Tuesday, October 28, 2025

A VERY LONG GIF (2023, Eduardo Williams, Spain/Norway/Greece, 75min, A+30)

 

A VERY LONG GIF (2023, Eduardo Williams, Spain/Norway/Greece, 75min, A+30)

 

1. กราบตีนจริง ๆ ดูเพลินมาก ๆ ตลอดทั้ง 75 นาที ถึงแม้หนังมันไม่มีเนื้อเรื่องอะไรเลย หนังเรื่องนี้ฉายที่ Bangkok Kunsthalle นะ

 

2. ในส่วนของ “เสียง” ของหนังเรื่องนี้นั้น มันเป็นเสียงที่อึงอลมาก ๆ เราเข้าใจว่ามันเป็นเสียงของการจราจรตามท้องถนน (มีเสียงรถหวอด้วย) และมีเสียงคนพูดคุยกันเป็นภาษาที่เราฟังไม่ออก เห็นเอกสารที่แจกบอกว่า หนังเรื่องนี้พูดภาษาฝรั่งเศส, สเปน, จีนกลาง, และ Guinea-Bissau Creole แต่หนังไม่ได้ขึ้นซับไตเติลใด ๆ มาให้นะ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร

 

3. ในส่วนของภาพนั้น หนังเรื่องนี้เหมือนแบ่งภาพออกเป็น 3 หน้าจอ ซึ่งประกอบด้วยหน้าจอใหญ่ 1 อัน และหน้าจอเล็ก 2 อัน โดยทั้ง 3 หน้าจอจะมีรูปทรงคล้าย “โอ่ง” แต่ว่าจะมีในบางช่วงของหนัง ที่หน้าจอเล็กบางอันจะเปลี่ยนรูปทรงไปคล้าย ๆ “พระจันทร์เสี้ยว” ซึ่งทำให้เรานึกถึงข้างคืน ข้างแรม อะไรทำนองนี้

 

4. หน้าจอเล็ก 2 อันจะเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ในระหว่างที่หนังดำเนินไป

 

5. หน้าจอใหญ่ จะถ่ายด้วย pill camera ในช่วงต้นของหนังเราจะเห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่ง แล้วคนหนึ่งก็กลืนกล้องเข้าไป แล้วเราก็จะเห็นระบบทางเดินอาหารของผู้ชายคนนี้เป็นเวลาราว 60 กว่านาทีได้มั้ง ก่อนที่หนังจะตัดไปเป็นภาพ “คลื่นบ้ากระแทกคลื่นบ้าในมหาสมุทร” ในช่วงท้ายของหนัง

 

6. หน้าจอเล็กอันนึง จะเป็นภาพวนลูปสั้น ๆ ลูปละประมาณ 5 นาทีได้มั้ง แสดงให้เห็นถึงภาพ landscape ในเมืองแห่งนึง เห็นอาคารบ้านเรือน เห็นหน้าคนเบลอ ๆ และก็เห็นสถาปัตยกรรมที่คล้าย ๆ Acropolis ในกรุงเอเธนส์ของกรีซ เราก็เลยเดาว่า หน้าจอเล็กอันนี้อาจจะนำเสนอฟุตเตจที่ถ่ายในกรุงเอเธนส์

 

7. หน้าจอเล็กอีกอัน จะแสดงให้เห็น landscape ในเมืองหลายเมืองในหลายประเทศทั่วโลก (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด) โดยที่ภาพในหน้าจอเล็กอันนี้ เหมือนจะไม่ซ้ำกันเลยตลอดทั้ง 75 นาที เราก็เลยเน้นดูที่หน้าจอนี้เป็นหลัก เพราะเราเองก็ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ การดูหนังเรื่องนี้ก็เลยเหมือนช่วยให้เราได้เดินทางท่องเที่ยวรอบโลกไปในทางอ้อมด้วย 55555 แต่ landscape ส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ “เจริญหูเจริญตา” นะ มันเป็นภาพอาคารบ้านเรือนคลั่ก ๆ ในเมืองใหญ่

 

เดาว่าฟุตเตจบางส่วนน่าจะถ่ายที่ไต้หวัน เพราะมีตัวอักษรภาษาจีนในภาพด้วย

 

ขำเนื้อหาบางช่วง ที่เป็นเหมือนหนุ่มสาวคุยกันริมประติมากรรมอะไรบางอย่างที่คล้าย ๆ หินบนหลุมฝังศพ แล้วหนุ่มสาวคู่นี้ก็ทำท่าทำทางเหมือนจะเอากันทางประตูหลัง แต่ไป ๆ มา ๆ หนุ่มสาวคู่นี้กลับ “วิดพื้น” เฉย ๆ ไม่ได้เอากันแต่อย่างใด กูงงมาก 55555

 

8. หน้าจอเล็ก 2 อันนี้ ในช่วงท้ายของหนัง จะเปลี่ยนไปเป็นฟุตเตจ “ท้องทะเลสงบ” ในหน้าจอนึง ส่วนอีกหน้าจอนึงจะเปลี่ยนไปเป็นฟุตเตจ “ผู้คนริมชายหาด”

 

9. หนังเรื่องนี้คงจงใจเล่นกับเรื่อง “ขนาด” เพราะว่าภาพในหน้าจอใหญ่ถ่ายด้วยกล้อง pill camera ซึ่งเป็นกล้องเล็กจิ๋ว แต่ภาพถูกนำมาขยายใหญ่จนเต็มจอฉายหนัง ส่วนภาพในหน้าจอเล็กเป็นวิดีโอที่ถ่ายด้วย telephoto lens เห็น landscape กว้างใหญ่ แต่ถูกนำเสนอในจอขนาดเล็ก

 

10. รู้สึกว่ามันน่าสนใจดีที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ “การทำงานของอวัยวะภายในร่างกายมนุษย์”, “landscape ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ อย่างเช่น ถนนหนทาง ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการดำรงอยู่ของมนุษย์” และการเคลื่อนคล้อยของดวงดาว (ผ่านทางรูปทรงที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ของหน้าจอเล็ก และการเคลื่อนที่ของหน้าจอเล็ก) ไปพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกันตลอดเวลา เหมือนทั้ง 3 อย่างนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นพร้อมกันตลอดเวลาของชีวิตเรา เพราะอวัยวะภายในร่างกายของเรามีการทำงานตลอดเวลา, ผู้คนในเมืองเดียวกับเรา และผู้คนทั่วโลกก็ดำรงชีวิตไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลา และโลกกับดวงจันทร์ ก็มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทั้งหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์หรือหมุนรอบโลก

 

11. เราถ่ายรูปจอหนังเรื่องนี้เฉพาะช่วงที่เราอยู่คนเดียวในแกลเลอรี่นะ เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปช่วงต้นกับช่วงท้ายของหนังเรื่องนี้ เพราะช่วงนั้นมีผู้ชมคนอื่น ๆ อยู่ในแกลเลอรี่ด้วย

 

12. ตอนนี้เราได้ดูหนังของ Eduardo Williams ไปเพียงแค่ 7 เรื่อง ชอบสุดขีดทุกเรื่องเลย I worship Eduardo Williams

 

++++

ฟังเทป “ผีใช้ได้มั้ย กระโปกใช้ได้ค่ะ!” จบไปตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 555 แต่เพิ่งมีเวลามาจดบันทึกความทรงจำตอนนี้ ชอบมาก ๆ ที่ในเทปนี้มีการเปรียบเทียบหนังเรื่อง A USEFUL GHOST (2025, Ratchapoom Boonbunchachoke) กับ SON OF SAUL (2015, Laszlo Nemes, Hungary) และ INGLOURIOUS BASTERDS (2009, Quentin Tarantino)

 

และก็ชอบสุดขีดที่ผู้จัดรายการท่านหนึ่งพูดถึงประวัติชีวิตตัวเองช่วงที่เรียนมหาลัย แล้วต่อต้านการรับน้อง จนถูกเพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่งคว่ำบาตร และประสบการณ์ครั้งนั้นส่งผลในการหล่อหลอมตัวตนของคนคนนึง

เพราะอันนี้ทำให้เรานึกถึงชีวิตตัวเองเหมือนกัน เพราะตอนช่วงต้นทศวรรษ 1990 เราสอบเทียบหลังจบม.5 และเข้าเรียนมหาลัยในคณะนึง แล้วก็พบกับการรับน้อง+การซ้อมเชียร์ที่เราไม่ชอบ เราก็เลยเข้าซ้อมเชียร์แค่ 3 วัน แล้วหลังจากนั้นเราก็เลยไม่เข้าอีกเลย แล้วอันนั้นก็เลยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราไม่มีเพื่อน (แต่ปัจจัยหลักก็คือเราปรับตัวให้เข้ากับชีวิตมหาลัยไม่ได้เอง) แล้วพอจบปีหนึ่งเราก็เลยเอ็นท์ใหม่เข้าคณะอักษร ซึ่งการซ้อมเชียร์เป็นอะไรที่เบาสบายมากๆๆๆๆๆ เราก็เลยเข้าซ้อมเชียร์ตามปกติและเรียนในคณะนั้นอย่างมีความสุขมากจนจบ

 

เราก็เลยพบว่า “การต่อต้านการซ้อมเชียร์” ในมหาลัยมันทำให้เส้นทางชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงเหมือนกัน เพราะถ้าหากเราไม่ต่อต้านมันในตอนนั้น เราก็คงเรียนจบในคณะแรก แทนที่จะเอ็นท์ใหม่และมาเรียนจบในคณะอักษร เหมือนเส้นทางที่เราเลือกเดินในตอนนั้น เลือกว่าจะเข้าซ้อมเชียร์หรือไม่เข้าซ้อมเชียร์ในช่วงต้นเดือนมิ.ย. 1990 หรือเมื่อ 35 ปีก่อน มันส่งผลกระทบต่อชีวิตเราทั้งชีวิตในอีก 35 ปีต่อมา

 

 

No comments: