Sunday, October 12, 2025

DRACULA VS. RESURRECTION

 

FILMS SEEN ON FRIDAY OCTOBER 10, 2025

 

ในวันศุกร์เราได้ดูหนังไปแค่ 3 เรื่อง

 

เนื้อหาข้างล่างนี้มี SPOILERS ของ DRACULA (Radu Jude) และ RESURRECTION นะคะ

 

เรียงตามลำดับการดู

 

1. THE SMASHING MACHINE (2025, Benny Safdie, 123min, A+30)

 

นึกว่า A CELEBRATION OF MALE BODIES ไม่สามารถละสายตาจาก “กล้ามเนื้อต้นขา” ของดาราชายในหนังเรื่องนี้ได้เลยค่ะ ฟินที่สุด

 

2. DRACULA (2025, Radu Jude, Romania, 170min, A+30)

 

2.1 กราบตีนมาก ๆ ดูแล้วนึกว่ารวมผู้กำกับหนังเยอรมัน 3 คนไว้ในตัวคนคนเดียว 5555 ซึ่งได้แก่

 

2.1.1 ความกะหรี่แตกของ Rosa von Praunheim

 

2.1.2 ความการเมือง + เทคโนโลยีด้านภาพและภาพเคลื่อนไหว ของ Harun Farocki

 

เพราะหนังเรื่องนี้เหมือนสำรวจ “ความเป็นไปได้ของการใช้ AI images ในภาพยนตร์” และสำรวจสื่อภาพเคลื่อนไหวในยุคปัจจุบันอย่างเช่น Tiktok ด้วย

 

2.1.3 ความร้อยเรียงเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกัน แบบในหนังของ Alexander Kluge

 

เหมือนโครงสร้างของ DRACULA ทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง THE POWER OF EMOTION (1983, Alexander Kluge, West Germany, A+30) มาก ๆ ที่เป็นการนำเอาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงราว 10-15 เรื่องมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน

 

ก่อนหน้านี้เราเคยดู CARICATURANA (2021, Radu Jude, A+30) แล้วเรารู้สึกว่า CARICATURANA มันมีความเป็น Alexander Kluge สูงมาก ๆ และพอเราได้ดู DRACULA เราก็เลยมั่นใจว่า Radu Jude มีความเป็น Kluge ผสมอยู่ในตัวสูงจริง ๆ

 

2.2 ชอบเรื่องราวต่าง ๆ หลาย ๆ เรื่องมาก ๆ ซึ่งเรื่องราวบางเรื่องเหมือนอาจจะเกี่ยวข้องกับตำนาน Dracula โดยตรงหรือโดยอ้อม อย่างเช่น

 

2.2.1 เรื่องราวของ “ความอยากเป็นอมตะ” ของคนยุคปัจจุบัน โดยใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์

 

2.2.2 เรื่องราวของ “ธุรกิจ” ที่เหมือนเอารัดเอาเปรียบทั้ง “พนักงาน” และ “ลูกค้า”

 

2.2.3 เรื่องราวของ “ม็อบศาลเตี้ย” คือภาพของกลุ่มคนที่ตามไล่ฆ่าตอกอกแดรคคูล่าในหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงพวกม็อบศาลเตี้ยมาก ๆ

 

2.2.4 การใช้ AI ซี่งทำให้เราไม่แน่ใจว่า หนังเรื่องนี้เปรียบเทียบ AI กับ Dracula ในแง่นึงด้วยหรือเปล่า เพียงแต่ว่า AI ไม่ได้สูบเลือดสูบเนื้อ แต่สูบข้อมูลจากมนุษย์เพื่อมาหล่อเลี้ยงตัวเอง

 

2.2.5 เรื่องราวของคู่รักที่อาจจะถือได้ว่ามีการ exploit กันหรือเปล่า เพราะฝ่ายชายไม่บอกฝ่ายหญิงตั้งแต่แรกว่าตนเองมีลูกมีเมียแล้ว

 

2.2.6 การนำตำนาน DRACULA มาพลิกกลับหัวกลับหาง เพราะในตำนานเดิมนั้น “ศาสนา” เป็นฝ่ายดี แต่เรื่องเล่าย่อยในหนังเรื่องนี้ “ศาสนา” เป็นฝ่ายผู้ร้าย เป็นฝ่ายที่ทำร้ายประชาชน ซึ่งก็เข้ากับแนวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เข้ามาปกครองโรมาเนียหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

 

2.2.7 เรื่องราวของ Vlad the Impaler ต้นกำเนิดของ Dracula ที่แนวคิดทางการเมืองอันโหดเหี้ยมของ “เผด็จการ” รายนี้ ยังคงสะท้อนให้เห็นได้ในนักการเมืองยุคปัจจุบัน ทั้ง “ความคลั่งชาติ” และ “ความคลั่งจารีต”

 

2.2.8 เรื่องของการเปรียบเทียบ Dracula กับ “นายทุนหน้าเลือด”

 

2.2.9 เรื่องของ “ค่ารักษาพยาบาล” ที่แพงจนผู้ป่วยไม่มีเงินจ่าย

 

2.2.10 บริษัทที่หลอกให้คนมาซื้อหุ้น แล้วบริษัทก็หายสาบสูญไป

 

2.2.11 โฆษณาสินค้าต่าง ๆ ที่พยายามสูบเงินจากผู้ชม

 

2.2.12 ผู้สร้างภาพยนตร์ ที่อาจจะพยายามดึงดูดผู้ชม โดยผ่านทาง  “ฉากอีโรติก” และ “love story” ซึ่งในแง่หนึ่งเราก็รู้สึกว่า ผู้สร้างภาพยนตร์พยายามสูบเอาอะไรบางอย่างจากตำนาน Dracula มาใช้ประโยชน์ 55555

 

2.3 ชอบที่หนังเหมือนใส่เรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำนาน Dracula เข้ามาด้วย อย่างเช่น

 

2.3.1 การเมืองยุคปัจจุบัน ทั้งการเหยียดคนมุสลิม, ปัญหาอุยกูร์, โรฮิงญา, ความเหี้ยของรัสเซียในสงครามยูเครน

 

2.3.2 การล้อเลียนตำนานทางศาสนา ที่คำตรัสของพระเยซูกลายเป็นความจริง

 

2.3.3 เรื่องของคนเก็บขยะในโลกยุคปัจจุบัน ที่ซึ้งมาก ๆ คนเก็บขยะคนนี้ถูกเหยียดทั้งจาก

 

2.3.3.1 ชนชั้นกลาง ที่ฐานะดีกว่า, ถือว่าตัวเองมีความรู้สูงกว่า, มีรสนิยมดีกว่าคนอื่น ๆ

 

2.3.3.2 ครูหรือผู้บริหารโรงเรียน

 

2.3.3.3 ลูกสาวของตัวเอง

 

3. RESURRECTION (2025, Bi Gan, China, 160min, A+30)

 

3.1 งดงามที่สุด รู้สึกว่าหนังมัน “สวยงามหยดย้อย” ในแบบที่เข้าทางเราอย่างรุนแรง ดูแล้วรู้สึกดื่มด่ำกับมันอย่างสุดขีดมาก ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้มันมีความเป็น “หนังทดลอง” สูงกว่าหนังเรื่องก่อน ๆ ของ Bi Gan อย่าง KAILI BLUES (2015, A+30) และ LONG DAY’S JOURNEY INTO NIGHT (2018, A+30)

 

หนังเรื่องนี้มันก็เลยเข้าทางเรา เพราะปกติแล้วเรามักจะไม่อินกับ “ตัวละคร” ใน narrative story ในหนังหลาย ๆ เรื่อง แต่เราจะอินกับหนังทดลองหลาย ๆ เรื่องที่ไม่ได้พยายามทำให้ผู้ชมอินไปกับตัวละคร เราก็เลยชอบจุดนี้ในหนังเรื่องนี้มาก ๆ

 

3.2 ไม่แน่ใจว่าหนังต้องการพูดถึงอะไรบ้าง แต่เรารู้สึกราวกับว่า หนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบการบรรยายของ Dennis Lim ที่หอภาพยนตร์ ศาลายา ในประเด็น THE DEATHS OF CINEMA 55555 เพราะในการบรรยายครั้งนั้น Dennis Lim แสดงให้เห็นว่า ในอดีตช่วง 100 กว่าปีที่ผ่านมานั้น มีหลายครั้งหลายหนที่คนบางคนเคยเชื่อกันว่า “ภาพยนตร์” อาจจะตายแล้ว แต่ “ภาพยนตร์” ก็ถูก RESURRECT กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ทุกครั้ง ฆ่าไม่ตาย ถึงแม้จะต้องเผชิญกับ “โทรทัศน์”, “วิดีโอเทป” หรืออะไรต่าง ๆ

 

คือหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เรารู้สึกราวกับว่า หนังเรื่องนี้พูดถึง cinema ที่มีชีวิตอยู่มานานราว 100 กว่าปี เหมือนเป็น “แวมไพร์” ที่ฆ่าไม่ตาย เหมือนจะตายแต่ก็ไม่ตาย อยู่รอดต่อมาได้เรื่อย ๆ และภาพยนตร์ก็เหมือนกับ “แวมไพร์” ในแง่ที่ว่า ภาพยนตร์มีชีวิตอยู่ได้ “ท่ามกลางความมืด” ในโรงภาพยนตร์ และในบางครั้งภาพยนตร์ก็มีชีวิตอยู่ได้จาก “เลือดเนื้อของตัวละคร”

 

3.3 ชอบที่หนังเรื่องนี้เหมือนกับจะบอกว่า ในอดีตเมื่อราว 100 ปีก่อน ภาพยนตร์ถูกใช้แทนที่ “ฝิ่น” คือในยุคก่อนที่จะมีภาพยนตร์นั้น ความบันเทิงของคนจีนยุคนั้น อยู่ที่ “โรงฝิ่น” ที่ช่วยนำพาผู้คนเข้าสู่โลกของความฝัน แต่เมื่อภาพยนตร์ถือกำเนิดขึ้นในปี 1895 ภาพยนตร์ก็สามารถนำพาผู้คนเข้าสู่โลกของความฝันหรรษา แทนที่ฝิ่นได้ และในความฟุ้งฝันนี้ logic อะไรต่าง ๆ ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป

 

3.4 ชอบสุดขีดที่หนังเรื่องนี้มีความเป็น cinephile สูงมาก เพราะหนังเรื่องนี้ประกอบด้วยเรื่องราวย่อย ๆ ที่เหมือนทำให้นึกถึงหนังใน genre ต่าง ๆ กันไป อย่างเช่น

 

3.4.1 ช่วงของดวงตา เป็นหนังเงียบ หนัง German Impressionist หนังของ Georges Melies หนังของ Rene Clair หนังยุคโบราณที่ถ่ายให้เห็นฉากกว้าง ๆ แบบไม่โฟกัสตัวละคร

 

3.4.2 ช่วงของหู “หนังเสียง” หนังฟิล์มนัวร์ โดยเฉพาะ THE LADY FROM SHANGHAI (1947, Orson Welles)

 

3.4.3 ช่วงของ “ลิ้น” หรือช่วงของ “The Spirit of Bitterness” นี่เราไม่แน่ใจว่ามันต้องการพาดพิงถึงหนัง genre อะไร แต่เราก็ชอบช่วงนี้มาก ๆ หรือว่ามันพาดพิงถึง “หนังชีวิตรันทด” หลังสงครามโลกครั้งที่สองเหรอ 55555

 

สิ่งที่ชอบมาก ๆ ในช่วงนี้คือการสะท้อนแนวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ยุคนั้นที่ต่อต้านศาสนาอย่างรุนแรง มีการโค่นล้มจารีตประเพณีเก่า ๆ อย่างรุนแรงมาก ๆ

 

3.4.4 ช่วงของ “จมูก” นี่ทำให้เรานึกถึง PAPER MOON (1973, Peter Bogdanovich) โดยไม่ได้ตั้งใจ

 

3.4.5 ช่วงของมือ ช่วงที่เป็น long take นี่เราก็ไม่แน่ใจว่าต้องการพาดพิงถึงหนัง genre อะไรโดยเฉพาะเจาะจงหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้นึกถึง “หนังโรแมนติกที่ใช้ฉากหลังเป็น criminal world” อย่างเช่น FALLEN ANGELS (1995, Wong Kar-wai) และ SUZHOU RIVER (2000, Lou Ye)

 

3.4.6 ช่วงของสมอง ข่วงนี้ทำให้นึกถึง "ภาพพิกเซล"

 

3.5 เหมือน RESURRECTION นี่สะท้อนถึงทั้ง “พัฒนาการทางภาพยนตร์” และ “ความเปลี่ยนแปลงในประเทศจีน” ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาควบคู่ไปด้วยกัน

 

3.6 ตอนนี้เราตอบไม่ได้ว่าเราชอบหนังเรื่องไหนของ Bi Gan มากที่สุด เพราะเราชอบ KAILI BLUES และ LONG DAY’S JOURNEY INTO NIGHT อย่างสุดขีดคลั่งเหมือน ๆ กัน เหมือนเราชอบหนัง 3 เรื่องนี้พอ ๆ กัน

 

พอดูหนังของ Bi Gan มาได้ 3 เรื่อง ตอนนี้เราก็ขอยกให้เขาเข้าชิงตำแหน่ง ONE OF MY MOST FAVORITE CHINESE DIRECTORS OF ALL TIME ไปเลย เหมือนตอนนี้ถ้าหากถามว่าเราชอบผู้กำกับหนังจีนคนไหนมากที่สุด เราก็คงตอบว่า Wang Bing, Bi Gan และ Jia Zhangke มั้ง (ไม่รวมผู้กำกับไต้หวันและฮ่องกงนะ)

 

แต่เรายังไม่เคยดูหนังของผู้กำกับหนังจีนอีกหลายคนนะ อย่างเช่น Zhang Lu, Fei Mu, Xie Jin ส่วน Tian Zhuangzhuang, Wang Xiaoshuai, Lou Ye, Zhang Yuan, Pema Tseden นั้นเราก็ชอบหนังของพวกเขามากๆ แต่อาจจะไม่เท่ากับ Wang Bing, Bi Gan และ Jia Zhangke

++++

 

วันอาทิตย์นี้รอบแรกของวันเป็น UNTIL THE END OF THE WORLD ปะทะ KWAIDAN ปะทะ RESURRECTION ปะทะ มือปืน ปะทะ THE SQUARE ปะทะ THE FOX KING ซึ่งก็เลยทำให้เราตัดสินใจเลือกได้ง่ายมากว่าจะดูหนังเรื่องอะไร เพราะในบรรดาหนัง 6 เรื่องนี้มีอยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่เราไม่เคยดูมาก่อนเลยในชาติภพนี้

 

Edit เพิ่ม: เรายังไม่เคยดู UNTIL THE END OF THE WORLD เวอร์ชั่น 4 ชม.กว่านะ เคยดูแต่เวอร์ชั่น 2 ชั่วโมงกว่า แต่ก็ถือได้ว่าเป็นหนังที่เคยดูไปส่วนหนึ่งแล้ว 55555

No comments: