราชอบที่สุดในหนังคือ “ล่ามหนุ่มชาวเกาหลีเหนือ” ที่ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ แต่ก็สามารถพูดภาษาต่างประเทศจนคล่อง เพราะสิ่งนี้ทำให้เรานึกถึงตัวเราเอง ที่อายุ 52 ปีแล้วแต่ก็ไม่เคยได้เดินทางไปต่างประเทศเลย (ถ้าหากไม่นับว่า เราเคยเดินไปเที่ยวในพม่าแค่ 1 กิโลเมตรจากชายแดนไทยได้มั้ง 55555)

 

หนังไม่ได้บอกโดยตรงว่า ล่ามหนุ่มชาวเกาหลีเหนือรู้สึกอย่างไรกับหนุ่มหล่อชาวสวีเดน แต่เราจินตนาการไปแล้วว่า ล่ามหนุ่มชาวเกาหลีเหนือ “แอบหลงรักเขาข้างเดียว”

 

2. MOVING TARGET SHADOW DETECTION (2022, Sung Tieu, video installation, Vietnam, 19min, A+30)

 

3. SONIC WEAPON DISRUPTS DIPLOMATIC RELATIONS (2020, Sung Tieu, Vietnam, video installation, A+30)

 

4. SHELL REVOLUTION (2018, Ho Rui An, Singapore, video installation, second viewing, A+25)

 

5. A PETROPOLIS IN A GARDEN WITH A LONG VIEW นครปิโตรท่ามกลางสวนที่มีทิวทัศน์ทอดยาว (2024, Ho Rui An, Singapore, video installation, A+30)

 

6. TEKI COMETH (2024, Daihachi Yoshida, Japan, 108min, approximately A+30)

 

เสียดายมาก ๆ ที่เราพลาดช่วง 10 นาทีแรกของหนัง

 

อยากฉายหนังเรื่องนี้ควบกับ TIME REGAINED (1999, Raúl Ruiz, France, 169min, A+30)

 

7. TWO SEASONS, TWO STRANGERS (2025, Sho Miyake, Japan, 89min, A+30)

 

งดงามที่สุด ชอบหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงมาก ๆ

 

ฝังใจกับเรื่อง “ศพเด็กที่ถูกปลาหมึกรุมแทะกิน” ในหนังเรื่องนี้มาก ๆ

 

8. AGON (2025, Giulio Bertelli, Italy, 100min, A+30)

 

ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป นึกว่ามีฉากคลาสสิคทุก 5 นาที ติดอันดับประจำปีอย่างแน่นอน

 

9. THE BLACK MAGIC WITH BUDDHA อาถรรพ์สมองผี (1983, Lo Lieh, Hong Kong, 94min, A+30)

 

ถึงแม้ว่าพล็อตหลักของหนังมันจะดู cliche อย่างรุนแรง แต่หนังก็สามารถคิด “รายละเอียด” ต่าง ๆ เพื่อทำให้หลาย ๆ ฉากของหนังมันออกมาน่าจดจำได้ อย่างเช่น

 

9.1 ฉากหมอผีโสร่งหลุดเพราะถูกประตูรถยนต์หนีบโสร่ง

 

9.2 อิทธิฤทธิ์ของพระพรหมที่ส่งผลต่อนางเอก

 

9.3 Tibetan curse

 

9.4 ฉากเปิดเรื่องที่ทำให้นึกถึง INDIA SONG (1975, Marguerite Duras) เพราะมันเป็นฉากที่ “แสดงแผนที่ประเทศต่าง ๆ บนโลก”

 

9.5 ฉากพระพุทธเจ้า (หรือพระโพธิสัตว์ เราไม่แน่ใจ)

 

9.6 การพูดถึง “ความเสี่ยงจากการลงทุนในทองจริง และการลงทุนใน สัญญาซื้อขายทอง” ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นที่ร่วมสมัยในโลกยุคปัจจุบันมาก ๆ 55555

 

9.7 ชอบการเล่าเรื่องช่วงที่พี่สาวพระเอกตายมากๆ เพราะพอพี่สาวพระเอกตาย ฉากต่อมาเป็นฉากของพระเอกในบาร์ ซึ่งเรานึกว่าเป็น “เหตุการณ์ในคืนเดียวกัน” แต่ปรากฏว่าไม่ใช่

 

9.8 ผีโมนาลิซ่า

 

9.9 ตู้เย็นผีสิง

 

9.10 ฉากจบในโรงพยาบาล

 

สรุปว่า ในบรรดาหนัง 9 เรื่องที่เราได้ดูในวันที่ 5 ต.ค. เราชอบ AGON เป็นอันดับ 1 และชอบ TWO SEASONS, TWO STRANGERS มากเป็นอันดับสองของวัน

++++

 

พอดู ONE BATTLE AFTER ANOTHER (2025, Paul Thomas Anderson, A+30) แล้วก็เลยทำให้นึกถึงสิ่งที่ Claire Denis เคยพูดไว้ในโรงภาพยนตร์ SF CENTRAL WORLD ในวันที่ 28 ก.ย. 2009 เพราะถ้าหากเราจำไม่ผิด ตอนนั้น Claire Denis พูดในโรงหนังประมาณว่า เธอเชื่อว่า “THE FUTURE OF THE WORLD DEPENDS ON THE MIXED-RACE CHILDREN.”

 

แต่เราจำคำพูดแน่นอนไม่ได้นะ ไม่รู้ว่ามีใครจดคำพูดของ Claire Denis ในตอนนั้นเอาไว้แบบคำต่อคำหรือเปล่า หรือมีใครจำสิ่งที่ Claire Denis พูดในตอนนั้นได้บ้าง เราไม่รับประกันความถูกต้องของความทรงจำของเรานะคะ

 

ตอนนั้น Claire Denis มาร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ Bangkok International Film Festival และเธอมาร่วม Q&A ที่โรงหนัง SF CENTRAL WORLD ในตอนที่มีการฉายหนังเรื่อง 35 SHOTS OF RUM (2008, Claire Denis, France, A+30) ในวันที่ 28 ก.ย. 2009

 

เราจำไม่ได้แล้วว่า ตอนนั้นในโรงหนังมีการเสวนากันถึงประเด็นอะไร แล้วมันถึงส่งผลให้ Claire Denis ประกาศวาทศิลป์บิณฑบาตอันนี้ออกมา แต่ปรากฏว่าประโยคนี้ของ Claire Denis ยังคงฝังอยู่ในหัวของเราตลอด 16 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เห็นด้วย 100% กับประโยคนี้ก็ตาม เพราะเรามองว่าไม่ว่าคนจะเชื้อชาติอะไรมันก็ช่วยเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีได้ เพียงแต่ว่าถ้าหากมันเป็น “ประเทศของคนขาว” เด็กลูกครึ่งก็น่าจะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งน่ะแหละที่จะช่วยลดปัญหาเรื่อง racism

 

เหมือนตอนที่ Claire Denis พูดประโยคนี้ออกมา เราก็ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เธอพูดนะ เพราะยุคนั้นมันเป็นยุคที่ Obama เพิ่งขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี แล้วตอนนั้นเราก็ยังใสซื่อเกินไป เรามองโลกในแง่ดีว่า ปัญหาเรื่อง racism มันน่าจะลดน้อยลงไปเองเรื่อย ๆ แล้วยิ่งเราอาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วย เราก็เลยเหมือนแทบไม่เคยประสบปัญหาเรื่อง racism กับตัวเราเองเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ Claire Denis พูดในวันที่ 28 ก.ย. 2009 ก็เลยเหมือนเป็นเรื่องที่ไกลตัวเรา

 

แต่พอกาลเวลาผ่านมา มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราคาดการณ์ผิด ปัญหาเรื่อง racism ยังคงมีความรุนแรงอยู่อย่างมากในโลกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา

 

เพราะฉะนั้นพอเราดูหนังเรื่อง ONE BATTLE AFTER ANOTHER มันก็เลยทำให้เรานึกถึงวาทศิลป์บิณฑบาตของ Claire Denis ในวันที่ 28 ก.ย. 2009 ในโรงหนัง SF CENTRAL WORLD เพราะเราคิดว่า บางทีผู้สร้างหนังเรื่อง ONE BATTLE AFTER ANOTHER อาจจะแชร์ความคิดเดียวกับ Claire Denis ก็ได้ บางทีเขาอาจจะเชื่อว่า “THE FUTURE OF THE WORLD DEPENDS ON THE MIXED-RACE CHILDREN.”

 


No comments: