Sunday, November 30, 2025

The Tteokbokki Girl’s Sweetheart

 

รักหวานใจยัยต๊อกบกกี (2025, วิศรุต จิปิภพ, 23min, A+30)

 

1. ONE OF MY MOST FAVORITE FILMS I SAW THIS YEAR “รักหวานใจยัยต๊อกบกกี” น่าจะเป็นหนังเรื่องแรกที่เราได้ดู ที่นำเสนอตัวละคร "กะเทย" ที่ตั้งครรภ์กับผัวหนุ่มหล่อ โดยที่หนังทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ โดยไม่มีคำอธิบายอะไรทั้งสิ้น (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิดนะ)

 

คือเราเข้าใจว่า ในวงการนิยายนั้น มันมี “กลุ่มนิยายที่มีตัวละครชายตั้งครรภ์” กันมานานระยะหนึ่งแล้ว แต่เหมือนกับว่าเรายังแทบไม่เคยเจอหนังแนวนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นนี่น่าจะเป็นหนัง queer เรื่องแรกที่เราได้ดู ที่นำเสนอตัวละคร “กะเทยตั้งครรภ์” เพราะในหนังเรื่องนี้ นางเอกเป็นกะเทยชื่อ “ชาคริต” ที่ตั้งครรภ์กับผัวหนุ่มหล่อ

 

อันนี้ไม่นับหนังผู้ชายตั้งครรภ์อย่างเช่น JUNIOR (1994, Ivan Reitman) นะ เพราะ JUNIOR ไม่ได้เป็นหนัง queer ในความรู้สึกของเรา

 

คือ “รักหวานใจยัยต๊อกบกกี” ไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรทั้งสิ้นกับการตั้งครรภ์นี้ เราก็เลยจินตนาการเอาเองว่า หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องของโลกอนาคตที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นช่วยให้ผู้ชาย/กะเทย/transsexual สามารถตั้งครรภ์ได้อย่างเป็นปกติธรรมดาแล้ว

 

2. ชอบที่ “ชาคริต” มีหุ่นยนต์หนุ่มหล่อ 2 คนเข้ามาพัวพันในสมการความสัมพันธ์ด้วย โดยที่หุ่นยนต์ตัวนึงหล่อล่ำ และใส่แต่กางเกงในสีขาวตัวเดียวตลอดเวลา แต่เขาขยับตัวไม่ได้ ส่วนหุ่นยนต์อีกตัวขยับเคลื่อนไหวได้เหมือนคนจริง ๆ

 

3. เราเข้าใจว่าภาพทั้งหมดในหนังมาจาก life simulation game ชื่อ INZOI นะ ซึ่งการนำภาพจากวิดีโอเกมมาเล่าเรื่องได้ดีแบบนี้ ทำให้นึกถึงหนังของ Harun Farocki มาก ๆ โดยเฉพาะหนังชุด PARALLEL I-IV (2012)

 

4. ตัวละคร ชาคริต ที่เป็นนางเอกของเรื่องนี้ ก็ถือเป็นตัวละครที่เราชอบมาก ๆ ด้วย เพราะจริง ๆ แล้วเธอมีความเป็น “เผด็จการ” เธอเป็นตัวละครเทา ๆ เธอไม่ใช่ “นางเอกนิสัยดี” 55555 แต่เราก็ชอบที่เธอ “เงี่ยนผัว” มาก ๆ และก็ชอบภาษากะเทยของตัวละครในเรื่องอย่างรุนแรงมาก

 

คือจริง ๆ แล้วคิดว่า “กลุ่มตัวละครกะเทย” ในหนังเรื่องนี้นี่ปะทะกับกลุ่มตัวละครกะเทยในหนังของ Ryan Trecartin ได้สบาย ๆ เลย

 

5. เนื้อเรื่องแบบไซไฟของหนังอาจจะไม่ได้ล้ำมากนัก เมื่อเทียบกับหนังไซไฟของฮอลลีวู้ด แต่เราก็ชอบที่หนังเรื่องนี้เอา genre หนังแบบไซไฟมาผสมกับความ queer แล้วออกมาเป็นอะไรที่กะหรี่แตกมาก ๆ

+++

 

บทความในปี 2022 ที่สัมภาษณ์คุณวิศรุต จิปิภพ ผู้กำกับหนังเรื่อง “รักหวานใจยัยต๊อกบกกี” (2025)

https://www.exoticquixotic.com/stories/queer-gamer

 

++++

 พอพูดถึง Roger Films Studio แล้วก็เลยนึกถึงเรื่องปีศาจจากญี่ปุ่นที่เราชอบมาก ๆ

 +++++

รื่นโรย นี่คือฉายปะทะกับ LANDMARKS (2025, Lucrecia Martel, Argentina, documentary, A+30) และ THE MYSTERIOUS GAZE OF THE FLAMINGO (2025, Diego Cespedes, Chile, A+30) ได้สบาย ๆ เลย เพราะว่า subjects ของ “รื่นโรย” นี่คือเผชิญปัญหาเรื่อง “ที่ดินทำกินของชนพื้นเมือง” คล้าย ๆ กับ subjects ของ LANDMARKS และก็เคยเผชิญปัญหาเรื่องความเป็น queer เหมือนใน THE MYSTERIOUS GAZE OF THE FLAMINGO ด้วย

Friday, November 28, 2025

FIRST-DEGREE VANISHING

TAMOUR BATTANT (2019, François-Christophe Marzal) นำแสดงโดย Sabine Timoteo ที่เคยนำแสดงใน GHOSTS (2005, Christian Petzold, Germany, A+30)

 

เทศกาลหนังสวิตเซอร์แลนด์ คนดูเกือบเต็มแล้ว งั้นเราอยู่ดูเทศกาลหนังสั้นมาราธอน + ดูหนัง MUBI ที่บ้านก็ได้ เราไม่อยากไปงานที่มีคนเยอะ ๆ แน่น ๆ 55555

 

แต่ก็เสียดายนะ เพราะว่าหนังที่ฉายในเทศกาลภาพยนตร์สวิตเซอร์แลนด์ จะไม่มีวันได้วนกลับมาฉายในเทศกาลภาพยนตร์อียูอย่างแน่นอน เพราะว่าสวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้เป็นสมาชิกอียู

 

ซึ่งสิ่งนี้จะแตกต่างจากเทศกาลหนังอิตาลี, เทศกาลหนังเยอรมัน, เทศกาลหนังนอร์ดิก ที่หนังบางเรื่องยังพอมีสิทธิได้วนกลับมาฉายในเทศกาลภาพยนตร์อียูได้อีก

+++

 

I AM WHAT I AM 2 (2024, Sun Haipeng, China, animation) เกือบ SOLD OUT แล้วนะ ใครจะดูต้องรีบซื้อตั๋วนะ

 

เราชอบหนังภาคแรกอย่างรุนแรงมาก

 

ในนี้บอก LYCHEE ROAD มีฉายที่ SF ในวันเสาร์ที่ 6 ธ.ค.ด้วยครับ และก็มีรอบฉายในวันอื่น ๆ ที่หอภาพยนตร์ ศาลายา และที่มศว ด้วยครับ

+++

 

เราชอบหนังเรื่อง NEVER SHALL WE BE ENSLAVED (1997, Kyi Soe Tun, Myanmar, A+30) มาก ๆ เราได้ดูหนังเรื่องนี้ในวันที่ 17 ส.ค. 2006 ที่โรงภาพยนตร์ Major Hollywood รามคำแหง ดีใจมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้ได้รับการถูกพูดถึงอีก

+++

 

ออกแบบได้สวยสุดขีด อยากให้ของไทยมีคนทำดีวีดีละครโทรทัศน์ของช่อง 3 เรื่อง พรสีเลือด (1978, อดุลย์ กรีน) กับ ทะเลเลือด (1986, อดุลย์ ดุลยรัตน์) ออกมาขายบ้าง เพราะว่าละครโทรทัศน์สองเรื่องนี้ดัดแปลงนิยายของ Agatha Christie ออกมาได้อย่างสุดยอดมาก ๆ โดยพรสีเลือดนั้นดัดแปลงมาจาก AND THEN THERE WERE NONE ส่วน ทะเลเลือด ดัดแปลงมาจาก DEATH ON THE NILE และเราขอยกให้ “พรสีเลือด” เป็น ONE OF MY MOST FAVORITE TV SERIES OF ALL TIME เลย คือเราดูละครทีวีเรื่องนี้เมื่อราว 45-47 ปีที่แล้ว แต่ฉากฆาตกรรมในละครทีวีเรื่องนี้ยังคงติดตาเรามาโดยตลอด 45 ปีที่ผ่านมา หนักที่สุด

++++

 

เมื่อวานเราได้ชมภาพยนตร์เรื่อง “น้องชายที่แสนดี(ย์)” FIRST-DEGREE VANISHING (2025, Montree Saelo, 85min, A+30) ในเทศกาลหนังสั้นมาราธอน ซึ่งเป็นหนังที่นำเสนอภาพจอมืดตลอดทั้งเรื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ชมจินตนาการภาพในหัวด้วยตัวเอง ตามเสียงเล่าเรื่องที่มีลักษณะกึ่ง ๆ บทภาพยนตร์ กึ่ง ๆ ละครวิทยุ กึ่ง ๆ เรื่องสั้น

 

เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้ “ถ่ายภาพ โดย ผู้ชม” เราก็เลยฟังเนื้อเรื่องที่หนังเล่า แล้วก็จินตนาการภาพ “ตัวละคร” ที่หนังเรื่องนี้เล่า ออกมาได้ดังนี้

 

1. พี่เคน

 

2. น้องเซน

 

3. กันต์

 

4. วีเจข้าวเหนียว

 

5. แว่น หนุ่มคนงานรับจ้างของตามีกับยายจา

 

6. ลุงชา

 

7. อันปี ลูกชายอบต.

 

8. พ่อของอันปี

 

9. เพื่อนตำรวจของเมษา

++++

Paul Krugman บอกว่า THE ADDAMS FAMILY (1991, Barry Sonnenfeld) คือหนัง WOKE ที่มาก่อนกาล พอเราได้มาย้อนดู ก็พบว่าฉากนี้มันได้กลายเป็นฉากคลาสสิคไปแล้วจริง ๆ ดูแล้วทำให้นึกถึงหนังเรื่อง EUREKA (2023, Lisandro Alonso, A+30) ที่พูดถึงชีวิต Native Americans ในยุคปัจจุบันด้วย



++++

 

เมื่อเช้านี้อุณหภูมิในกรุงเทพลดลงไปแตะ 18 องศาเซลเซียส ซึ่งคนไทยอาจจะมองว่าหนาว แต่เราเห็นคลิปหนุ่มมองโกเลียหล่อล่ำมาเดินถอดเสื้อที่ภูเก็ต เราก็เลยคิดว่า อุณหภูมิของไทยแบบนี้คงไม่ใช่อากาศหนาวสำหรับหนุ่มมองโกเลียแน่เลย เราก็เลยกูเกิลดู แล้วกูเกิลก็บอกว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของฤดูหนาวในมองโกเลียอยู่ที่ “ติดลบ 30 องศาเซลเซียส” เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็อย่าได้แปลกใจค่ะ ถ้าหากจะเจอหนุ่มมองโกเลียมาเดินถอดเสื้อในฤดูหนาวในไทย 55555

Monday, November 24, 2025

LONGLIST OSCAR ANIMATIONS

 

จำได้ว่าเราเห็น BJORK ครั้งแรก ก็ตอนที่รายการโทรทัศน์ "บันเทิงคดี" ของคุณมาโนช พุฒตาล นำมิวสิควิดีโอเพลง OOPS เพลงนี้มาออกอากาศทางช่อง 11 ในปี 1991

+++++

ดีใจสุดขีดกับ ARCO (2025, Uco Bienvenu, France, A+30), BLACK BUTTERFLIES (2024, David Baute, Spain/Panama, A+30), COLORFUL STAGE! THE MOVIE: A MIKU WHO CAN’T SING (2025, Hiroyuki Hata, Japan, A+30), GABBY’S DOLLHOUSE: THE MOVIE (2025, Ryan Crego, A+30), THE LEGEND OF HEI 2 (2025, Jie Gu, Mtjj, China, A+30), 100 METERS (2025, Kenji Iwaisawa, Japan, A+30)

 

สรุปว่าเราเหมือนได้ดูไปแค่ 11 จาก 35 เรื่อง ในบรรดา 11 เรื่องนี้ เราเชียร์ BLACK BUTTERFLIES มากที่สุด

 

แต่ดีใจสุดขีดกับ COLORFUL STAGE! THE MOVIE: A MIKU WHO CAN’T SING เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่น่าจะผ่านเข้ารอบ shortlist แต่การที่หนังเรื่องนี้ผ่านมาได้ถึงขั้นนี้ เราก็ปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นล้นพ้นแล้ว



+++

 

เจอสมุดโน้ต “100 FILMS: FILM REVIEWS” ที่ร้าน FLYING TIGER ในห้าง Emsphere เราก็เลยซื้อมา แต่อาจจะซื้อมาเก็บไว้เล่น ๆ เพราะมันน่ารักดี แต่ไม่รู้ว่าเราจะได้ใช้งานมันจริง ๆ หรือเปล่า เพราะถ้าหากเราอยากจดบันทึกถึงหนัง เราก็คงจดมันลง FACEBOOK + BLOG เป็นหลัก เราไม่น่าจะจดลงสมุดเป็นหลัก

 

คือถ้าหากเราเจอสินค้านี้ในทศวรรษ 1990 เราก็คงได้ใช้งานมันจริง ๆ เราคงพกสมุดโน้ตนี้ติดตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาไปดูหนังที่ Goethe และ Alliance แต่พอเรามาเจอสินค้านี้ในทศวรรษนี้ เราก็เลยอาจจะซื้อเก็บไว้เพื่อความกุ๊กกิ๊ก แต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ใช้งานมันจริงมั้ย 55555

Friday, November 21, 2025

FAVORITE SOUNDTRACK: GOOD LIFE (1988) – Inner City

  

เราเคยตุนซื้อแอลกอฮอล์ไว้เยอะในช่วงที่โควิดระบาด วันนี้มาเช็คดูพบว่ามันหมดอายุในเดือนส.ค. 2025 เราควรรีบโยนแอลกอฮอล์เหล่านี้ทิ้งไปเลยใช่ไหม มันสามารถนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้อีกหรือเปล่า 55555

+++

ดีใจสุดขีดกับ DUSE, CASE 137, SIRAT, ARCO, AFTERNOONS OF SOLITUDE, MY FATHER’S SHADOW ที่ได้เข้าชิงรางวัลในปีนี้ และก็ดีใจสุดขีดที่ RIEFENSTAHL กำลังจะมาฉายที่หอภาพยนตร์ในเดือนธ.ค.

+++

ดื่มน้ำมะเขือเทศเพื่อเป็นพลีให้หนังเรื่อง A HOLY FAMILY (2022, Elvis Lu, Taiwan, documentary, A+30)

+++

 


FAVORITE SOUNDTRACK: GOOD LIFE (1988) – Inner City

 

น้ำตาไหลพรากตอนที่ได้ยินเพลงนี้ในหนังเรื่อง GOOD FORTUNE (2025, Aziz Ansari, A+30) รู้สึกว่า “รสนิยมด้านเพลง” ของหนังเรื่องนี้ตรงกับเรามาก ๆ เพราะหนังเรื่องนี้ใช้เพลงในทศวรรษ 1980 + ต้นทศวรรษ 1990 ทั้งนั้นเลย 55555

https://youtu.be/dPMfjOoWVnk?si=fm6xIXhow3bCXWHJ

++++

 

เราไปดูหนังเรื่อง EUREKA (2023, Lisandro Alonso, Argentina/France/Mexico, 147min, A+30) ที่หอภาพยนตร์ ศาลายาในวันพฤหัสบดี พอดูหนังเสร็จ ออกมาเดินที่ถนนด้านหน้าหอภาพยนตร์ ก็พบว่าอากาศดีสุดขีด อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส และมีลมรำเพยแผ่วพลิ้วสยิวใบหญ้าพัดมา มีความสุขมาก ๆ กับอากาศแบบนี้ หลังจากนั้นเรากับเพื่อนก็เลยเดินไปกินอาหารเย็นที่ร้าน STONES CORNER ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ หอภาพยนตร์

 

Tuesday, November 18, 2025

ROSA LUXEMBURG IN CHIANGMAI

 

เห็นบทสาวพิการของ “หลินฟ่งเจียว” ใน THE STORY OF A SMALL TOWN (1979, Li Hsing, Taiwan, A+30) แล้วนึกว่า เธอมาเพื่อปะทะกับ “โนริปี้” หรือ Noriko Sakai ในละครทีวีชุด “สวรรค์ลำเอียง” HEAVEN’S COIN (1995) ที่เคยฉายทางช่อง 3 เพราะในละครเรื่องนั้น โนริปี้ก็รับบทเป็น “สาวใบ้” เหมือนกัน และเป็นบทบาทที่หนักหนาสาหัสมาก ๆ

 

ว่าแล้วก็เลยอยากดู “สวรรค์ลำเอียง” อีกรอบมาก ๆ

++++

 

ไอเดียเริ่ดสุดขีด สร้างละครที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงของ Yumi Matsutoya  น่าดูมาก ๆ CENTIPEDE HORROR (1982, Keith Li, Hong Kong) น่าดูมาก ๆ ควรมีคนจัดงาน 1970S-1980S HONG KONG HORROR RETROSPECTIVE ได้แล้ว

++++

ใช่ ดู AFIRE แล้วนึกถึง Eric Rohmer อย่างรุนแรง

++++

 

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 

อะไรคือการที่ ROSA LUXEMBOURG (1986, Margarethe von Trotta, West Germany) ได้เข้าฉายที่เชียงใหม่ แต่จะไม่เข้าฉายในกรุงเทพ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้คะ หนังเรื่องนี้ควรได้ฉายในหลาย ๆ จังหวัดในไทยนะคะ ซึ่งรวมถึงในกรุงเทพและปริมณฑลด้วย กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด ดิฉันอยากดูหนังเรื่องนี้มาเป็นเวลานานราว 25 ปีแล้ว เพราะจำได้ว่าคุณใจ อึ้งภากรณ์ ชอบเขียนถึง Rosa Luxembourg ลงหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเมื่อราว 20-25 ปีก่อน ดิฉันก็เลยตั้งหน้าตั้งตารอว่า สักวันหนึ่งดิฉันจะได้ดูหนังเกี่ยวกับสตรีผู้เลื่องชื่อระบือนามเรื่องนี้

 

ซึ่งก็ปรากฏว่า ในที่สุดหนังเรื่องนี้ก็ได้เข้าฉายในไทย แต่ได้ฉายที่เชียงใหม่ ไม่เข้าฉายในกรุงเทพและปริมณฑล

 

ตอนนี้ดิฉันก็เลยเข้าใจความรู้สึกของ “คนต่างจังหวัด” เป็นอย่างดี เวลาที่หนังหลายเรื่องชอบเข้าฉายแต่ในกรุงเทพ แต่ไม่ลงโรงฉายในต่างจังหวัด 55555

Monday, November 17, 2025

PHANTOMS OF ENDLESS DAY (GHOST LOOPS) (2025, Ho Tzu Nyen, Singapore, video installation, A+30)

 

PHANTOMS OF ENDLESS DAY (GHOST LOOPS) (2025, Ho Tzu Nyen, Singapore, video installation, A+30)

 

1. ตัววิดีโอจริง ๆ สร้างโดย AI และน่าจะมีความยาวหลายชั่วโมง เพราะมันเรียงสลับสับเปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ เหมือนไม่รู้จบ แต่เราได้นั่งดูวิดีโอนี้แค่ 45 นาทีนะ

 

2. วิดีโอมี 4 จอ จอนึงพูดถึงทหารญี่ปุ่นโดยใช้ภาษาญี่ปุ่น, จอที่สองพูดถึงทหารอังกฤษโดยใช้ภาษาอังกฤษ, จอที่สามพูดถึงทหารจีนคอมมิวนิสต์โดยใช้ภาษาจีน ส่วนจอที่สี่พูดถึงหนุ่มสาวคู่นึง และใช้ภาษาที่เราไม่รู้ว่าคือภาษาอะไร มันคือภาษามลายูหรือเปล่า โดยตัวละครทั้ง 4 กลุ่มนี้เหมือนผจญภัยในป่า+ทุ่งหญ้า และเผชิญกับเสือ + เสือสมิง

 

3. พอดูตัวละคร 4 กลุ่มเผชิญกับเสือสมิงในป่าลึกลับแบบนี้ เราก็เลยคิดว่า จริง ๆ แล้วควรมีการสร้างหนัง “ธี่หยด 4” หรือ DEATH WHISPERER 4 โดยทำออกมาเป็น video installation หรือ computer game แบบนี้ได้เลยนะ ให้ตัวละครในธี่หยด เข้าป่า แล้วเผชิญกับความลี้ลับต่าง ๆ ที่สร้างภาพโดย AI 55555

 

4. PHANTOMS OF ENDLESS DAY เป็นวิดีโอที่ดูสนุกมาก เราต้องคอยหมุนตัวไปมาเพื่อดูวิดีโอ 4 จอ เพราะตัวละครในแต่ละจอมักจะสลับกันพูดแบบ voiceover เพราะฉะนั้นพอจอไหนเริ่มพูด เราก็จะหมุนตัวไปดูจอนั้นเป็นหลัก

 

ไม่แน่ใจว่า “ความ 4 ภาษา” ปะทะกันตลอดเวลาแบบนี้ ในแง่นึงคือการสะท้อนความเป็น “พหุวัฒนธรรม” ของสิงคโปร์ด้วยหรือเปล่า

 

5. เนื้อหาในจอญี่ปุ่นจะโหดร้ายทารุณสุดขีด เพราะมันพูดถึงการที่ทหารญี่ปุ่นเข่นฆ่าชาวจีนจำนวนมากในสิงคโปร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

 

6. เนื่องจากภาพในหนังเรื่องนี้สร้างโดย AI ตลอดทั้งเรื่อง เราก็เลยพยายามนึกว่า เราเคยดูหนังที่ใช้ภาพจาก AI ตลอดทั้งเรื่องเรื่องไหนบ้าง ตอนนี้ก็เลยนึกออกแค่ 5 เรื่อง (ไม่นับพวกมิวสิควิดีโอที่สร้างจาก AI นะ)

 

โดยหนัง AI อีก 4 เรื่องที่เราได้ดูก็คือ

 

6.1 EMISSARY SUNSETS THE SELF (2017, Ian Cheng, A+30)

 

เหมือนหนังเรื่องนี้ก็เป็น “หนังไม่รู้จบ” เหมือนกัน เพราะเราเดาว่าหนังเรื่องนี้ใช้ AI ในการสร้างภาพไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นตัวละครในหนังก็เลยเหมือนทำอะไรไปได้เรื่อย ๆ แบบไม่รู้จบ ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิดนะ

 

6.2 AIMAGINATION (2023, Tanapong Thepparak, Warat Bureephakdee, Midjourney AI, documentary, A+15)

 จินตนากานท์ (ธนพงศ์ เทพรักษ์วรัตต์ บุรีภักดี, Midjourney AI / 19.59 นาที

 

อันนี้ใช้ภาพนิ่งที่สร้างโดย AI ตลอดทั้งเรื่อง

 

6.3 THE EGGREGORES’ THEORY (2024, Andrea Gatopoulos, Italy, 16min, A+30)

อันนี้ใช้ภาพนิ่งที่สร้างโดย AI ตลอดทั้งเรื่อง

 

6.4 VERNACULAR DREAMSCAPES: NOCTURNAL DREAM DISPOSAL (2024, Marc Richter, Germany, 9min, A+30)

 

อันนี้ใช้ภาพเคลื่อนไหวที่สร้างโดย AI เป็นส่วนสำคัญ ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิดนะ

 

7. เหมือนพอดูหนังหลาย ๆ เรื่องที่ใช้ภาพจาก AI เหล่านี้แล้ว เราก็เลยพบว่า

 

7.1 ภาพและภาพเคลื่อนไหวจาก AI ตอนนี้สามารถนำมาใช้รองรับ “การเล่าเรื่อง” ได้แล้ว

 

7.2 ภาพและภาพเคลื่อนไหวจาก AI ตอนนี้สามารถนำมาใช้รองรับ “การนำเสนอไอเดียของผู้กำกับ” ได้แล้ว

 

7.3 คุณลักษณะเด่นของภาพ+ภาพเคลื่อนไหวจาก AI ในตอนนี้คืออารมณ์ surreal, ความเหนือจริง, ความหลอน, ความ otherworldly คือถ้าหากผู้กำกับคนไหนต้องการอารมณ์ส่วนนี้เป็นหลัก ก็ใช้ภาพจาก AI ได้

 

7.4 คุณลักษณะเด่นของภาพเคลื่อนไหวจาก AI ในตอนนี้ ก็คือ “อารมณ์ตลก” จากความไม่สมจริง ความไม่สมประกอบของ “มนุษย์” ในภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเราว่า Radu Jude ใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ดีสุดขีดในหนังเรื่อง DRACULA (2025, Rad Jude, Romania, A+30) และอารมณ์ตลกแบบนี้ก็พบได้ใน PHANTOMS OF ENDLESS DAY ด้วยเช่นกัน

 

7.5 แต่สิ่งที่เรายังไม่พบจาก “หนัง AI” ในตอนนี้ก็คือ “อารมณ์ซาบซึ้ง” แบบที่พบได้ในหนังของ Eric Rohmer, Hong Sang-soo, Mike Leigh, John Cassavetes, Paul Morrissey, Mikio Naruse, etc. อะไรทำนองนี้น่ะ เหมือนอารมณ์แบบนี้ยังต้องการการนำเสนอผ่าน “มนุษย์ที่ดูสมจริง” อยู่

 

ก็ต้องรอดูว่า เทคโนโลยี AI จะพัฒนาไปถึงจุดนั้นได้เมื่อไหร่ หรือเทคโนโลยี AI อาจจะไม่จำเป็นต้องพัฒนาไปถึงจุดนั้นก็ได้ เพราะที่มันเป็นอยู่นี้ มันก็มีประโยชน์ในแบบของตัวมันเองอยู่แล้ว และเราก็ชอบ “ความเหนือจริง + ความฮา” ที่เกิดจาก “หนัง AI” เท่าที่เราเคยดูมามาก ๆ

 

+++

 

สรุปว่าตอนนี้เราได้ดู BEAUTIFUL DUCKLING (1965, Lee Hsing, Taiwan, A+30) และ THE DUCKLING เป็ดน้อย (1968, Prince Panupan Yukol พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล, A+30) ไปแล้ว ก็เลยได้แต่รอว่า จะมีคนนำหนังเรื่อง DON’T TORTURE A DUCKLING (1972, Lucio Fulci, Italy) มาลงโรงฉายในไทยด้วยนะคะ จะได้ดูครบ “ไตรภาค DUCKLING” 55555 หรือถ้าหากมีคนจัดงาน LUCIO FULCI RETROSPECTIVE ในไทยด้วย ก็จะดีมาก ๆ เลยค่ะ

 

Saturday, November 15, 2025

HOLDING THE WORLD BETWEEN VS. CONFINEMENT

 

เราอยากดู ODE TO TZONG WARD (Michael Shaowanasai) อย่างรุนแรงมาก ๆ แต่อาจจะไปดูไม่ได้ เพราะมันฉายชนกับ EUREKA (2023, Lisandro Alonso, Argentina, 146min) ที่หอภาพยนตร์ คือในวันพฤหัสบดีที่ 20 พ.ย. EUREKA ฉายตอน 15.30 น. ซึ่งน่าจะจบตอนราว ๆ 18.00 น. เพราะฉะนั้นเรามาดู ODE TO TZONG WARD รอบ 18.40 น.ไม่ทันอย่างแน่นอน นอกจากว่าจะมีประตูสลับสถานที่ของโดเรมอน

+++++

 

ดีใจสุดขีดที่ HOUSE ฉาย ONE FLEW OVER THE CUCKOO’S NEST ในช่วงสุดสัปดาห์หน้าด้วย เพราะสุดสัปดาห์นี้เราดูไม่ได้จริง ๆ เพราะมันชนกับ TAIWAN DOC FEST

 

เดี๋ยวจะพยายามจัดตารางหนังของตัวเอง ให้ได้ดูทั้ง ONE FLEW OVER THE CUCKOO’S NEST ที่ HOUSE และหนังบางเรื่องที่ CINEMA OASIS

+++++++

 

รู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างรุนแรง ที่ได้เจอกับเมอฤดีโดยบังเอิญบนรถไฟฟ้าเมื่อวานนี้ (พฤหัสบดีที่ 13 พ.ย.) เพราะเมอฤดีบอกเราว่า ถ้าหากจะไปดูงาน video installation ที่บ้านเทเวศร์ “ที่นี่ไม่มีแอร์นะ”

 

วันนี้ (ศุกร์ 14 พ.ย.) เราก็เลยพก “พัดลมหมีน้อย” ติดตัวไป โดยชาร์จแบตเอาไว้ให้เต็มที่เรียบร้อย พอไปถึงบ้านเทเวศร์ก็ได้ใช้งานมันจริง ๆ เพราะว่าที่บ้านเทเทเวศร์นี้มันมีเครื่องปรับอากาศที่ชั้นล่าง แต่ชั้นบนมันไม่มีทั้ง “เครื่องปรับอากาศ และพัดลม” กรี๊ดดดดดด คือถ้าหากดิฉันไม่พกพัดลมหมีน้อยติดตัวมาด้วยนี่ ดิฉันแพ้พ่ายให้กับสภาพอากาศแน่นอน เพราะว่าสภาพร่างกายเราไม่เหมือนคนปกติ เพราะเราเหงื่อออกง่ายมาก ๆ คือถ้าหากสถานที่ใดมีอุณหภูมิสูงเกิน 29 องศาเซลเซียส เหงื่อเราจะเริ่มทะลัก และตัวเราก็จะเหม็น

 

 ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ถ้าหากเราไม่ได้พกพัดลมหมีน้อยติดตัวไปด้วย พอเราดูงานวิดีโอ PROPHECY (2025, Montika Kham-on, video installation, around 20mins, A+30) กับ WOODEN HOUSE (2025, Kota Takeuchi, Japan, video installation, A+30) ท่ามกลางอุณหภูมิราว 32 องศาเซลเซียสจบแล้ว เราก็คงไม่สามารถไปดูหนังในโรงหนังอะไรต่อได้เลย ต้องรีบกลับบ้านอาบน้ำทันที เพราะเราจะเหงื่อออกตัวเหม็นมาก ไม่สามารถเข้าไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ๆ ในโรงหนังได้

 

แต่โชคดีที่เราได้เจอเมอฤดีโดยบังเอิญเมื่อวานนี้ วันนี้เราก็เลยพกพัดลมหมีน้อยติดตัวไป เราก็เลยดูงานวิดีโอที่นานราว 50-60 นาทีได้โดยเหงื่อไม่ออกเลย เพราะพัดลมหมีน้อยช่วยชีวิตไว้ พอเสร็จจากการดูงานที่บ้านเทเวศร์แล้ว เราก็ไปดูงานวิดีโอ A JEWEL IN THE MUD (2025, Jeanne Penjan Lassus, A+30), BIRADDALI DANCING ON THE HORIZON (2024, Bhenji Ra, Philippines, A+30), SEARCH FOR LIFE II (2025, Stephanie Comilang, A+30), BOYFRIEND/HUSTLER/LOVER (A TRILOGY FOR GHOST) (2025, Shahryar Nashat, A+30) และก็ไปดูหนังเรื่อง (LOVE SONG) (2025, Weerachit Thongjila, Japan/Thailand, A+25) ต่อได้

 

คือถ้าหากเราไม่ได้เจอเมอฤดีโดยบังเอิญในวันพฤหัสบดี วันศุกร์เราก็คงไปดูงานวิดีโอได้แค่ 2 ชิ้น แล้วก็ต้องรีบกลับบ้านอาบน้ำเพราะเหงื่อเหม็น แต่การที่เราได้เจอเมอฤดีโดยบังเอิญในวันพฤหัสบดี เราก็เลยเตรียมพัดลมติดตัวไว้พร้อมในวันศุกร์ และก็เลยได้ดูหนัง+วิดีโอได้ 7 เรื่องอย่างมีความสุข

 

กราบขอบพระคุณเมอฤดีอย่างรุนแรงค่ะ

 

จริง ๆ แล้วเราประทับใจตัว “บ้านเทเวศร์” มาก ๆ นะ มันดูขลังมาก ๆ ชอบที่มองออกไปแล้วเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาและคนพายเรือกันอยู่ในแม่น้ำ

 

พอได้ไปเดินใน “บ้านขลัง ๆ” แบบนี้แล้ว เราก็เลยจินตนาการเล่น ๆ ว่า อยากให้มี “บริษัทอสังหาริมทรัพย์” สักแห่ง ดำเนินการขาย “บ้านจัดสรร” ในหมู่บ้านแห่งนึง โดยจุดขายหลักของ “บ้านจัดสรร” ในหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือว่า ทุกบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้จะมี “เสาตกน้ำมัน” อยู่ด้วย คือใช้ “เสาตกน้ำมัน” เป็นจุดขายหลัก รับรองว่าไม่ซ้ำแบบใคร 55555

 

ชอบงาน installation HOLDING THE WORLD BETWEEN ของ Tarini Graham + คนอื่น ๆ มาก ๆ นึกว่า “ค่ายกลเจ็ดดาวเหนือ” 55555

 

งาน HOLDING THE WORLD BETWEEN ของ Tarini Graham + คนอื่น ๆ นี่ทำให้เรานึกถึงหนังสยองขวัญเรื่อง CONFINEMENT (2023, Kelvin Tong, Singapore) มากๆ เพราะในหนังเรื่องนั้น นางเอกมีความเชื่อว่า พอเธอคลอดลูกเสร็จแล้ว เธอต้องอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลา 1 เดือน ห้ามออกนอกบ้าน ไม่งั้นจะเป็นการทำผิดธรรมเนียมประเพณีอะไรสักอย่าง แต่เหมือนเธอเสือกเจอผีหลอกวิญญาณหลอนอย่างรุนแรงตอนอยู่ในบ้าน เธอก็เลยต้องหาทางรับมือกับภูตผีวิญญาณร้าย โดยไม่ยอมออกนอกบ้าน (ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ)

 

คือตอนที่เราดูหนังเรื่อง CONFINEMENT เรารู้สึกว่า “ความเชื่อในหนังเรื่องนี้มันแปลกดี เราไม่เคยได้ยินมาก่อน”

 

แต่พอเราได้ดูงาน HOLDING THE WORLD BETWEEN เราก็เลยได้ข้อสรุปว่า ความเชื่อไสยาศาสตร์ที่ถูกนำเสนอในหนังสิงคโปร์เรื่อง CONFINEMENT มันมีจริง ๆ (หมายถึงว่ามันมีประชาชนกลุ่มนึงในอดีตในภูมิภาคนี้ที่เคยเชื่อแบบนั้นกันจริง ๆ) และเราเชื่อว่ามันคือความเชื่อเดียวกันกับในงานของ Tarini Graham ชิ้นนี้นี่แหละ

 

(งาน HOLDING THE WORLD BETWEEN นี่เป็นงานของ Tarini Graham, Rosalia Namsai Engchuan, EMJA, Saeng-Fah, The Sound Nutritionist, Thairat Lim and Chao Mai Community Enterprise นะ แต่เราขอเรียกสั้น ๆ ว่า Tarini Graham + คนอื่น ๆ)

 

FILMS WHICH MAY PORTRAY FEAR ABOUT PREGNANCY AND CHILD RAISING DIRECTLY OR INDIRECTLY

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10232633256477203&set=a.10232633255917189

 

 

Friday, November 14, 2025

RYAN TRECARTIN VS. RATCHAPOOM BOONBUNCHACHOKE VS. GABRIEL ABRANTES

 

FLOW STATES (2025, Nivedita Johri, Hong Kong, interactive video installation, A+25)

 

EMBODIED TILES (2025, Patt Vira, interactive video installation, A+30)

 

เล่นสนุกมาก เหมือนมีความเคลื่อนไหวอย่างน้อย 3-4 อย่างในวิดีโอเกมนี้

 

1. ความเคลื่อนไหวของร่างกายของเราส่งผลให้สีสันของรูปทรง 6 เหลี่ยมในแต่ละจุดของวิดีโอเปลี่ยนแปลงไป

 

2. ไม่แน่ใจว่าความเคลื่อนไหวของร่างกายของเรา ส่งผลให้เกิดก้อนสีเล็ก ๆ ในรูปทรง 6 เหลี่ยมบางอันด้วยหรือเปล่า

 

3. รูปทรง 6 เหลี่ยมแต่ละอันก็หมุนไปหมุนมาได้

 

4. การหมุนไปหมุนมาของรูปทรง 6 เหลี่ยมแต่ละอัน ส่งผลให้ก้อนสีเล็ก ๆ ในแต่ละรูปทรงไหลไปไหลมา ซึ่งอาจจะเปิดทางให้ก้อนสีเล็ก ๆ แต่ละอันไหลตามท่อที่คดเคี้ยวเลี้ยวลด ลงไปสู่รูปทรงอื่น ๆ ที่อยู่ล่าง ๆ ลงไป จนไหลออกจากจอภาพได้ในที่สุด

 

PIX (2018, Kimbab:) , interactive installation)

 

TRAFFIC DESTINY (2025, Rogerger Ng, Hong Kong, video installation, A+30)

 

ฮาสุดขีด งานวิดีโอนี้มี 6 จอ สองจอนำเสนอละครบุพเพสันนิวาส, สองจอถ่ายการจราจรในกรุงเทพที่ติดขัด และอีก 2 จอเหมือนเป็นภาพ abstract ของการจราจร

 

สองจอที่เป็นละครบุพเพสันนิวาสจะฮามาก ๆ เพราะวิดีโอนี้จะกระตุกไปมา สะดุดหยุดชะงักอยู่เรื่อย ๆ โดยแปรผกผันกับสภาพการจราจร คือถ้าหากช่วงไหนรถเคลื่อนตัวได้ ละครก็จะหยุดกึก แต่ถ้าหากช่วงไหนที่รถติดไฟแดง หรือการจราจรติดขัด ละครก็จะไหลไปเรื่อย ๆ ได้ เพราะ Rogerger Ng ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่คนขับรถยนต์หลายคนทำในช่วงที่รถติดไฟแดง นั่นก็คือดูละคร/ดูคลิปอะไรต่าง ๆ ในรถยนต์ไปเรื่อย ๆ

 

มันก็เลยดูแล้วฮาสุดขีดที่ตัวละครมักจะหยุดนิ่งอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะในฉากสำคัญ นึกถึงอารมณ์ตลกแบบที่เราพบได้ในหนังอย่าง ALONE: LIFE WASTES ANDY HARDY (1998, Martin Arnold, Austria, A+30)

 

แน่นอนว่า ดูงานวิดีโอนี้แล้วนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง THE MOST BEAUTIFUL TIME โมงยามที่งามที่สุด (2014, Teeraphan Ngowjeenanan, 30min, A+30) ด้วย เพราะหนังเรื่องนั้นเป็นการถ่ายถนนลาดพร้าวช่วงรถติดตลอดทั้งเรื่อง (ถ้าจำไม่ผิด) เพราะฉะนั้นในแง่นึงเราก็เลยรู้สึกว่า TRAFFIC DESTINY เหมือนเป็นการต่อยอดจากภาพยนตร์ของ Teeraphan โดยเอาความฮาแบบหนังของ Martin Arnold เข้ามาผสมด้วย

 

DAS GEDÄCHTNIS (THE MEMORY) (2025, Theerawat Klangjareonchai, video installation, A+30)

 

ตัววิดีโอจริงนี่งดงามจนสุดจะบรรยาย มไหศวรรย์มหรรคาลัยมาก ๆ โดยภาพนิ่งที่เราถ่ายมานี่ไม่สามารถสะท้อนความงามของตัววิดีโอนี้ได้เลย อาจจะเป็นเพราะภาพในวิดีโอนี้มันกะพริบแวบวับแวววาวจรัสแสงตลอดเวลา คือต้องดูมันในรูปแบบภาพเคลื่อนไหวเท่านั้นน่ะ ถึงจะเห็นความงามของมัน เห็นความวิบวับของมัน พอดูเป็นภาพนิ่งแล้วแทบไม่เห็นอะไรเลย

 

เหมือนเป็นงานวิดีโอที่ใช้เทคโนโลยียุคปัจจุบัน แต่เราดูแล้วนึกถึงหนังเงียบ 2 genres ที่นิยมทำกันเมื่อ 100 ปีก่อน เพราะว่าตัววิดีโอนี้เหมือนถ่ายสภาพบ้านเมืองในเยอรมนี แต่นำฟุตเตจสภาพบ้านเมืองนั้นมาทำให้เป็นภาพ abstract วิบวับ เพราะฉะนั้นพอเราดูวิดีโอนี้แล้ว เราก็เลยนึกถึง

 

1. หนังเงียบกลุ่ม CITY SYMPHONY อย่างเช่น

 

1.1 BERLIN: SYMPHONY OF METROPOLIS (1927, Walter Ruttmann, Germany)

 

1.2 MAN WITH A MOVIE CAMERA (1929, Dziga Vertov, Soviet Union)

 

1.3 RAIN (1929, Joris Ivens, Netherlands)

 

2. หนังทดลองในทศวรรษ 1920 ที่เล่นกับ “จังหวะ” ของ “รูปทรงเรขาคณิต” หรืออะไรทำนองนี้ โดยเฉพาะหนังของ Marcel Duchamp, Viking Eggeling, Hans Richter

 

ETERNAL GAIN, ETERNAL PAIN. (WOULD YOU STILL LOVE ME IF I WAS A DIGITAL C. ELEGANS) (2025, Wasawat Somno, video installation, A+30)

 

ดูแล้วนึกถึง “หลักธรรมะ” โดยที่ตัวผู้สร้างวิดีโอนี้คงไม่ได้ตั้งใจ 55555 และก็นึกถึงหนังเรื่อง BLADE RUNNER (2017, Denis Villeneuve, A+30) ด้วย เพราะเหมือนหนังเรื่องนั้นทำให้เรามองว่า “หุ่นยนต์ก็มีความรู้สึกได้ เพราะในบางครั้ง ความรู้สึกก็เป็นสิ่งที่ถูก “โปรแกรม” ได้”

 

TRACING THE CURVE (2024-2025, Wuttin Chansataboot, video installation, 4min, A+30)

 

งดงามสุดขีด

 

MANUS (2025, yaboihanoi, video installation, 4min, A+30)

 

งดงามเพริศแพร้วจนสุดจะบรรยาย ONE OF MY MOST FAVORITE FILMS I SAW IN 2025

 

ตอนที่ดูวิดีโอนี้ เราต้อง “กอดอก” ตัวเองอย่างแน่นมาก ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน เพราะถ้าหากเราไม่เอามือกอดอกตัวเองไว้แน่น ๆ เราจะต้องเอามือเอาแขนของเราออกมาร่ายรำไปตามวิดีโออย่างแน่นอน คือดูวิดีโอนี้แล้วอยากเซิ้ง อยากรำปอบผีฟ้าไปด้วย ดูวิดีโอไปด้วยมาก ๆ ซึ่งเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเรามาก่อน เพราะฉะนั้นการได้ดูวิดีโอนี้ก็เลยเหมือนมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยพบเคยเจอให้กับเรา 55555

 

ดูแล้วนึกถึง “ละครทีวีฮ่องกงแนวกำลังภายในในทศวรรษ 1980” ด้วย เพราะพอเวลาตัวละครในละครดังกล่าว “ใช้กำลังภายใน” บางทีมันจะถูกนำเสนอออกมาในภาพกราฟฟิกที่เห็นแขนเห็นมือซ้อน ๆ ๆๆ ๆ กัน แบบนี้

 

ดูแล้วนึกถึงละครเวทีของคุณ Pichet Klunchun ด้วย

 

ชอบมาก ๆ ด้วยที่ท่าทางการร่ายรำในวิดีโอนี้เหมือนการรำไทยยุคโบราณ แต่ดนตรีนี่นึกว่า HIGHER STATE OF CONSCIOUSNESS (1995) ของ Josh Wink

 

ดูจบแล้วต้องบอกว่า “วิทยายุทธเธอสูงมากค่ะ”

++++

 

TITLE WAIVE (2019-2025, Ryan Trecartin, video installation, 33min, A+30)

 

1. เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูปุ๊บก็เตรียมเข้าชิงอันดับ 1 ประจำปีในทันที นึกว่ามีฉากคลาสสิคทุก 1 วินาที

 

ก่อนหน้านี้หนังเรื่อง I-BE AREA (2007, Ryan Trecartin, 108min) ก็เคยติดอันดับ 1 ของเราประจำปี 2008 ไปแล้ว และหนังเรื่องนั้นก็มีฉากคลาสสิคทุก 1 วินาทีเหมือนกัน

 

เราได้ดู I-BE AREA ที่ Conference of Birds Gallery ตรงถนนสีลมในปี 2008 แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ดูหนังของ Ryan Trecartin อีกเลยมั้งในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่า 17 ปีผ่านไป หนังของเขาก็ยังคงแรงฤทธิ์เหมือนเดิม ดีใจที่เขายังคงรักษาความ “ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป” ในหนังของเขาได้ดีขนาดนี้

 

2. ดูแล้วก็รู้สึกว่า Ryan Trecartin นี่เหมือนเป็นลูกผสมระหว่าง “พจน์ อานนท์” กับ Werner Schroeter คือหนังของเขามีความ “unapologetically หีแตก” แบบหนังของพจน์ อานนท์ และก็มีความ “sophisticated queer aesthetics” แบบหนังของ Werner Schroeter ผสมอยู่รวมกัน

 

3. เพราะฉะนั้นก็เลยสรุปได้ว่า ในความเห็นส่วนตัวของเรานั้น Ryan Trecartin นี่แหละ คือ “คู่แข่งตัวจริง” ของ Ratchapoom Boonbunchachoke และ Gabriel Abrantes 555555

 

หรือจริง ๆ แล้วก็คือ เราอยากให้มีคนจัด triple retrospectives มาก ๆ แบบเอาหนังของ Ratchapoom Boonbunchachoke, Ryan Trecartin และ Gabriel Abrantes มาฉายควบกัน เพราะเราว่าหนังของ 3 คนนี้เหมาะปะทะกันอย่างรุนแรงที่สุด

 

แต่อันนี้ถือเป็น “ผู้กำกับที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน” นะ เพราะถ้าหากเป็นผู้กำกับรุ่นก่อนหน้านั้น เราก็ว่าควรมีการจัด triple retrospectives ของ Michael Shaowanasai + Bruce LaBruce + Rosa von Praunheim อะไรทำนองนี้

 

4. ไม่ขอเขียนบรรยายอะไรใด ๆ เกี่ยวกับ TITLE WAIVE เพราะมันเกินความสามารถของเราจริงๆ ที่จะถ่ายทอดความหีแตกของหนังเรื่องนี้ออกมาเป็นตัวอักษรได้

++++

บางทีเราก็แอบสงสัยว่า ถ้าหาก Bo Widerberg ไปเกิดในนอร์เวย์, เดนมาร์ก หรือไอซ์แลนด์ เขาอาจจะโด่งดังกว่านี้ แต่พอเขามาเกิดในสวีเดนในยุคเดียวกับ Ingmar Bergman เขาก็เลยเหมือนถูกความดังของ Bergman บดบังรัศมีจนหมดหรือเปล่า 55555

 

อย่าง Roy Andersson นี่เราก็ว่า เขาอาจจะโชคดีที่มา “รุ่นถัดจาก Bergman” เหมือนเขาทำหนังมานานแล้ว แต่เพิ่งมาเริ่มโด่งดังเปรี้ยงปร้างตอนที่ Bergman อำลาวงการไปแล้ว 55555

 

แต่เราเคยดูหนังของ Bo Widerberg แค่เรื่องเดียวนะ เรื่อง ALL THINGS FAIR (1995) ในรูปแบบวิดีโอเทปจากร้านแว่น และก็เคยดูหนังสารคดีเรื่อง LIFE AT ANY COST (1998, Stefan Jarl, Sweden) เป็นหนังสารคดีที่พูดถึงความดีความงามของ Bo Widerberg หนังสารคดีเรื่องนี้เคยมาฉายที่ศาลาเฉลิมกรุงเมื่อราว 25 ปีก่อน และหนังสารคดีเรื่องนี้ก็เลยทำให้เราอยากดูหนังของ Bo Widerberg อย่างรุนแรง ปรากฏว่า เวลาผ่านมาแล้ว 25 ปี ก็ไม่เห็นมีใครนำหนังคลาสสิคของ Bo Widerberg มาลงโรงฉายในไทยเลย น่าเสียดายมาก ๆ

 

Wednesday, November 12, 2025

SENKOH (2025, Anwa Yako, 20min, A+30)

 

THE GREAT CONSPIRACY (1980, Pao Hsueh-li, Taiwan) นำแสดงโดย เหมียวเข่อซิ่ว ที่เคยโด่งดังจากบท ต๊กโกวหงส์ใน กระบี่ไร้เทียมทาน และบท "มารชมพู" ใน ยอดยุทธจักรมังกรฟ้า

+++

LOOK CLOSELY ENOUGH (2025, Warat Bureephakdee, A+30) ถือเป็นหนึ่งในหนังไทยที่เราชื่นชอบมากที่สุดที่ได้ดูในปีนี้ ประสาทแดกมาก ๆ 55555

+++

กรี๊ดดดดดด นึกถึงช่วงเวลาในปี 1988-1989 ที่เราต้องไปยืนดูมิวสิควิดีโอของ Debbie Gibson ที่ "ร้านแมงป่อง" กับ "ร้านลูกแมว" ในห้างมาบุญครอง อยากย้อนเวลากลับไปช่วงนั้นจริง ๆ

++++

ชอบภาพวาดของ Li Songsong อย่างสุดขีด เหมือนเป็นภาพที่ "เห็นด้วยตา" แต่ส่งความรู้สึกไปที่ "มือ" เรา คือเหมือนมือเราได้ลูบไล้พื้นผิวที่ขรุขระของภาพเหล่านั้นไปด้วย ขณะที่เรามองภาพเหล่านั้น (อันนี้เป็นความรู้สึกของตัวเราเองคนเดียวนะ คนอื่น ๆ อาจจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับเรา)

++++

SENKOH (2025, Anwa Yako, 20min, A+30)

ตบสนั่น ฝันประกาย

 

1. เราชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุด ๆ เมื่อพิจารณาจาก “บริบทของหนังไทย” และ “บริบทของหนังสั้นไทย” แต่ถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็น “หนังญี่ปุ่น” เราจะรู้สึกเฉย ๆ กับหนังเรื่องนี้ในทันที 55555 คือถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็น “หนังญี่ปุ่น” ระดับความรู้สึกชอบของเราอาจจะลดลงมาเหลือเพียง A+15 หรือ A+ อะไรทำนองนี้

 

คือเราชอบที่หนังเรื่องนี้พูดถึงกีฬาปิงปองอย่างมี passion กับตัวกีฬานั้นจริง ๆ น่ะ และเหมือนผู้สร้างหนังเรื่องนี้มีความรู้เกี่ยวกับกีฬาปิงปองประมาณนึง ซึ่งเราว่าสิ่งนี้ทำให้มันแตกต่างจากหนังไทยหลาย ๆ เรื่อง เพราะว่าไทยไม่ค่อยมีหนังเกี่ยวกับ “กีฬา” หรือถ้าหากมีหนังกีฬาอยู่บ้าง ส่วนใหญ่มันก็เป็นหนังเกี่ยวกับ “นักกีฬาที่มีตัวตนจริง” อย่างเช่น THE IRON LADIES สตรีเหล็ก (2000, Yongyoot Thongkongtoon), โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง TEE SHOT: ARIYA JUTANUGARN (2019, Tanawat Aiemjinda), HUGBY BAN BAK (2019, Bin Bunluerit, A+30) และหนังสารคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับนักมวยไทย

 

เพราะฉะนั้นพอ SENKOH มันพูดถึงกีฬาปิงปอง หนังเรื่องนี้ก็เลยโดดเด่นขึ้นมาในทันทีในบรรดา “หนังไทย” เพราะว่าหนังกีฬาของไทยมีเป็นจำนวนน้อย และหนังไทยที่เกี่ยวกับปิงปองเท่าที่เราเคยดูมา ก็มีแต่ “หนังโรแมนติก” ที่ตัวละครมาเล่นปิงปองกัน คือโต๊ะปิงปองในหนังสั้นไทยเหล่านี้ไม่ได้เป็น “สถานที่แข่งขัน” แต่เป็นสถานที่ให้หนุ่มสาวได้มาตกหลุมรักกัน (ใครจำได้บ้างว่า มันคือหนังโรแมนติกเรื่องอะไร ที่พระเอกนางเอกมาเล่นปิงปองกัน) เราก็เลยรู้สึกว่า SENKOH มันโดดเด้งมาก ๆ เพราะนี่น่าจะเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่เราเคยดูเลยมั้ง ที่ตัวละครเล่นปิงปองกันอย่างจริงจัง (แต่เราไม่ได้ดูละครโทรทัศน์ของไทยมานานราว 30 ปีแล้วนะ เราก็เลยไม่มีความรู้เกี่ยวกับ ละครโทรทัศน์ไทยที่พูดถึงกีฬา)

 

แต่ถ้าหาก SENKOH เป็น “หนังญี่ปุ่น” เราก็คงไม่ว้าวมากเท่านี้ เพราะญี่ปุ่นมีการผลิตหนังและละครโทรทัศน์เกี่ยวกับ “กีฬา” ออกมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน และหนังญี่ปุ่นเหล่านี้ต่างก็แสดงให้เห็นถึง “ความรู้ลึก รู้จริง” ของผู้สร้างหนังเกี่ยวกับตัวกีฬานั้น ๆ ซึ่งรวมถึงหนังเกี่ยวกับปิงปองเรื่อง MIXED DOUBLES (2017, Junichi Ishikawa, A+30) และ PING PONG (2002, Fumihiko Sori) เราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าหาก SENKOH เป็นหนังญี่ปุ่น เราก็คงจะเฉย ๆ กับหนังเรื่องนี้ในระดับนึง 55555

 

2. ชอบที่หนังมันพูดถึง “ชีวิตที่ผ่านเลยไป” ของตัวละครด้วย ตัวละครที่เติบโตขึ้น และมองย้อนกลับไปในอดีต และพบว่าเส้นทางชีวิตของตัวเองอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เคยคาดหวังไว้ในอดีต อะไรทำนองนี้ (ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ)

 

ในแง่นึงเราก็เลยรู้สึกว่า SENKOH นี่อาจจะเหมาะฉายควบกับหนังเรื่อง PING PONG BATH STATION (1998, Gen Yamakawa) ได้ด้วยเหมือนกัน เพราะว่าPING PONG BATH STATION เป็น “หนังชีวิต หนังดราม่าที่มีความเกี่ยวข้องกับปิงปอง” ส่วน SENKOH นั้นเป็น “หนังเกี่ยวกับกีฬาปิงปอง ที่พูดถึงชีวิตมนุษย์ด้วย” หนังสองเรื่องนี้ก็เลยเหมือนเป็น “หนังชีวิต + หนังกีฬาปิงปอง” ผสมอยู่รวมกันเหมือนกัน

 

3. หนังอีก 2 เรื่องที่เราว่าเหมาะฉายควบกับ SENKOH ก็คือ THE COLOR OF MONEY (1986, Martin Scorsese, A+30) และ CHALLENGERS (2024, Luca Guadagnino, A+30) เพราะว่าหนังทั้ง 3 เรื่องนี้เป็น “หนังกีฬา” ที่มี “พระเอก 2 คน” เหมือนกัน โดยไม่มีใครเป็นผู้ร้าย พระเอกทั้งสองคนเหมือนเป็นฝ่ายดีที่มีฝีมือทัดเทียมกันเหมือนกัน

 

เหมือนใน THE COLOR OF MONEY และ CHALLENGERS นั้น หนังจบลงด้วยการที่ให้พระเอกสองคนแข่งขันกัน แล้วหนังก็ตัดจบไป โดยไม่บอกคนดูว่า ตกลงแล้วในบรรดาพระเอก 2 คนนี้ ใครเก่งกว่ากันกันแน่

 

แต่เราจำตอนจบของ SENKOH ไม่ได้แล้ว เหมือน SENKOH ก็จบคล้าย ๆ กันนี้หรือเปล่านะ เราไม่แน่ใจ

 

4. เราขอสนับสนุนให้มีการสร้างหนังไทยเกี่ยวกับ “นักกีฬาชาย” ออกมาอีกเยอะ ๆ ค่ะ อยากให้มีคนทำ “หนังสารคดี” เกี่ยวกับ “นักรักบี้โรงเรียนวชิราวุธ” อะไรแบบนี้มาก ๆ 55555

++++

 

RIP TATSUYA NAKADAI (1932-2025)

 

เขาหล่อสุดขีดเลย เราอยากได้เขามาก ๆ ในหนังเรื่อง WHEN A WOMAN ASCENDS THE STAIRS (1960, Mikio Naruse), YOJIMBO (1961, Akira Kurosawa), HARAKIRI (1962, Masaki Kobayashi) และ KWAIDAN (1964, Masaki Kobayashi)

++++

Favorite Music Video: BIG HOLLOW MAN (1987) -- Danielle Dax

https://www.youtube.com/watch?v=zqhym59ypUI

 

เราเคยดู THE RIVER ของไฉ่มิ่งเหลียงตอนมันมาฉายที่สมาคมฝรั่งเศส ถนนสาทรใต้เมื่อราว 20 กว่าปีก่อน แต่ก็กะจะดูอีกรอบในเทศกาลหนังไต้หวันปีนี้ เพราะเป็นหนังที่รู้สึกอยากดูซ้ำ

 

Tuesday, November 11, 2025

DAISY BY DANIELLE DAX

 

I worship Kate Bush and this music video. เราชอบมิวสิควิดีโอเพลง CLOUDBUSTING นี้อย่างสุดขีด ถือเป็น "หนังไซไฟ" เรื่องนึงได้เลย เรายังจำได้ว่า ตอนที่เรากับเพื่อนดูมิวสิควิดีโอเพลงนี้เมื่อ 30 ปีก่อน เพื่อนเราพูดว่า "เห็นหน้าเคท บุชแล้วนึกถึง ธิติมา สังขพิทักษ์"

 

มิวสิควิดีโอนี้กำกับโดย Julian Doyle แต่ conceived by Terry Gilliam

https://www.youtube.com/watch?v=pllRW9wETzw&list=RDpllRW9wETzw&start_radio=1

 

54 (2025, Wuttichai Buranakittipinyo, documentary, 29min, A+30)

 

ชอบมาก ๆ เหมาะฉายควบกับ CREMATION DAY (2017, Napasin Samkaewcham)  และ DID YOU SEE THE HOLE THAT MOM DIG? หอมสุวรรณ (2023, Pobwarat Maprasob, A+30) เพราะหนังทั้ง 3 เรื่องนี้เป็นหนังสารคดีที่ตัวผู้กำกับนำเสนอหรือสัมภาษณ์แม่หรือยาย/ย่าของตนเอง และแม่/ยาย/ย่า นี้ก็เป็นคนที่ “ผ่านร้อนผ่านหนาว” มาอย่างหนัก หรือมีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจ

++++

 

หลายคนในภาพนี้ก็ยังคงอยู่ในวงการภาพยนตร์จนถึงปัจจุบัน เพราะ Apichatpong ก็ยังคงทำหนังอยู่, คุณ Phaisit Phanphruksachat ก็กำกับภาพยนตร์เรื่อง “ถล่มรังแม่ตุ้ม สำนักงานกะทิ” ที่ฉายในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนในปี 2022, คุณวิชิต หอยิ่งสวัสดิ์ กำกับภาพยนตร์เรื่อง LUODONG COMMONALITY: PEOPLE, PUBLIC, AND EVERYDAY ORDINARINESS ที่ฉายในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนในปี 2024 และคุณสุพงศ์ จิตต์เมือง ก็กำกับภาพยนตร์เรื่อง THE RETURNING วนเวียน (2025, 30min, A+30) ที่เพิ่งฉายในงาน Wildtype ในวันที่ 21 ก.ย. 2025

+++

 

ช่วงนี้เราทยอยเอาชื่อหนังที่เคยดูในวัยเด็กไปแปะลงใน letterboxd ของเรา ก็เลยทำให้เราเพิ่งรู้ว่า

 

1. Scarlett Johansson เคยแสดงในหนังเรื่อง JUST CAUSE (1995, Arne Glimcher)

 

2. ชาลี ไตรรัตน์ เคยแสดงในหนังเรื่อง ONCE UPON A TIME...THIS MORNING (1994, Bhandit Rittakol, A+30)

 

3. Thora Birch (AMERICAN BEAUTY, THE CHRONOLOGY OF WATER) เคยแสดงในหนังเรื่อง PATRIOT GAMES (1992, Phillip Noyce)

++++

 

ดิฉันก็เคยดูหนังที่โรงหนังในห้างเมอร์รี่คิงส์ ปิ่นเกล้าเหมือนกันนะคะ ดีใจมาก ๆ ที่เราเคยไปเยือนโรงหนังในห้างนี้ โดยตอนนั้นเราได้ไปดูหนังเรื่อง CHANGING PARTNERS (1992, Chin Wing-keung, Hong Kong) ที่นำแสดงโดย อู๋จินหยู (Sandra Ng) หนังเรื่องนี้เป็นหนังปี 1992 แต่เพิ่งมาลงโรงฉายในไทยในช่วงปลายปี 1996

+++

อยากดูทั้ง POPCORN, DEMONS (1985, Lamberto Bava, Italy) และ PORNO (2019, Keola Racela) และก็อยากดู CLOSED CIRCUIT (1978, Giuliano Montaldo, Italy) ด้วย เพราะมันเป็นหนังสยองขวัญที่เนื้อเรื่องเกิดในโรงหนังเหมือนกัน

 

ส่วนหนังกลุ่มนี้ที่เราเคยดูแล้วชอบสุดขีดก็คือ LAST SCREENING (2011, Laurent Achard, France) กับ ANGUISH (1987, Bigas Luna, Spain)

 

Edit เพิ่ม: หนังเรื่อง CUT (2000, Kimble Randall) ที่นำแสดงโดย Molly Ringwald เราก็ชอบ แต่เหมือนมันเป็นหนังสยองขวัญเกี่ยวกับ “การทำหนัง” แต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดในโรงหนัง ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ

 

ส่วน “ฉากสยองขวัญในโรงหนัง” ที่ติดตาเรามากที่สุดก็คือ ฉากเปิดของ SCREAM 2 (1997, Wes Craven, A+30)

+++

 

Favorite Lyrics: DAISY (1990) by Danielle Dax

 

เราเพิ่งได้ฟังเพลงนี้จากอัลบัม BLAST THE HUMAN FLOWER แล้วก็พบว่า เนื้อเพลงมันรุนแรงมาก เนื้อเพลงพูดถึงหญิงสาวชื่อ “เดซี่” ที่เอาปืนยิงหญิงสาวอีกคนตาย แล้วคนทั้งเมืองก็เลยออกตามล่าเดซี่ แต่หญิงสาวผู้ร้องเพลงนี้ประกาศว่า เธอเข้าข้างเดซี่ เธอเข้าใจเดซี่ และเธอจะช่วยเหลือเดซี่อย่างสุดชีวิต

 

คือรู้ว่า ถ้าหากเนื้อเพลงเพลงนี้ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ หนังเรื่องนี้จะต้องเข้าทางเราอย่างสุดขีดแน่นอน เพราะเนื้อเพลงเพลงนี้แสดงให้เห็นว่า มันต้องมีตัวละครหญิงที่รุนแรงสุดขีดอย่างน้อย 3 ตัวในเรื่อง ซึ่งได้แก่ เดซี่, ผู้หญิงที่เคยทำเลว ๆ ใส่เดซี่จนถูกเดซี่ยิงตาย และผู้หญิงที่พร้อมจะช่วยเหลือเดซี่

 

กราบตีน Danielle Dax ค่ะ

 

Daisy, I know you didn’t mean it but you got her
Oh honey they say you took along a pistol and you shot her

And now the word is out in town
They will come and drag you down
Take away your pride
Take away your liberty

I will give you sympathy
Anything you want of me
I will give you all of my heart

I will give you sanctuary
Everything is safe with me
You have got a hold of my heart

Daisy, they say she made your life not worth the living
Oh but you took it with dignity and pride you were forgiving

But then she pushed you just too far
Broke through your resolve at last
Something gave inside
Something I’m afraid to see

I will give you sympathy
Anything you want of me
I will give you all of my heart

 

Monday, November 10, 2025

ALL THE PAINS FROM FILM FESTIVALS IN 1998-2025

 

ช่วงนี้เราก็ยังคงหยิบเทปเพลงเก่า ๆ มาฟังเป็นครั้งคราว เราชอบอัลบัมนี้มาก ๆ SWEPT (1991) ของ Julia Fordham จากค่าย EMI เพลงที่ชอบที่สุดในอัลบัมนี้น่าจะเป็นเพลง TIED

 

เทปมีอายุ 34 ปีแล้ว แต่ยังฟังได้ดีอยู่เลย ขอบพระคุณ EMI ค่ะ

 

เนื้อเพลง TIED

 

Tie a yellow ribbon round your heart
Counted every moment we're apart
It's been five long years since you've been here
Tie a yellow ribbon

Beyond the realm of dignity
Beyond imagination, please forgive me
How long, how long, how long, how long will it be?
It's a tragedy

Tie a yellow ribbon round your heart
Counted every moment we're apart
It's been five long years since you've been here
Tie a yellow ribbon

What happened to humanity?
There is no understanding such insanity
Hold on, hold on, hold on please if you can
In that troubled land

Tie a yellow ribbon round your heart
Counted every moment we're apart
It's been five long years since you've been here
Tie a yellow ribbon round your heart

++++

 

I’M STUCK (2025, Sirapat Aroon, 21min, A+25)

++++++++

ส่วนเราเคยดู FRANKENSTEIN เวอร์ชั่นของ Kenneth Branagh กับ Paul Morrissey

+++++++++

 

ALL THE PAINS FROM FILM FESTIVALS IN 1998-2025

 

มาจดบันทึกความทรงจำว่า เราฟังเทป “เทศกาลหนัง พังกระโปก!” ของ Man on Film จบแล้ว งดงามที่สุด ดีใจมาก ๆ ที่มีการพูดคุยกันถึงเทศกาล Bangkok International Film Festival 2025 กันอย่างเต็มที่ เพราะเราชอบหนังในเทศกาล BKKIFF 2025 อย่างรุนแรงมาก ถือได้ว่าเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่เลือกหนังได้ตรงใจเรามากที่สุดในชีวิต cinephile ของเราเลย คือแค่มีงาน retrospective ของ Harun Farocki กับ Ryusuke Hamaguchi นี่ก็กราบตีนอย่างสุด ๆ แล้ว และหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เลือกมาในงาน ทั้ง DRY LEAF, AGON, DRACULA, RESURRECTION, GOD WILL NOT HELP, I ONLY REST IN THE STORM, DIRECTOR’S DIARY, etc. นี่ก็ตรงใจเราอย่างถึงที่สุด

 

เหมือนการจัด International Film Festival ใน Bangkok แบบนี้คือ “ช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุด” ในแต่ละปีน่ะ ตั้งแต่ Bangkok Film Festival ของ Brian Bennett ในปี 1998 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน คือเราเป็นคนฐานะยากจนที่ไม่มีเงินเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะฉะนั้น “ความสุขสูงสุด” ของเราในแต่ละปี ก็คือการได้ลางานเพื่อไปหมกตัวใน Bangkok Film Festival (1998-2004), World Film Festival of Bangkok (2003-2024) และ Bangkok International Film Festival (2003-2025) นี่แหละ

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยดีใจมาก ๆ ที่ podcast นี้พูดคุยกันถึง BKKIFF 2025 มันเหมือนเป็นการช่วยจดบันทีกความทรงจำที่มีต่อเทศกาลนี้ และถ้าหากวันหนึ่งวันใดในอนาคต เราอยากรำลึกถึง “ช่วงเวลาที่เรามีความสุขมากที่สุดในปี 2025” เราก็อาจจะเปิด podcast นี้ฟังอีก เพราะมันได้ช่วยบันทึกความทรงจำที่มีต่ออะไรต่าง ๆ ในเทศกาลนี้เอาไว้แล้ว

 

ชอบมาก ๆ ที่ podcast นี้มีการพูดถึงปัญหาต่าง ๆ ในเทศกาลเอาไว้ด้วย เผื่อถ้าหากมีการจัดเทศกาลหนังแบบนี้อีก ทางผู้จัดงานจะได้หาทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีก (เราหวังว่าอย่างนั้นนะ)

 

ส่วนตัวเรานั้น เราก็พบว่าเทศกาล BKKIFF 2025 มีปัญหาเยอะมากเช่นกัน แต่เราไม่ค่อยได้เขียนถึงปัญหาในเทศกาลนี้ เพราะว่าเพื่อน ๆ ได้เขียนถึงไปหมดแล้ว เราก็เลยไม่ต้องเขียนซ้ำอีก 55555 และพอเราฟัง podcast นี้ เราก็เลยพบว่า เรา “โชคดี” มาก ๆ ด้วยใน 2 เหตุการณ์ด้วยกัน นั่นก็คือ

 

1. เราดู DIRECTOR’S DIARY (2025, Aleksandr Sokurov, Russia, documentary, 5hrs 5mins, A+30) ในการฉายรอบที่สอง ซึ่งการฉายราบรื่นดี ไม่มีปัญหาอะไร เราก็เลยดูหนังเรื่องนี้อย่างมีความสุขสุดขีดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

แต่พอเราฟัง podcast นี้ เราก็เลยพบว่า ในการฉายรอบแรกนั้น ซับไตเติลภาษาไทยมันวิ่งนำหน้าตัวหนังไปราว 15 นาทีในช่วงครึ่งหลังของหนัง หนักมาก ๆ คือเหมือนซับไตเติลภาษาไทยขึ้นตัวอักษรอะไรก็ตามมาให้เราอ่าน เราจำเป็นต้องรออีก 15 นาทีแล้วเราถึงจะค่อยเห็นภาพที่มันซิงค์กับซับไตเติลนั้น นึกว่าบ้า

 

ก็เลยถือว่าเป็นโชคดีของเราที่ไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในการฉายรอบแรก เห็นใจคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในรอบแรกมาก ๆ

 

2. เราได้ดู ON THE ROAD (2025, David Pablos, Mexico, A+30) ในรอบที่ซับไตเติลภาษาอังกฤษ+ภาษาไทย ไม่ซิงค์กับภาพบนจออย่างรุนแรงเช่นกัน เหมือนซับไตเติลมันมาช้ากว่าภาพราว 1-5 นาทีในบางช่วง อะไรทำนองนี้ คือบางครั้งซับก็ไล่ตามภาพทัน แต่ในหลาย ๆ ครั้งซับก็ขึ้นช้ากว่าภาพนานหลายนาที

 

แต่อันนี้ก็เป็นโชคดีของเรา ที่เคยเรียนภาษาสเปนเมื่อ 30 ปีก่อน เพราะฉะนั้นตอนที่เราดู ON THE ROAD เราก็เลยพยายามทบทวนภาษาสเปนที่เคยเรียนมา แล้วก็พยายามจับคำภาษาสเปนที่ตัวละครพูด เพื่อจะได้นำมาเชื่อมโยงกับซับไตเติลที่ขึ้นตามมาในอีก 5 นาทีต่อมา 55555 เราก็เลยไม่ได้อารมณ์เสียอย่างรุนแรงมากนัก แต่เราก็เห็นด้วยว่า เหตุการณ์แบบนี้มันถือเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงมาก และถ้าหากเราไม่เคยเรียนภาษาสเปนมาก่อน เราก็คงอารมณ์เสียอย่างรุนแรงขณะที่ดูหนังเรื่องนี้เช่นกัน

 

สรุปว่า โดยรวม ๆ แล้ว เรารู้สึกว่า BKKIFF 2025 มีปัญหาเยอะมาก แต่อาจจะเป็นเพราะเราดวงดี เราก็เลยไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากปัญหาในงานนี้มากนัก แต่เราก็ขอสนับสนุนให้ทุกคนช่วยกันพูดและเขียนถึงปัญหาในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ กันต่อไปนะ เพราะการพูดและเขียนถึงปัญหาเหล่านี้จะได้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดแบบนี้ขึ้นอีก

 

เนื่องจากเพื่อน ๆ ได้พูดและเขียนถึงปัญหาต่าง ๆ มากมายใน BKKIFF 2025 ไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็เลยขอจดบันทึกความทรงจำถึงปัญหาร้ายแรงที่เราเคยเจอในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ในปีก่อน ๆ แทนแล้วกัน

 

1. โดยส่วนตัวแล้ว เรา “อารมณ์เสีย” กับ World Film Festival of Bangkok 2024 มากกว่า BKKIFF 2025 ซึ่งอันนี้มันเป็นเรื่องของ “ดวง” จริง ๆ เหมือนช่วง WFFBKK 2024 นั้น เป็นช่วงที่เรา “ดวงซวย”

 

คือใน WFFBKK 2024 นั้น มันมีการฉายภาพยนตร์เรื่อง REVOLVING ROUNDS (2024, Johann Lurf + Christina Jauernik, Austria, A+30) ที่เป็นหนังสามมิติ แล้วเหมือนทางโรง SF CENTRAL WORLD มีปัญหาเหี้ยห่าอะไรก็ไม่รู้ ก็เลยเปลี่ยน “โรงฉาย” หนังเรื่องนี้ถึง 2 ครั้ง และสร้างปัญหาให้กับเราที่ซื้อตั๋วล่วงหน้าไปแล้ว ต้องคอยเอาตั๋วไปเปลี่ยนใหม่

 

เหมือนตอนที่มีประกาศเปลี่ยนโรงครั้งแรก เราก็เลยเอาตั๋วที่ซื้อมาแล้วไปเปลี่ยนเป็นตั๋วสำหรับโรงใหม่ ซึ่งก็ทำให้เราเสียเวลามาก

 

แล้วพอถึงวันฉายจริง 13 พ.ย. 2024 ก็มีประกาศเปลี่ยนโรงฉายใหม่อีก เราก็เลยจะเอาตั๋วไปเปลี่ยนอีกครั้ง แต่พนักงาน SF ในชั้นขายตั๋วบอกว่าไม่ต้องเปลี่ยนตั๋ว เราสามารถเอาตั๋วที่มีอยู่แล้วไปเข้าโรงใหม่ได้เลย

 

แต่พอเรายื่นตั๋วหนังนี้เพื่อจะเข้าไปดูหนังในโรง พนักงาน SF ตรงทางเข้าโรงหนังกลับไม่ให้เราเข้าไปดูหนัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พนักงาน SF มันไม่มีการประสานงานกันเลย เราก็เลยโมโหมาก ๆ โกรธสุดขีดมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เราควบคุมอารณ์ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว เราก็เลยแผดเสียงใส่พนักงานอย่างรุนแรง จนในที่สุดพนักงานก็ปล่อยให้เราเข้าไปดูหนังได้ แต่เราก็ยังคงโกรธเกลียดและไม่ให้อภัยเหตุการณ์นี้มาจนถึงปัจจุบัน

 

เพราะฉะนั้นถึงแม้ BKKIFF 2025 จะมีปัญหาเหี้ยห่ามากมายเพียงใด แต่โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันก็โกรธเกลียดและชิงชังการทำงานของพนักงาน SF ในช่วง WFFBKK 2024 มากกว่าค่ะ (มันควรจะประสานงานกันให้ดีกว่านี้ไหม) ซึ่งอันนี้มันเป็นเรื่องของดวงจริง ๆ เหมือนช่วง BKKIFF 2025 เป็นช่วงที่เรา “ดวงดี” แต่ช่วง WFFBKK 2024 เป็นช่วงที่เรา “ดวงซวย”

 

2. ช่วง Bangkok Film Festival ในปี 1998-2000 มีการประกาศตารางฉายหนังล่วงหน้าก็จริง แต่ก็เหมือนชอบมีการปรับเปลี่ยนตารางหนังที่จะฉายไปเรื่อย ๆ ในแต่ละวันในเทศกาลนะ เหมือนมีการโยกย้ายรอบฉายหนังบางเรื่อง หรือมีการ cancel หนังบางเรื่องอย่างกะทันหัน ถ้าจำไม่ผิด ช่วงนั้นเราก็เลย paranoid ต้องคอยมายืนจ้องตารางฉายหนังที่ติดไว้หน้าโรงหนังใน Emporium ในทุก ๆ วันของเทศกาล เพื่อตรวจสอบดูว่ามันมีการโยกย้ายรอบฉายอะไรบ้าง เราจะได้ปรับแผนใหม่ได้ แล้วยุคนั้นมันเป็นยุคที่ไม่มีการสื่อสารกันทางอินเทอร์เน็ตด้วย และเป็นยุคที่โทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลายด้วย (เราเพิ่งซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกในชีวิตในปี 2006) เพราะฉะนั้นคนดูก็เลยต้องมาตรวจสอบตารางฉายกันหน้าโรงหนังเท่านั้นเพื่อดูว่ามีการโยกย้ายรอบหนังอะไรบ้าง

 

3. ในปี 2008 มีการจัด “เทศกาลหนังทดลองกรุงเทพ ครั้งที่ 5” ในหลาย ๆ สถานที่ฉาย ซึ่งรวมถึงที่ Esplanade Ratchada

 

ในวันที่ 26 มี.ค. 2008 เรากับเพื่อนก็เลยไปที่ Esplanade Ratchada เพื่อจะดูหนังทดลองในโปรแกรม BEFF CORE – TRACK CHANGES แต่พอเราไปจะซื้อตั๋วหนังที่ชั้นสอง พนักงานตรงชั้นขายตั๋วของ Esplanade ก็บอกเราว่า “หนังรอบนี้สำหรับ VIP เท่านั้นค่ะ” เรากับเพื่อนก็เลยต้องกลับบ้าน ไม่ได้ดูหนังทดลองในโปรแกรมนี้เลย

 

แล้วหลังจากนั้นเราก็พบว่า จริง ๆ แล้วมันมีการฉายหนังทดลองนี้ให้ดู “ฟรี” และเพื่อน ๆ ของเราหลายคนก็ได้เข้าไปดู คือคนที่จะดูหนังทดลองนี้ ต้องขึ้นไปขอตั๋วจากเจ้าหน้าที่ใน “ชั้น 3” คือถ้าหากใครขึ้นไป “ชั้น 3” ก็จะได้ตั๋วหนังทดลองโปรแกรมนี้แล้วเข้าไปดูหนังได้ฟรี แต่ถ้าหากใครไปถามพนักงาน Esplanade ชั้นสอง พนักงานชั้นสองก็จะบอกว่า “รอบนี้สำหรับ VIP เท่านั้น” แล้วก็จะไม่ได้เข้าไปดูหนัง ต้องกลับบ้านมือเปล่า อย่างเช่นเรากับเพื่อน

 

คือปัญหาแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง มันประสานงานกันยังไงเนี่ย เหี้ยมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เรายังคงจำเหตุการณ์นี้ได้ไม่ลืมแม้เวลาจะผ่านมานาน 17 ปีแล้ว

 

4. และปัญหาที่ทำให้เราอารมณ์เสียตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ก็คือการจัดงาน retrospective ของ Ulrike Ottinger ใน World Film Festival of Bangkok 2005 ในงานนั้นมีการจัดฉายหนังหลายเรื่องของ Ottinger ด้วยฟิล์ม 35 มม.

 

แต่ปัญหาก็คือว่า หนังทุกเรื่องในโปรแกรมนี้ของ Ottinger เป็นหนังเยอรมันที่ไม่มีซับไตเติลภาษาอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าพนักงานในบริษัทของ Ottinger ที่เยอรมนี ส่งฟิล์มมาผิด คือแทนที่เขาจะส่งฟิล์มหนัง 35 มม.แบบที่มีซับไตเติลมาให้ เขากลับส่งฟิล์มที่ไม่มีซับเติลมาให้ ทั้ง MADAME X: AN ABSOLUTE RULER (1975, A+30), FREAK ORLANDO (1981, A+30), DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS (1984, A+30), JOAN OF ARC OF MONGOLIA (1989, A+30) และ TWELVE CHAIRS (2004, 3hrs 18mins)

 

ตอนนั้นเราก็เลยได้ดู MADAME X: AN ABSOLUTE RULER , FREAK ORLANDO , DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS  และ JOAN OF ARC OF MONGOLIA ในแบบไม่มีซับไตเติล เพราะเราซื้อตั๋วล่วงหน้าไปแล้ว แต่เราไม่ได้ดู TWELVE CHAIRS เพราะพอมันไม่มีซับไตเติล เราก็เลยขี้เกียจดู

 

เราเจ็บแค้นกับเหตุการณ์นี้มาก ๆ ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา แต่ความแค้นของเราเพิ่งทุเลาลงในช่วงที่โรคโควิดระบาดหนักในปี 2020-2021 เพราะในช่วงนั้นทางเมืองนอกมีการฉาย MADAME X: AN ABSOLUTE RULER , FREAK ORLANDO , DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS  และ JOAN OF ARC OF MONGOLIA ให้คนทั่วโลกได้ดูฟรีออนไลน์แบบมีซับไตเติลภาษาอังกฤษ เราก็เลยได้ดูหนัง 4 เรื่องนี้แบบมีซับไตเติลในที่สุด

 

แต่เราก็ยังคงไม่ได้ดู TWELVE CHAIRS (2004, 3hrs 18mins) แบบมีซับไตเติลภาษาอังกฤษอยู่ดีนะ เพราะฉะนั้นความแค้นที่เกิดขึ้นในปี 2005 ก็เลยยังไม่หมดสิ้นไป

 

5. นอกจากปัญหาของ “เทศกาลภาพยนตร์” แล้ว ในบางครั้งเราก็เจอปัญหาจาก “พนักงาน/เจ้าหน้าที่” ของสถานที่ฉายหนังด้วย

 

ปัญหาที่เราเคยเจอก็คือ ในช่วงที่ Filmvirus จัดฉายหนังที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปีแรก ๆ นั้น มีบางครั้งที่เราเดินทางไปดูหนัง แต่เจ้าหน้าที่ห้องสมุดไม่ให้เราเข้าไป โดยบอกเราว่า “วันนี้ไม่มีการฉายหนัง” เราก็เลยงงว่า มันมีการยกเลิกรอบฉายกะทันหันเหรอ ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลย ยุคนั้นน่าจะเป็นช่วงราว ๆ ปี 2000 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลาย เราต้องติดตามข่าวสารรอบฉายเหล่านี้จากทาง “หนังสือพิมพ์” เป็นหลัก เราก็เลยต้องเดินทางกลับบ้านมือเปล่า อุตส่าห์ฝ่ารถติดมาถึงม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจ้นทร์ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ดูหนังแต่อย่างใด

 

แล้วเราก็มารู้ในภายหลังว่า จริง ๆ แล้ววันนั้นมันมีการฉายหนังในห้องสมุด แต่อีเจ้าหน้าที่ห้องสมุดนี่แหละ ที่เสือกมาโกหกเรา ไม่ยอมให้เราเข้าไปดูหนัง

 

แล้วในรอบฉายสัปดาห์ต่อ ๆ มา เราก็เดินทางไปดูหนังที่ห้องสมุดนี้อีก แล้วก็เจออีเจ้าหน้าที่ห้องสมุด บอกเราว่า “วันนี้ไม่มีการฉายหนัง” อีกเหมือนเดิม เราก็เลยยอมจ่ายเงิน 20 บาท เพื่อเข้าไปใช้บริการห้องสมุดในฐานะคนนอก (ในยุคนั้น คนนอกม.ธรรมศาสตร์ ต้องจ่ายเงิน 20 บาท แล้วจะเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดได้ แต่ถ้าหากบอกว่า “มาดูหนัง” ก็จะได้เข้าห้องสมุดฟรี) แล้วพอเราจ่ายเงิน 20 บาทไปแล้ว และเข้าไปในห้องสมุดได้แล้ว เราก็เลยไปบอกเจ้าหน้าที่ที่ห้องฉายหนัง ว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่ห้องฉายหนังก็เลยขึ้นมาบอกเจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าห้องสมุดว่า วันนี้มันมีการฉายหนังจริง ๆ แล้วเจ้าหน้าที่ห้องสมุดก็เลยคืนเงิน 20 บาทให้กับเรา เหมือนอีเจ้าหน้าที่ห้องสมุดอ้างว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น (ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง) เป็นเพราะไม่มีคนบอกเธอมาก่อนว่า วันนี้มีการฉายหนัง

 

6. เราขอจดบันทึกปัญหาอีกอย่างนึงด้วย ซึ่งถือว่าเป็น “ปัญหาความผิดพลาดที่ส่งผลดีต่อตัวเราเองอย่างไม่คาดฝัน” 55555 คือในยุคนั้นหนังแต่ละเรื่องมักฉายด้วยฟิล์ม 16 มม. และ 35 มม. และเราเข้าใจว่า พอมันฉายด้วยม้วนฟิล์มแบบนี้ มันก็เลยตรวจสอบได้ยากว่า ทางเมืองนอกส่งฟิล์มมา “ถูกเรื่อง” หรือเปล่า

 

และก็มีอยู่ 2 ครั้ง ที่ทางเมืองนอกส่งฟิล์มภาพยนตร์มา “ผิดเรื่อง” แต่เรื่องที่ส่งมาผิด กลับเป็นหนังที่ดีกว่าที่วางโปรแกรมไว้เสียอีก 55555

 

6.1 ใน Bangkok Film Festival ปี 2000 เราซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปดูหนังเรื่อง SEDUCING MAARYA (2000, Hunt Hoe, Canada/India) ในวันที่ 24 ก.ย.ปี 2000 แต่พอเข้าไปในโรงแล้ว ทางผู้จัดงานก็มาประกาศในโรงหนังว่า พอแกะกล่องฟิล์มออกมาแล้ว ก็พบว่า ทางเทศกาลหนังอะไรสักอย่างที่เมืองนอกส่งหนังมาผิดเรื่อง ทางเมืองนอกส่งหนังเรื่อง UNDER THE PALMS (1999, Miriam Kruishoop, Netherlands, A+30) มาแทน เพราะฉะนั้นทางเทศกาลก็เลยฉาย UNDER THE PALMS แทน ส่วนใครที่ไม่อยากดูหนังเรื่องนี้ก็ refund ตั๋วได้

 

เราตัดสินใจดู UNDER THE PALMS ไป และก็พบว่าชอบหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงสุดขีด เราก็เลยเขียนความเห็นที่มีต่อหนังเรื่องนี้ลงใน IMDB ด้วย

 

ทางเทศกาล Bangkok Film Festival ประกาศจัดรอบฉาย SEDUCING MAARYA ใหม่ในวันที่ 28 ก.ย.ปี 2000 โดยให้ Hunt Hoe หิ้วฟิล์มหนังเรื่องนี้จากแคนาดามากรุงเทพด้วยตัวเอง (หรืออะไรทำนองนี้) เราก็เลยซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปดู SEDUCING MAARYA และก็พบว่า เราชอบ UNDER THE PALMS มากกว่าเยอะเลย 55555 สรุปว่าการส่งฟิล์มหนังมาผิดเรื่องช่วยให้เราได้ดูหนังที่ชอบสุดขีดโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

6.2 ในปี 1998 ทางสถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1 ประกาศจัดงาน Rainer Werner Fassbinder Retrospective โดยมีหนังเรื่อง ALI: FEAR EATS THE SOUL (1974) ฉายด้วย

 

แต่พอเรากับเพื่อน ๆ เดินทางไปดูหนังเรื่องนี้ที่เกอเธ่ เจ้าหน้าที่เกอเธ่ก็มาประกาศในโรงหนังว่า ทางเมืองนอกส่งฟิล์มหนังมาผิดเรื่อง ส่งเรื่อง CALM PREVAILS OVER THE COUNTRY (1975, Peter Lilienthal, West Germany, A+30) มาแทน เพราะฉะนั้นทางเกอเธ่ก็เลยจำเป็นต้องฉาย CALM PREVAILS OVER THE COUNTRY ในวันนั้น เราก็เลยได้ดูหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหนังที่เราชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป เหมือนตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราพบว่าหนังมันมี wavelength ที่ประหลาดมากจนเราจูนไม่ติด แต่พอดูจบแล้ว และหวนคิดถึงหนังเรื่องนี้ทีไร เราก็ยิ่งชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

 

และในอีกหลายสัปดาห์ต่อมา เราก็ได้ดู ALI: FEAR EATS THE SOUL ที่สถาบันเกอเธ่ ซึ่งก็เป็นหนังที่เราชอบอย่างรุนแรงสุดขีดเหมือนกัน แต่เราอาจจะชอบ CALM PREVAILS OVER THE COUNTRY ในระดับที่มากกว่าหรือเท่ากับ ALI: FEAR EATS THE SOUL

 

เหมือน “การส่งฟิล์มหนังมาผิดเรื่อง” ในครั้งนั้น ช่วยให้เราได้ดูหนังที่หาดูได้ยากมาก และเป็นหนังที่เราชอบสุดขีด ซึ่งก็ถือเป็นโชคดีของเราไป เพราะในปัจจุบันนี้ การหาดูหนังของ Fassbinder น่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่การหาดูหนังของ Peter Lilienthal ยังคงเป็นเรื่องที่ยากมาก

+++

 

Favorite Soundtrack from CRAYON SHIN-CHAN THE MOVIE: SUPER HOT! THE SPICY KASUKABE DANCERS (2025, Masakazu Hashimoto, Japan, animation, A+30) ดีใจสุดขีดที่หนังชินจังภาคนี้นำเอาเพลง DANGER ZONE ของ Kenny Loggins มาใช้ด้วย ซึ่งเราเดาว่าการใช้เพลงนี้ในชินจังในฉากนั้นคงเป็นการจงใจ tribute ให้หนังเรื่อง TOP GUN (1986, Tony Scott, A+30) ส่วนฉากอื่น ๆ ในหนังชินจังภาคนี้คงเป็นการ tribute ให้หนังเรื่องอื่น ๆ ตั้งแต่ RRR (2022, S.S. Rajamouli, India, A+30) ไปจนถึง MISSION: IMPOSSIBLE

 

ดีใจที่เพลง DANGER ZONE ได้รับยอดวิวไปแล้ว 136 ล้านวิว แต่ถ้าหากพูดถึงเพลงประกอบหนังเรื่อง TOP GUN แล้ว เพลงที่เราชอบที่สุดน่าจะเป็น MIGHTY WINGS ของ Cheap Trick

https://www.youtube.com/watch?v=siwpn14IE7E&list=RDsiwpn14IE7E&start_radio=1

++++

 

DORAEMON: NOBITA’S ART WORLD TALES (2025, Yukiyo Teramoto, Japan, animation, A+30) นี่ถือเป็น one of my most favorite films I saw in 2025 เลย ด้วยเหตุผลที่ส่วนตัวมาก ๆ เพราะว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง ทั้งในตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ในวันที่ 24 ต.ค. และทุกครั้งที่เรานึกถึงหนังเรื่องนี้ในช่วง 16 วันที่ผ่านมา ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรหนังเรื่องนี้ถึงทำให้เราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง

 

คือเราร้องห่มร้องไห้ในฉากที่โนบิตะหลุดเข้าไปในภาพวาดโง่ ๆ ของตัวเอง แล้วเจอกับโดเรมอน “เวอร์ชั่นต๊อกต๋อย” (ตามเสียงพากย์ภาษาไทย) หรือที่เราขอเรียกว่า “โดเรมอนในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอก” น่ะ มันเป็นโดเรมอนที่แทบไม่เหลือสภาพความเป็นโดเรมอนอีกต่อไปแล้ว เป็นโดเรมอนที่สิ้นไร้ไม้ตอก จะพังมิพังแหล่มาก ๆ แต่โดเรมอนตัวนั้นก็ยังคงเปี่ยมด้วยความรักและความหวังดีต่อโนบิตะ และพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะช่วยชีวิตของโนบิตะเอาไว้ให้ได้

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เราถึงร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงให้กับฉากนี้ และเราก็ร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึงฉากนี้ในช่วง 16 วันที่ผ่านมา เราเดาว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะว่า “โดเรมอนในสภาพจะพังมิพังแหล่” นั้น มันทำให้เรานึกถึง “ลูกหมี” ของเรา มันเหมือนความรักความผูกพันระหว่างโนบิตะกับโดเรมอนในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอกนั้น มันทำให้นึกถึงความรักความผูกพันระหว่างเรากับตุ๊กตาหมีของเรา

 

เราก็เลยขอยกให้ DORAEMON: NOBITA’S ART WORLD TALES (2025, Yukiyo Teramoto, Japan, animation, A+30) เป็นหนึ่งในหนังที่เราชอบที่สุดที่ได้ดูในปีนี้ และก็ถือเป็นหนึ่งในโดเรมอนภาคที่เราชอบมากที่สุด โดยแข่งกับภาค DORAEMON: NOBITA’S DIARY ON THE CREATION OF THE WORLD (1995, Tsutomu Shibayama, Japan, animation, A+30) ที่เราชอบสุดขีดเหมือนกัน

 

อีกสาเหตุนึงที่ทำให้เราชอบภาค NOBITA’S ART WORLD TALES เป็นเพราะว่า ในภาคนี้โนบิตะแทบไม่มีโอกาสได้แสดง “ความโง่” และ “ความขี้เกียจ” ออกมาด้วยน่ะแหละ 55555 เพราะเราเกลียดผู้ชายที่ “โง่” และ “ขี้เกียจ” มาก ๆ และเราก็มีปัญหากับพฤติกรรมนี้ของโนบิตะทุกครั้งในโดเรมอนแต่ละภาค แต่พอในภาค ART WORLD TALES นี้ โนบิตะแทบไม่ได้แสดงนิสัยแบบนี้ออกมา มันก็เลยช่วยให้เรามีความสุขกับการดูหนังเรื่องนี้มาก ๆ

 

จริง ๆ แล้วเราชอบ “บทภาพยนตร์” ของ  DORAEMON: NOBITA’S ART WORLD TALES (2025, Yukiyo Teramoto, Japan, animation, A+30) กับ CRAYON SHIN-CHAN THE MOVIE: SUPER HOT! THE SPICY KASUKABE DANCERS (2025, Masakazu Hashimoto, Japan, animation, A+30) อย่างรุนแรงมาก ๆ ด้วย เพราะว่าในบทหนังสองเรื่องนี้ ผู้เขียนบทเหมือนแอบหยอดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ในช่วงต้นเรื่อง ซึ่งดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มีความสำคัญอะไรทั้งสิ้น แต่อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สลักสำคัญที่ถูกหยอดไว้เรื่อย ๆ ในระหว่างที่เนื้อเรื่องดำเนินไปนี่แหละ กลับกลายเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างรุนแรงในฉากไคลแมกซ์ของหนัง 2 เรื่องนี้ ซึ่งเราก็ชอบอะไรแบบนี้มาก ๆ

 

 

Sunday, November 09, 2025

CHOOSING FILMS TO WATCH IN A FILM FESTIVAL IS LIKE STOCK PICKING

 

ตัดสินใจถูกที่เราเลือกดู LANDMARKS (2025, Lucrecia Martel, Argentina, documentary, A+30) แทนที่จะไปดู KOKUHO ในวันสุดท้ายของ BKKIFF 2025 (15 ต.ค.) เพราะเราเก็งไว้แล้วว่า โอกาสที่จะได้ดู KOKUHO ในโรงใหญ่ในอนาคต มันสูงกว่าโอกาสที่จะได้ดู LANDMARKS ในอนาคต บางทีเราก็แอบรู้สึกว่าการเลือกดูหนังใน "เทศกาลภาพยนตร์" ก็เหมือนกับการเล่นหุ้น ต้องเก็งว่าหุ้นตัวไหน (หรือหนังเรื่องไหน) ควรเข้าช้อนซื้อ (หรือควรดู) ในเวลาไหน เพราะทุนทรัพย์ (หรือเวลาในการดูหนังในช่วงเวลานั้น ๆ) มีจำกัด ถ้าเก็งกำไรได้ถูก (หรือเลือกดูหนังได้ถูกเรื่อง) ก็โชคดีไป 55555

 

Edit เพิ่ม: เรามี “ทุนด้านสุขภาพ” จำกัดด้วย เราไม่สามารถนอนดึกมาก ๆ เหมือนคนอื่น ๆ ได้ เราก็เลยไม่ได้ดู LANDMARKS ในรอบดึกของวันที่ 14 ต.ค. เรามาดูในวันที่ 15 ต.ค.แทน (โดยตอนนั้นเราต้องเลือกว่าจะดู LANDMARKS หรือ KOKUHO ในเย็นวันที่ 15 ต.ค.) แต่ถ้าหากใครมี “ทุนด้านสุขภาพ” สูง เขาก็สามารถดูได้ทั้ง LANDMARKS ในรอบดึกของวันที่ 14 ต.ค. และดู KOKUHO ในวันที่ 15 ต.ค.ได้ หรืออาจจะเปรียบเทียบได้ว่า เราไม่สามารถลงทุนได้มากเท่ากับนักลงทุนบางท่านที่มีเงินทุนมากกว่าเรา (หรือมีสุขภาพดีกว่าเรา) 55555

+++

 

กิน Chapati เพื่อเป็นพลีแด่หนังเรื่อง CRAYON SHIN-CHAN THE MOVIE: SUPER HOT! THE SPICY KASUKABE DANCERS (2025, Masakazu Hashimoto, Japan, animation, A+30) พอดูหนังเรื่องนี้จบแล้วทำให้อยากกิน Chapati อย่างรุนแรง

 

ส่วนแกงข้าง ๆ คือ paneer makhani creamy

+++

 

BLESSED (2025, Chatnapa Amornratpipat, 29min, A+25)

 

1. ชอบการคิดค้นลัทธิประหลาด ๆ อะไรแบบนี้แล้วเอามาใส่ไว้ในหนัง

 

2. ชอบความระหองระแหงระหว่างแม่กับลูกสาวในหนังเรื่องนี้ด้วย

 

3. นึกว่าต้องฉายควบกับ THE POWER OF THE UNIVERSE พลังจักรวาล (2018, Kullapat Klatanakan, documentary, A+30) และ LOURDES (2009, Jessica Hausner, Austria, A+30) เพราะหนังทั้ง 3 เรื่องพูดถึงความเชื่อในการรักษาโรคโดยอาศัยพลังเหนือธรรมชาติเหมือนกัน

++++

 

หลังจากดู “อาถรรพ์สมองผี” (1983, Lo Lieh, Hong Kong, A+30) และหนังหลาย ๆ เรื่องของ Kuei Chih-hung ไปแล้ว ก็เลยทำให้อยากดูหนัง cult ของฮ่องกงในทศวรรษ 1970-1980 อีกหลายเรื่องมาก ๆ มั่นใจว่ามันต้องมีหนังเฮี้ยน ๆ อีกมากมาย และควรมีคนจัดเทศกาลภาพยนตร์รีโทรหนัง cult ของฮ่องกงเหล่านี้

 

ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องนี้ด้วย THRILLING BLOODY SWORD (1981, Chang Hsin-yi) หนังเรื่องนี้มีให้ดูในยูทูบนะ แต่เรายังไม่ได้ดู เราดูแค่ trailer แล้วก็กราบตีนมาก ๆ นึกว่าต้องปะทะกับหนังของ “สมโพธิ แสงเดือนฉาย” ทำไมหนังยุคนั้นมันถึง cult ได้ขนาดนี้

 

คือแค่เห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ก็รู้ว่าต้องเข้าชิงรางวัล BEST COSTUME DESIGN อย่างแน่นอน 55555

++++

 

กินอาหารเวียดนามเพื่อเป็นพลีแด่หนังเรื่อง KY NAM INN (2025, Leon Le, Vietnam, A+30), ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ที่น่ารักมาก ๆ และ Lien Binh Phat ดาราหนุ่มสุดหล่อของหนังเรื่องนี้

 

พอกินแล้วก็เลยพบว่า ตัวเองชอบผักแพวมาก ๆ

 

ฉันรักเขา Lien Binh Phat ดารานำของ KY NAM INN (2025, Leon Le, Vietnam, A+30)

 

ภาพไม่ได้มาจากหนังเรื่องนี้นะ

+++

 

หนังสั้นเรื่อง SON ของ Micha Volders ผู้กำกับชาวเบลเยียม ได้ฉายใน Itaewon Film Festival นำแสดงโดย วชร กัณหา

https://www.instagram.com/p/DOqNeZUCKT3/

 

Saturday, November 08, 2025

BONE VOYAGE

 

BONE VOYAGE (2025, Suppachai Jantimee, 23min, A+/A)

 

1. หนังมีไอเดียสร้างสรรค์ที่ดีมาก เราชอบที่ไอเดียด้านเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้มันดูแปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร และเราว่าจุดนี้จะเป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้เราจดจำหนังเรื่องนี้ได้เป็นเวลานาน

 

2. แต่เสียดายที่เราไม่ซื้อไอเดียของหนังเรื่องนี้น่ะ คือเราชอบ “ความแปลกใหม่” ของมัน แต่โดยส่วนตัวแล้วเราเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าวิญญาณจะถูกผูกติดอยู่กับเถ้ากระดูก เราก็เลยรู้สึกก้ำกึ่งกับไอเดียของหนังเรื่องนี้

 

3. แล้วพอมันเป็นหนังที่พูดถึงความรักความผูกพันระหว่างสมาชิกครอบครัว เราก็ไม่อินกับหนังไปเลย 55555 ซึ่งจุดนี้ไม่ใช่ความผิดของหนังแต่อย่างใด

 

4. แต่ก็ชอบที่หนังเรื่องนี้มันมีฉากหน้าเป็นหนังผีแอบเสิร์ด ตลกหน่อย ๆ ประหลาดหน่อย ๆ แต่จริง ๆ แล้วหนังมันคงสะท้อนชีวิตของผู้คนโดยทั่วไปที่พอสูญเสียพ่อหรือแม่ คนคนนั้นคงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง หรือต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อรับมือกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นให้ได้

+++

ต้องรอถึง 1 ม.ค.กว่าจะได้ดู You and Idol Pretty Cure the Movie: For You! Our Kirakilala Concert! (2025, Hiroyuki Yoshino, Japan, animation, 71min) แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะจะได้ไม่ชนกับเทศกาลหนังสั้น

 

อยากดูหนังเรื่องนี้อย่างสุดขีด "น้ำฝน น้ำค้าง น้ำร้อน" (1988, Michael Mak) นำแสดงโดย จงฉู่หง, จางม่านอวี้, เจิ้นอวี้หลิง นึกว่าต้องรีบจองบทว่าเราจะรับบทเป็นใครในหนังเรื่องนี้ ก่อนที่จะถูกเพื่อนกะเทยแย่งบทไป

Friday, November 07, 2025

LOST CAT (2025, Thanabat Wiphachon, 22min, A+30)

 

SENSES OF CINEMA ออนไลน์ฉบับใหม่มีบทความน่าอ่านเยอะแยะมากมาย อย่างเช่น

 

1. บทความ 2 ชิ้นเกี่ยวกับมิวสิควิดีโอของ Madonna

 

2. บทความ 2 ชิ้นที่วิเคราะห์มิวสิควิดีโอของ Kylie Minogue โดยเฉพาะ MV เพลง WHAT DO I HAVE TO DO

 

3. บทความเกี่ยวกับหนังดี ๆ หลายเรื่องในเทศกาลภาพยนตร์ Locarno ซึ่งหนังเหล่านี้ต่างก็เพิ่งเข้ามาฉายในเทศกาล BKKIFF และเป็นหนังที่จะติดอันดับประจำปีของเราอย่างแน่นอน อย่างเช่น GOD WILL NOT HELP, DRACULA (Radu Jude), DRY LEAF, “TWO SEASONS, TWO STRANGERS”

 

4. และที่เราร้องกรี๊ดสุดเสียง ก็คือบทความเกี่ยวกับหนังเรื่อง RESURRECTION (2025, Bi Gan, China, A+30) เพราะเรามองว่าหนังเรื่องนี้มันพูดถึงความกังวลเรื่อง Death of Cinema และตัวบทความนี้ก็น่าจะพูดถึงประเด็นเดียวกัน แต่เรายังไม่ได้อ่านบทความนี้นะ

 

เนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความนี้ของ Wang Xinyuan


Resurrection invites the audience to reflect on cinema as a way of world-perceiving, its origin, and its future. The dialogue with André Bazin could be made out in the last camera movement of the single-shot sequence: in the foreground is the young couple, whose romance just survived the last night of the last century; in the background the boat window frames a CinemaScope aspect ratio, the “cinematic” aspect ratios adopted by the previous three stories: a frame-within-a-frame, a mise-en-abyme (centripetal), but also a window-within-a-window, a cache placed over the sunrise scene on the river (centrifugal). This composition therefore creates a cinema/reality dichotomy within the film. As the camera slowly moves towards the window, gradually expanding the aspect ratios, filling the view with the pink rays of the sunrise, Resurrection manages to take us beyond the screen, to confront us with the millennial daybreak of a “post-cinematic” world, perceived by senses in secret transformation.

++++

 

ตอนนั้นมีการจัด KING HU RETROSPECTIVE อย่างไม่เป็นทางการ เราก็เลยได้ดูหนังหลาย ๆ เรื่องของ King Hu ในงานนี้ และส่งผลให้ THE FATE OF LEE KHAN (1973, King Hu, Hong Kong/Taiwan) ติดอันดับ 7 ของเราประจำปี 2011

+++

 

LOST CAT (2025, Thanabat Wiphachon, 22min, A+30)

 

1. ชอบหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรง ชอบที่หนังมันนำเสนอตัวละครที่เหมือนประสบปัญหาหลายอย่างในชีวิตพร้อม ๆ กัน ซึ่งได้แก่ แมวหาย, ว่างงาน และต้องสานสัมพันธ์กับพ่อ

 

เหมือนอย่างที่เราเคยเขียนไปหลายครั้งแล้วว่า เราชอบหนังทำนองนี้เพราะมันทำให้นึกถึงชีวิตของตัวเราเองที่อาจจะประสบปัญหาหลายอย่างประดังประเดเข้ามาในเวลาเดียวกันน่ะ ทั้งปัญหาครอบครัว, การเงิน, การทำงาน, สุขภาพ, อุบัติเหตุ, ตบกับเพื่อน, หาผัวไม่ได้, ตบกับเพื่อนบ้าน, ตบกับแม่ค้า, etc. เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ค่อยชอบหนังที่พยายามลดทอนความซับซ้อนของชีวิตลงเพื่อให้เหลือประเด็นหลักประเด็นเดียวอะไรทำนองนี้ เรามักจะชอบหนังที่นำเสนออะไรต่าง ๆ ที่เหมือนไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับประเด็นหลักมากกว่า เพราะเราว่าหนังแบบนี้นี่แหละที่ตรงกับชีวิตเรา

 

2. เราดูหนังเรื่องนี้ผ่านมานานหลายสัปดาห์แล้ว เราก็เลยจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่ถ้าหากเราจำไม่ผิด เรารู้สึกเหมือนกับว่า สิ่งที่มีความสำคัญ หรือสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ ต่อตัวพระเอก จริง ๆ แล้วก็คือ “แมว” ไม่ใช่ “พ่อบังเกิดเกล้า” ของพระเอกหรือเปล่านะ ถ้าหากเราจำผิดเราก็ต้องขออภัยด้วย

 

3. จำได้ว่าเราชอบฉากพระเอกคุยกับพ่อมาก ๆ แต่เราจำรายละเอียดในฉากนั้นไม่ได้แล้ว

 

4. อยากให้มีคนทำ retrospective ภาพยนตร์ที่แสดงโดย “สายฟ้า ตันธนา” แล้ววิเคราะห์ “บทบาทของพ่อ/ผู้ชายวัยกลางคนในสังคมไทย” จากหนังเหล่านี้ 55555

+++

 

ฉันรักเขา Ben Wang from THE LONG WALK (2025, Francis Lawrence, A+30)

 

รู้สึกเฉย ๆ กับ Ben Wang มาก ๆ ตอนที่เขาเล่นเป็นพระเอกใน KARATE KID: LEGENDS (2025, Jonathan Entwistle, A-) แต่ทำไมพอเขามาเล่นเป็นตัวประกอบใน THE LONG WALK เรากลับรู้สึกว่าเขาน่ารักมาก ๆ ชอบเวลาที่เขาเดินงุด ๆ พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะก้าวเดินต่อไป บางทีอาจจะเป็นที่ “ตัวละคร” ที่เขาเล่น ที่ทำให้เรารู้สึกชอบเขาอย่างรุนแรงขนาดนี้

 

เป็นเรื่องบังเอิญดีที่เราได้ดู THE LONG WALK ในเวลาไล่เลี่ยกับ BEFORE YOUR EYES – VIETNAM (1981, Harun Farocki, A+30), THE MASTERMIND (2025, Kelly Reichardt, A+30) และ PRIMITIVE WAR (2025, Luke Sparke, A+15) เพราะหนังทั้ง 4 เรื่องนี้พูดถึงสงครามเวียดนามในแง่มุมที่ไม่ซ้ำกันเลย เหมือนหนังทั้ง 4 เรื่องนี้ช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกัน 55555

 

1. THE MASTERMIND พูดถึงประชาชนที่เป็น ignorant ในช่วงสงครามเวียดนาม

 

2. THE LONG WALK ทำให้เรานึกถึงผู้ชายสหรัฐจำนวนหนึ่งที่เข้าร่วมสงครามเวียดนามเพราะถูกเกณฑ์ทหาร และเพราะถูกแรงกดดันต่าง ๆ จากสังคม และพวกเขาเผชิญกับความยากลำบากอย่างแสนสาหัสในช่วงสงคราม

 

3. PRIMITIVE WAR แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันนี้บาดแผลที่สังคมได้รับจากสงครามเวียดนามหายดีในระดับหนึ่งแล้ว สิ่งนี้ก็เลยนำมาใช้เป็นฉากหลังในหนังแฟนตาซีแบบนี้ได้ 555 (ในขณะที่เรายังไม่เห็นว่า เหตุการณ์ 9/11 ถูก exploit แบบนี้ ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพราะว่า บาดแผลจากเหตุการณ์ 9/11 ยังไม่หายสนิท)

 

4. BEFORE YOUR EYES – VIETNAM แสดงให้เห็นถึงประชาชนกลุ่มที่ต่อต้านสงครามเวียดนาม และหนังเหมือนเน้นสำรวจว่า ทำไมประชาชนกลุ่มนี้ถึง “ไม่มีความสุข” ทั้ง ๆ ที่เวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะในสงคราม