A VERY LONG GIF (2023, Eduardo Williams,
Spain/Norway/Greece, 75min, A+30)
1. กราบตีนจริง ๆ ดูเพลินมาก ๆ ตลอดทั้ง 75 นาที
ถึงแม้หนังมันไม่มีเนื้อเรื่องอะไรเลย หนังเรื่องนี้ฉายที่ Bangkok
Kunsthalle นะ
2. ในส่วนของ “เสียง” ของหนังเรื่องนี้นั้น
มันเป็นเสียงที่อึงอลมาก ๆ เราเข้าใจว่ามันเป็นเสียงของการจราจรตามท้องถนน
(มีเสียงรถหวอด้วย) และมีเสียงคนพูดคุยกันเป็นภาษาที่เราฟังไม่ออก
เห็นเอกสารที่แจกบอกว่า หนังเรื่องนี้พูดภาษาฝรั่งเศส, สเปน, จีนกลาง, และ Guinea-Bissau
Creole แต่หนังไม่ได้ขึ้นซับไตเติลใด ๆ มาให้นะ
ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร
3. ในส่วนของภาพนั้น
หนังเรื่องนี้เหมือนแบ่งภาพออกเป็น 3 หน้าจอ ซึ่งประกอบด้วยหน้าจอใหญ่ 1 อัน
และหน้าจอเล็ก 2 อัน โดยทั้ง 3 หน้าจอจะมีรูปทรงคล้าย “โอ่ง”
แต่ว่าจะมีในบางช่วงของหนัง ที่หน้าจอเล็กบางอันจะเปลี่ยนรูปทรงไปคล้าย ๆ
“พระจันทร์เสี้ยว” ซึ่งทำให้เรานึกถึงข้างคืน ข้างแรม อะไรทำนองนี้
4. หน้าจอเล็ก 2 อันจะเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ
ในระหว่างที่หนังดำเนินไป
5. หน้าจอใหญ่ จะถ่ายด้วย pill camera ในช่วงต้นของหนังเราจะเห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่ง แล้วคนหนึ่งก็กลืนกล้องเข้าไป
แล้วเราก็จะเห็นระบบทางเดินอาหารของผู้ชายคนนี้เป็นเวลาราว 60 กว่านาทีได้มั้ง
ก่อนที่หนังจะตัดไปเป็นภาพ “คลื่นบ้ากระแทกคลื่นบ้าในมหาสมุทร” ในช่วงท้ายของหนัง
6. หน้าจอเล็กอันนึง จะเป็นภาพวนลูปสั้น ๆ
ลูปละประมาณ 5 นาทีได้มั้ง แสดงให้เห็นถึงภาพ landscape ในเมืองแห่งนึง
เห็นอาคารบ้านเรือน เห็นหน้าคนเบลอ ๆ และก็เห็นสถาปัตยกรรมที่คล้าย ๆ Acropolis
ในกรุงเอเธนส์ของกรีซ เราก็เลยเดาว่า หน้าจอเล็กอันนี้อาจจะนำเสนอฟุตเตจที่ถ่ายในกรุงเอเธนส์
7. หน้าจอเล็กอีกอัน จะแสดงให้เห็น landscape
ในเมืองหลายเมืองในหลายประเทศทั่วโลก (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด) โดยที่ภาพในหน้าจอเล็กอันนี้
เหมือนจะไม่ซ้ำกันเลยตลอดทั้ง 75 นาที เราก็เลยเน้นดูที่หน้าจอนี้เป็นหลัก
เพราะเราเองก็ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ การดูหนังเรื่องนี้ก็เลยเหมือนช่วยให้เราได้เดินทางท่องเที่ยวรอบโลกไปในทางอ้อมด้วย
55555 แต่ landscape ส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้
“เจริญหูเจริญตา” นะ มันเป็นภาพอาคารบ้านเรือนคลั่ก ๆ ในเมืองใหญ่
เดาว่าฟุตเตจบางส่วนน่าจะถ่ายที่ไต้หวัน
เพราะมีตัวอักษรภาษาจีนในภาพด้วย
ขำเนื้อหาบางช่วง
ที่เป็นเหมือนหนุ่มสาวคุยกันริมประติมากรรมอะไรบางอย่างที่คล้าย ๆ หินบนหลุมฝังศพ
แล้วหนุ่มสาวคู่นี้ก็ทำท่าทำทางเหมือนจะเอากันทางประตูหลัง แต่ไป ๆ มา ๆ
หนุ่มสาวคู่นี้กลับ “วิดพื้น” เฉย ๆ ไม่ได้เอากันแต่อย่างใด กูงงมาก 55555
8. หน้าจอเล็ก 2 อันนี้ ในช่วงท้ายของหนัง
จะเปลี่ยนไปเป็นฟุตเตจ “ท้องทะเลสงบ” ในหน้าจอนึง
ส่วนอีกหน้าจอนึงจะเปลี่ยนไปเป็นฟุตเตจ “ผู้คนริมชายหาด”
9. หนังเรื่องนี้คงจงใจเล่นกับเรื่อง “ขนาด”
เพราะว่าภาพในหน้าจอใหญ่ถ่ายด้วยกล้อง pill camera ซึ่งเป็นกล้องเล็กจิ๋ว
แต่ภาพถูกนำมาขยายใหญ่จนเต็มจอฉายหนัง ส่วนภาพในหน้าจอเล็กเป็นวิดีโอที่ถ่ายด้วย telephoto
lens เห็น landscape กว้างใหญ่
แต่ถูกนำเสนอในจอขนาดเล็ก
10.
รู้สึกว่ามันน่าสนใจดีที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ
“การทำงานของอวัยวะภายในร่างกายมนุษย์”, “landscape ที่อยู่อาศัยของมนุษย์
และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ อย่างเช่น ถนนหนทาง
ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการดำรงอยู่ของมนุษย์” และการเคลื่อนคล้อยของดวงดาว
(ผ่านทางรูปทรงที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ของหน้าจอเล็ก
และการเคลื่อนที่ของหน้าจอเล็ก) ไปพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกันตลอดเวลา เหมือนทั้ง 3
อย่างนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นพร้อมกันตลอดเวลาของชีวิตเรา
เพราะอวัยวะภายในร่างกายของเรามีการทำงานตลอดเวลา, ผู้คนในเมืองเดียวกับเรา
และผู้คนทั่วโลกก็ดำรงชีวิตไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลา และโลกกับดวงจันทร์
ก็มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทั้งหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์หรือหมุนรอบโลก
11.
เราถ่ายรูปจอหนังเรื่องนี้เฉพาะช่วงที่เราอยู่คนเดียวในแกลเลอรี่นะ
เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปช่วงต้นกับช่วงท้ายของหนังเรื่องนี้
เพราะช่วงนั้นมีผู้ชมคนอื่น ๆ อยู่ในแกลเลอรี่ด้วย
12. ตอนนี้เราได้ดูหนังของ Eduardo
Williams ไปเพียงแค่ 7 เรื่อง ชอบสุดขีดทุกเรื่องเลย I
worship Eduardo Williams
++++
ฟังเทป “ผีใช้ได้มั้ย กระโปกใช้ได้ค่ะ!” จบไปตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 555 แต่เพิ่งมีเวลามาจดบันทึกความทรงจำตอนนี้
ชอบมาก ๆ ที่ในเทปนี้มีการเปรียบเทียบหนังเรื่อง A USEFUL GHOST (2025,
Ratchapoom Boonbunchachoke) กับ SON OF SAUL (2015, Laszlo
Nemes, Hungary) และ INGLOURIOUS BASTERDS (2009, Quentin
Tarantino)
และก็ชอบสุดขีดที่ผู้จัดรายการท่านหนึ่งพูดถึงประวัติชีวิตตัวเองช่วงที่เรียนมหาลัย
แล้วต่อต้านการรับน้อง จนถูกเพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่งคว่ำบาตร และประสบการณ์ครั้งนั้นส่งผลในการหล่อหลอมตัวตนของคนคนนึง
เพราะอันนี้ทำให้เรานึกถึงชีวิตตัวเองเหมือนกัน
เพราะตอนช่วงต้นทศวรรษ 1990 เราสอบเทียบหลังจบม.5 และเข้าเรียนมหาลัยในคณะนึง
แล้วก็พบกับการรับน้อง+การซ้อมเชียร์ที่เราไม่ชอบ เราก็เลยเข้าซ้อมเชียร์แค่ 3 วัน
แล้วหลังจากนั้นเราก็เลยไม่เข้าอีกเลย แล้วอันนั้นก็เลยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราไม่มีเพื่อน
(แต่ปัจจัยหลักก็คือเราปรับตัวให้เข้ากับชีวิตมหาลัยไม่ได้เอง)
แล้วพอจบปีหนึ่งเราก็เลยเอ็นท์ใหม่เข้าคณะอักษร
ซึ่งการซ้อมเชียร์เป็นอะไรที่เบาสบายมากๆๆๆๆๆ
เราก็เลยเข้าซ้อมเชียร์ตามปกติและเรียนในคณะนั้นอย่างมีความสุขมากจนจบ
เราก็เลยพบว่า “การต่อต้านการซ้อมเชียร์”
ในมหาลัยมันทำให้เส้นทางชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงเหมือนกัน
เพราะถ้าหากเราไม่ต่อต้านมันในตอนนั้น เราก็คงเรียนจบในคณะแรก
แทนที่จะเอ็นท์ใหม่และมาเรียนจบในคณะอักษร เหมือนเส้นทางที่เราเลือกเดินในตอนนั้น
เลือกว่าจะเข้าซ้อมเชียร์หรือไม่เข้าซ้อมเชียร์ในช่วงต้นเดือนมิ.ย. 1990 หรือเมื่อ
35 ปีก่อน มันส่งผลกระทบต่อชีวิตเราทั้งชีวิตในอีก 35 ปีต่อมา
No comments:
Post a Comment