Saturday, May 20, 2006

JEAN-CLAUDE BIETTE

25 oct 2003

วันนี้ดูไป 5 เรื่องค่ะ แต่เป็นการดูหนังใหม่ 4 เรื่อง และดู Divine Intervention ซ้ำอีก 1 รอบ

หนังที่ชอบน้อยที่สุดในวันนี้คือ Stormy Weather (B-) (2003, Pedro Olea) จากสเปนค่ะ หนังถ่ายสวยดี แต่ไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับตัวละครในเรื่องเท่าไหร่ ตัวละครนำมี 4 ตัว แต่รู้สึกผูกพันอยู่แค่ตัวเดียวคือ Sara (หรือที่มีชื่อเล่นว่า Skinny) ที่รับบทโดย Maria Barranco ตอนแรกรู้สึกเฉยๆกับตัวละครตัวนี้ แต่ดูไปดูมารู้สึกว่าฉากไหนที่มีตัวละครตัวนี้อยู่ ฉากนั้นจะรู้สึกว่ามันมีชีวิต ในขณะที่ตัวละครอื่นๆไม่ทำให้ดิฉันรู้สึกแคร์สักเท่าไหร่ แต่เนื่องจาก Sara บทน้อย ความรู้สึกชอบที่มีต่อหนังเรื่องนี้ก็เลยน้อยตามไปด้วย (ความรู้สึกแบบนี้เคยเกิดกับหนังเรื่อง Spy Game ที่นำแสดงโดยแบรด พิตต์ กับโรเบิร์ต เรดฟอร์ด และกำกับโดยโทนี สก็อตต์ เพราะตัวละครตัวเดียวในเรื่องที่ดิฉันรู้สึกใส่ใจคือตัวละครที่แสดงโดยชาร์ลอทท์ แรมพลิง แต่เนื่องจากเธอมีบทแค่ประมาณ 3 นาทีใน Spy Game ความรู้สึกชอบที่มีต่อหนังเรื่องนี้ก็เลยน้อยไปตามเวลาบนหน้าจอของเธอ)

อย่างไรก็ดี Stormy Weather ก็มีการเปิดเรื่องที่น่าสนใจดีค่ะ ช่วง 15 นาทีแรกใช้วิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจดี และการใช้สภาพอากาศเป็นเหมือนตัวละครตัวนึงในเรื่องก็น่าสนใจดีเหมือนกัน

เคยดูเรื่อง The Fencing Master (1992) ของ Pedro Olea รู้สึกชอบหนังเรื่องนั้นในระดับปานกลางเหมือนกัน

อันดับ 3 ประจำวันนี้คือ The Experiment (B+) ค่ะ หนังตื่นเต้นดี แต่เสียดายที่ฉายเป็นดีวีดี หนังเลยมัวและมืดมาก

ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงการทดลองในหนังเรื่อง I...comme Icare (I For Icarus) (A+) (1979, Henri Verneuil) ค่ะ ชอบการทดลองในหนังเรื่องนั้นมาก แต่ดูนานแล้ว เลยจำไม่ค่อยได้ ถ้าจำผิดก็ขออภัยอย่างรุนแรงไว้ ณ ที่นี้ด้วย ใน I For Icarus ถ้าจำไม่ผิด จะมีการทดลองนึงที่ให้ผู้เข้าทดลองแบ่งเป็นคนถูกไต่สวนกับคนไต่สวน โดยคนถูกไต่สวนจะถูกจับมัดกับเก้าอี้ และคนไต่สวนจะอยู่ที่แผงวงจรคุมเครื่องมือ เมื่อผู้ถูกไต่สวนไม่ร่วมมือกับการไต่สวน คนคุมการทดลองจะสั่งให้ผู้ไต่สวนกดสวิทช์หรืออะไรสักอย่างเพื่อให้ผู้ถูกไต่สวนถูกไฟฟ้าช็อต และถ้าผู้ถูกไต่สวนไม่ร่วมมืออีก คนคุมการทดลองก็จะสั่งให้ผู้ไต่สวนกดสวิตช์ไฟฟ้าช็อตในระดับความแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้ถูกไต่สวนก็จะพยายามขอออกจากการทดลอง แต่ผู้คุมการทดลองก็ไม่อนุญาต การทดลองนี้ถ้าจำไม่ผิดมีจุดประสงค์ที่แท้จริงเพื่อทดสอบการยอมรับคำสั่งโง่ๆของมนุษย์ เพราะที่จริงแล้วการทดลองเกือบทั้งหมดเป็นการจัดฉาก และผู้ถูกไต่สวนที่ถูกไฟฟ้าช็อตจริงๆแล้วก็ไม่ใช่หนูทดลอง แต่เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่แสร้งทำว่าตัวเองเป็นหนึ่งในหนูทดลอง ส่วนหนูทดลองตัวจริงมีเพียงแค่ผู้ไต่สวนที่คุมเครื่องมือทรมานนักโทษเท่านั้น การทดลองนี้พบว่าคนบางคนจะกล้าขัดคำสั่งโง่ๆตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น และปฏิเสธที่จะทรมานคนอื่นในทันที ยอมออกจากการทดลองไปเลยแทนที่จะกดปุ่มช็อตไฟฟ้าเพื่อนร่วมการทดลอง แต่คนส่วนใหญ่ยอมทำตามคำสั่งที่โหดร้ายไปเรื่อยๆโดยไม่รู้จักมีความคิดเป็นของตัวเอง ยินดีที่จะทำตามคำสั่งที่ไร้เหตุผลไปเรื่อยๆทั้งๆที่เห็นคนอื่นถูกทรมานอยู่ต่อหน้า ดิฉันชอบการทดลองใน I For Icarus มากค่ะ เพราะคิดว่าการทดลองในหนังเรื่องนั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงสาเหตุของปัญหาบางปัญหาได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือปัญหาที่มีต้นเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่มนุษย์บางคนไม่รู้จักขัดคำสั่งที่โง่ๆหรือไม่รู้จักขัดคำสั่งที่ไร้มนุษยธรรม

อันดับ 2 ของวันนี้คือ Unknown Pleasures (A+) ค่ะ ชอบหลายฉากในหนังเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะฉากที่นางเอกเดินข้ามพื้นที่โล่งๆมาที่ถนน แล้วเสี่ยวจี้ก็มามองเธอแล้วเธอเบือนหน้าไปทางอื่น กับชอบฉากที่บิ่นบิ่นเอามือถือไปให้แฟน แล้วทั้งสองก็นั่งทอดอาลัยตายอยากกันอยู่พักนึง แล้วแฟนก็ขี่จักรยานวนไปวนมา ถ้าหนังจบลงที่ฉากนี้ก็จะชอบหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอีกเยอะมาก เพราะใจจริงแล้วไม่ค่อยชอบ 2-3 ฉากสุดท้ายของหนังสักเท่าไหร่ (แต่ก็ยอมรับว่า 2-3 ฉากสุดท้ายนี้เป็นฉากที่ฮาดี)

หนังที่ชอบที่สุดในวันนี้คือหนังฝรั่งเศส Saltimbank (A+) (2003, Jean-Claude Biette) ค่ะ เพราะเป็นหนังแนวที่ตัวเองชอบ หนังทั้งเรื่องแทบไม่มีเนื้อเรื่องและแทบไม่มีพล็อตเลย แต่กลับตรึงความสนใจของดิฉันไว้ได้ตลอดทั้งเรื่อง และก็เต็มไปด้วยตัวละครมากมายที่ดิฉันรู้สึกสนใจและใส่ใจ หนังเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตของตัวละครกลุ่มนึงที่มีความผูกพันอยู่กับโรงละครเวทีแห่งนึง ทั้งนายทุนของโรงละคร, นักแสดง, ผู้กำกับ, ญาติของนายทุน, คนที่ทำงานในร้านอาหารละแวกใกล้ๆโรงละคร และคนอื่นๆที่มีความเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้ ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะเล่าถึงชีวิตตัวละครหลายตัว แต่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ตรงข้ามกับหนังเรื่อง Magnolia อย่างมากๆค่ะ เพราะตลอดทั้งเรื่องนี้แทบไม่มีอะไรที่หวือหวาเลย ความขัดแย้งระหว่างตัวละครและความขัดแย้งในใจตัวละครก็ไม่มีการนำเสนอออกมาอย่างเด่นชัด แต่ก็รู้สึกได้อยู่ดีถึงความขัดแย้งเหล่านี้

หนังเรื่องนี้มีบางอย่างเหมือนกับหนังเรื่อง Va Savoir (A) ของฌาคส์ รีแวทท์ด้วย นั่นก็คือนำแสดงโดย Jeanne Balibar เหมือนกัน และเกี่ยวข้องกับละครเวทีเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าใน Va Savoir การแสดงจะเป็นธรรมชาติกว่ามาก ส่วนใน Saltimbank ดิฉันรู้สึกว่าการแสดงมันดูไม่ค่อยเหมือนชีวิตจริงยังไงไม่รู้ มันดูเหมือนกับว่าตัวละครบางตัวกำลังพูดบทอยู่บนเวทีละครทั้งๆที่ไม่ได้อยู่บนเวที แต่สิ่งนึงที่ทำให้ชอบ Saltimbank มากก็คือตอนจบค่ะ จบได้ตรงกับที่ใจต้องการอย่างมากๆ ในขณะที่ Va Savoir ดิฉันไม่ชอบตอนจบเลย และนั่นคือสาเหตุนึงที่ทำให้ Va Savoir อาจเป็นหนังของฌาคส์ รีแวทท์ที่ดิฉันชอบน้อยที่สุด ถึงแม้การแสดงของตัวละครบางตัวใน Saltimbank ทำให้ดิฉันรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แต่ดิฉันก็รู้สึกว่าตัวละครใน Saltimbank มันดูเหมือนเป็นมากกว่าตัวละครยังไงไม่รู้

ดู Saltimbank แล้วนึกถึงคำพูดที่ว่า "ตัวละครมีชีวิตของตัวเองมาตั้งแต่ก่อนหนังเริ่ม และยังมีชีวิตของตัวเองต่อไปหลังจากหนังจบ" เพราะตัวละครใน Saltimbank ทำให้ดิฉันรู้สึกยังงั้นจริงๆ รู้สึกจริงๆว่าพวกเขามีชีวิตและผ่านอะไรต่างๆมามากมายก่อนหนังเริ่ม และจะต้องเผชิญปัญหาชีวิตต่างๆของตัวเองต่อไปหลังหนังจบ ตัวละครในหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีหน้าที่มาเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมและไม่ได้มีหน้าที่เป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เนื้อเรื่องดำเนินไปเท่านั้น

ฉากที่ชอบมากใน Saltimbank คือฉากที่ Balibar ถือกล่องใส่รองเท้าแกว่งไปแกว่งมาค่ะ และเธอก็พูดว่ามันเบาดี (หรืออะไรทำนองนี้) Pascal Cervo ที่รับบทเป็น Felix ในเรื่องนี้น่ารักมาก

ชอบหน้าตาของ Ima De Ranedo ที่รับบทเป็น Ana Maria Toldra ในหนังเรื่องนี้ด้วย

รูปนี้เป็นรูปของ Pascal Cervo ค่ะ (คนทางซ้าย) แต่ไม่ได้มาจากหนังเรื่อง Saltimbank รูปนี้มาจากหนังเกย์เรื่อง Full Speed

No comments: