Monday, August 31, 2015

WES CRAVEN’S FILMS IN MY PREFERENTIAL ORDER

WES CRAVEN’S FILMS IN MY PREFERENTIAL ORDER

1.SCREAM (1996)

2.NEW NIGHTMARE (1994)

3.DEADLY BLESSING (1981)
 เป็นหนังสยองขวัญที่มีตัวละครหญิงแรงๆประมาณ 6 ตัว ดูแล้วเลือกไม่ถูกว่าอยากเป็นตัวละครตัวไหนในหนังเรื่องนี้

4.THE LAST HOUSE ON THE LEFT (1972)

5.DEADLY FRIEND (1986) จำได้ว่าหนังเรื่องนี้ตอนฉายในไทยใช้ชื่อว่า “ศพกระดิก” ซึ่งได้กลายมาเป็นคำด่าของพวกเราในยุคนั้น คือยุคนั้นพอพวกเราเกลียดใครก็จะด่าคนนั้นว่า “อีศพกระดิก”

6.SCREAM 3 (2000)

7.A NIGHTMARE ON ELM STREET (1984)

8.SHOCKER (1989)

9.SCREAM 4 (2011)

10.MUSIC OF THE HEART (1999)

11.SCREAM 2 (1997)

12.RED EYE (2005)

13.PARIS, JE T’AIME: PERE-LA CHAISE (2006)

14.CURSED (2005)

15.MY SOUL TO TAKE (2010)

16.THE TWILIGHT ZONE: A LITTLE PEACE AND QUIET (1985)

นอกนั้นคือยังไม่ได้ดู หรือจำไม่ได้ว่าเคยดูหรือเปล่า



Sunday, August 30, 2015

1021 (2014, Vicknesh Saravanan, Singapore, C)

1021 (2014, Vicknesh Saravanan, Singapore, C)

เป็นหนังทมิฬเรื่องที่สองของสิงคโปร์ แต่เราดูแล้วก็รู้สึกว่าหนังอาจจะมีดีแค่ในแง่ความเป็น “cultural object” ของมันนะ

สิ่งที่น่าสนใจในหนังก็รวมถึงการสะท้อนภาพสิงคโปร์ได้ต่ำช้ามากๆ ราวกับว่าอยู่ในหนังอย่าง BAD LIEUTENANT: PORT OF CALL – NEW ORLEANS (2009, Werner Herzog, A+30) และเราว่าโทนซีเรียสของหนังเรื่องนี้มัน work ในบางฉาก แต่พอมันมารวมกับ “ความสะใจในฉากรุนแรง” แล้ว มันให้ความรู้สึกที่ “มากเกินไป” สำหรับเรา

คือหนังเรื่องนี้เป็นหนัง feel bad แต่มันไม่ใช่หนัง feel bad แบบ Michael Haneke หรือ Robert Bresson เพราะหนังกลุ่มนั้นมันจะหลีกเลี่ยงการนำเสนอภาพความรุนแรง แต่หนังเรื่องนี้มันเป็นหนัง feel bad แบบ “อำมหิตพิศวาส” (2006, ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) ที่เหมือนคนทำจะสะใจกับการนำเสนอภาพความรุนแรงในหนังด้วย

ซึ่งหนังที่คนทำสะใจกับการนำเสนอภาพความรุนแรงนี่ บางเรื่องมันก็ work สำหรับเรานะ อย่างเช่นหนังบางเรื่องของ Alwa Ritsila เพราะหนังของ Alwa มันมีความคัลท์, ความตลกขบขัน หรือ “ความไม่จริง” อยู่สูงน่ะ และเราว่าไอ้ “ความคัลท์/ตลก/ไม่จริง” นี่มันช่วยลดความรู้สึก feel bad ในใจเรา เวลาเราเห็นฉากรุนแรงในหนังของ Alwa

แต่พอความรุนแรงมันมารวมกับ “โทนซีเรียส” แบบในหนังเรื่อง 1021 แล้ว มันก็เลยเกิดความรู้สึกล้นเกินอย่างมากๆน่ะ เราก็เลยรู้สึกเสียดายหนังเรื่องนี้มากๆ เราว่าถ้าหากผู้กำกับรักษาโทนซีเรียสไว้ตามเดิม แต่เพลามือในการนำเสนอความรุนแรงในหนังลงไปได้บ้าง หนังมันจะออกมาโอเคขึ้น

ถ้าใครอยากรู้ว่าเราชอบวิธีการนำเสนอ “เนื้อเรื่องที่รุนแรง” ในหนังอย่างไร ขอให้ดูหนังอย่าง THE BLUE HOUR (2015, Anucha Boonyawatana) และ L’ARGENT (1983, Robert Bresson) เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด เพราะในหนังทั้งสองเรื่องนี้ มันมีการฆ่ากันอย่างรุนแรงในหนัง แต่หนังสามารถนำเสนอการฆ่ากันอย่างรุนแรงออกมาด้วยวิธีการที่โอเคมากๆๆๆ ในขณะที่หนังอย่าง 1021 คือตัวอย่างของวิธีการที่ไม่โอเคมากๆสำหรับเราในการนำเสนอภาพความรุนแรง


อย่างไรก็ดี ทุกอย่างมันก็มีข้อยกเว้นนะ หนังสิงคโปร์อย่าง PAIN (1994, Eric Khoo, A+30) ก็นำเสนอภาพที่รุนแรงมากๆเช่นกัน แต่เรากลับชอบมันมากๆ เพราะเรารู้สึกเหมือนกับว่า คนทำไม่ได้ “สะใจ” กับความรุนแรงในหนังน่ะ ในขณะที่หนังอย่าง 1021 นี่เราไม่แน่ใจว่า คนทำสะใจหรือเปล่า

GOLDEN KINGDOM (2014, Brian Perkins, Myanmar, A+30)

GOLDEN KINGDOM (2014, Brian Perkins, Myanmar, A+30)

งดงามมากๆ การถ่ายภาพก็งดงามมากๆ sound effects ก็งดงามมากๆ เป็นหนังที่เหมาะกับการดูในโรงจริงๆ เพราะภาพและเสียงมันงามสุดๆ


ดูแล้วชอบมากกว่าหนังกลุ่ม “เณรน้อย” หรือหนังพระหลายๆเรื่องนะ แน่นอนว่ามันดีกว่าหนังไทยกลุ่มเณรน้อยอยู่แล้ว เพราะหนังไทยกลุ่มเณรน้อยไม่ค่อยมีหนังดีๆเท่าไหร่  แต่เราชอบมากกว่าหนัง Bhutan เรื่อง THE CUP (1999, Khyentse Norbu) หรือหนังศรีลังกาเรื่อง SANKARA (2006, Prasanna Jayakody) ด้วย เราว่าหนังเรื่อง THE CUP มันพยายามจะให้ความบันเทิงแก่คนดูมากเกินไปเมื่อเทียบกับรสนิยมของเรา ส่วนหนังเรื่อง SANKARA มันอาจจะพยายามทำตัวอาร์ตมากเกินไปสำหรับเรา แต่ GOLDEN KINGDOM มันเหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่าง THE CUP กับ SANKARA คือไม่ทำตัวอาร์ตนิ่งช้าแบบสูตรหนังอาร์ตมากเกินไป แต่หนังก็ยังคงมีความงดงามเชิงกวีสูงมาก และสามารถถ่ายทอดสถานะของพุทธศาสนากับปัญหาในเมียนมาร์ได้ดีในระดับนึง

WHAT’S SO SPECIAL ABOUT RINA (2013, Harlif Haji Mohamad + Farid Azlan Ghani, Brunei, B )

WHAT’S SO SPECIAL ABOUT RINA (2013, Harlif Haji Mohamad + Farid Azlan Ghani, Brunei, B )

หนังบรูไนเรื่องแรกในชีวิตที่ได้ดู จริงๆแล้วเราว่าหนังแย่พอๆกับหนังลาวเรื่อง ฮักอีหลี 2 (D) แต่เราเพลิดเพลินกับการดูหนังบรูไนเรื่องนี้สูงกว่าหนังลาวมากๆ เพราะพระเอกหนังบรูไนหล่อน่ารักมาก และเราว่ามันมี sense แปลกๆในหนังเรื่องนี้ คือถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็คือว่า การดูฮักอีหลี 2 มันเหมือนกับการกินส้มตำแย่ๆ เพราะฮักอีหลี 2 มันมีความใกล้เคียงกับหนังไทยแย่ๆ แต่การดู WHAT’S SO SPECIAL ABOUT RINA มันเหมือนกับการกินอาหารอะไรก็ไม่รู้ที่เราไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในชีวิต แล้วมันก็ให้รสชาติฟั่นเฝือ ไม่ถูกปากเราสักเท่าไหร่ แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการกินส้มตำแย่ๆน่ะ เพราะอย่างน้อยเราก็ชอบรสชาติประหลาดๆที่ได้กิน

เราว่าฮักอีหลี 2 มันมีความเป็นเหตุเป็นผลในเนื้อเรื่องของมันในระดับนึงนะ คือพอดูถึงตอนจบแล้ว เราจะพบว่าคนทำหนังเหมือนคิดพล็อตซับซ้อนมาระดับนึงเพื่อใช้อธิบายเรื่องทั้งหมดได้ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ไอ้ความเป็นเหตุเป็นผลนี่ กลับไม่ช่วยให้เราชอบฮักอีหลี 2 มากขึ้นสักเท่าไหร่ ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่เราชอบใน WHAT’S SO SPECIAL ABOUT RINA คือความไม่เป็นเหตุเป็นผลของการเอาฉากต่างๆมาต่อๆกัน คือเราดูแล้วจะงงมากว่ามึงเอาฉากนี้มาต่อกับฉากนี้ทำไม อะไรทำนองนี้ แล้วแต่ละฉากมันมีความสำคัญอะไร แล้วทำไมเหมือนหนังครึ่งเรื่องจะเป็นฉากจินตนาการของตัวละคร ทำไมเหมือนเนื้อเรื่องเกิดในโลกความจริงครึ่งหนึ่ง แล้วเกิดในจินตนาการของตัวละครอีกครึ่งหนึ่ง

เราว่าบางองค์ประกอบของหนังมันทำให้นึกถึง “วิดีโอสอนภาษาอังกฤษในทศวรรษ 1980” ด้วย ซึ่งมันเป็น aesthetics แบบที่เราไม่เจอมา 30 ปีแล้ว อะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้นถึงแม้หนังมันจะแย่มาก แต่การที่มันเหมือนหนังแย่ๆเมื่อ 30 ปีก่อน แทนที่จะเหมือนหนังแย่ๆในยุคปัจจุบัน มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่ามันประหลาดดี และชอบความไม่เป็นโล้เป็นพายของหนังในระดับนึง



REALLY LOVE 2 (2015, Jear Pacific, Laos, D)

REALLY LOVE 2 (2015, Jear Pacific, Laos, D)
ฮักอีหลี 2


เป็นหนังตลกที่ไม่เข้าทางเราแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่เราเหมือนได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนี้ก็คือคนลาวในหนังเรื่องนี้ออกเสียงคำว่า “น้ำ” ว่า “นั้ม” ซึ่งต่างจากคนไทยที่ออกเสียงคำว่าน้ำ ว่า “น้าม”

Saturday, August 29, 2015

MEN WHO SAVE THE WORLD (2014, Liew Seng Tat, Malaysia, A+30)

MEN WHO SAVE THE WORLD (2014, Liew Seng Tat, Malaysia, A+30)

ชอบที่ประเด็นของหนังมันซีเรียสมาก แต่หนังกลับเลือกใช้โทนเบาสมองมากๆ คือจริงๆแล้วประเด็นของหนังมันทำให้นึกถึงหนังอย่าง “คำพิพากษา” (1989, Permpol Choei-aroon), กรณี 6 ตุลา 2519 หรือหนังอย่าง “บ้านผีปอบ” (2010, Ukrit Sa-nguanhai, A+30) ที่เกี่ยวกับการทำให้ “คนบริสุทธิ์” กลายเป็น ”ปีศาจ” ที่คนในสังคมต้องช่วยกันลุกขึ้นมาเข่นฆ่าให้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินน่ะ แต่หนังกลับเลือกใช้โทนตลกขบขันแบบหนังชุด “บ้านผีปอบ” ของไทยที่สร้างกันหลายภาค แทนที่จะใช้โทนซีเรียสจริงจัง โดยที่ความตลกของหนังไม่ได้ทำให้ประเด็นลดความจริงจังลงไปเลย เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจสุดๆ และผู้กำกับมันแน่จริงๆที่สามารถทำหนังแบบนี้ออกมาได้


หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึง THE BLUE HOUR (2015, Anucha Boonyawatana) กับ DREILEBEN: ONE MINUTE OF DARKNESS (2011, Christoph Hochhäusler, Germany, A+30) ด้วยนะ ในแง่ที่ว่า หนังทั้ง 3 เรื่องนี้มีตัวละครที่เป็น “แพะรับบาป” เหมือนๆกัน และพอตัวละครที่เป็นแพะรับบาปมองว่า การที่ตัวเองทำตัวดีงาม หรือทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อไปมันเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ เพราะยังไงๆคนอื่นๆก็มองว่ามึงผิดอยู่ดี แพะรับบาปก็เลยหันมาทำผิดจริงๆไปเลย 

BWAYA (2014, Francis Xavier Pasion, Philippines, A+30)

BWAYA (2014, Francis Xavier Pasion, Philippines, A+30)

ชอบความรู้สึกที่ว่า “เราไม่รู้จะโทษใครดี” ในหนังเรื่องนี้ หรือไม่รู้จะไประบายความโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังต่อโชคชะตากับใครดี และเราก็ชอบที่มันเหมือนกับเป็นการนำ genre หนังจระเข้ยักษ์อาละวาดมาทำเป็นหนัง drama realist ด้วย คือถ้าหากเป็นหนังจระเข้ยักษ์เรื่องอื่นๆ หนังมันจะเต็มไปด้วยการเร้าอารมณ์ตื่นเต้นของคนดู แต่ในหนังเรื่องนี้ ฉากจระเข้กินคนนี่มาแบบไม่มีการเร้าอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น มันเลยดูสมจริงมากๆ และน่ากลัวมากๆด้วย เพราะในชีวิตจริงนั้น เวลาคนเราจะถึงที่ตายแบบฉับพลัน มันไม่มี “เสียงเพลงเร้าอารมณ์” ตื่นเต้นมาก่อนหรอก มันมาแบบไม่ทันตั้งตัว หรือไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้นี่แหละ

อีกจุดที่เราว่ามันน่าสนใจมากๆเมื่อเทียบกับ genre หนังจระเข้ยักษ์ ก็คือว่า จระเข้ยักษ์ในหนังเรื่องนี้ มันไม่ถูกทำให้เป็น “ศัตรู” หรือเป็นสัญลักษณ์ของ “ความชั่วร้าย” น่ะ นางเอกของหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็คือคุณแม่ที่สูญเสียลูกสาวไป ก็เลยอยู่ในภาวะไม่รู้จะโทษใครดี จะโทษครูหรือเพื่อนของลูกสาวก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครทำอะไรผิดทั้งนั้น และจะไประบายความโกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังใส่จระเข้ก็ยาก เพราะอีจระเข้ก็แทบไม่โผล่หัวมาให้เห็นอีกเลย ซึ่งตรงนี้มันน่าสนใจมากๆพอเทียบกับหนังทั่วไป เพราะหนังทั่วไปมันจะอิงอยู่กับการสร้าง “คู่ขัดแย้ง” น่ะ มันจะมี antagonist หรือมีตัวผู้ร้ายที่ชัดเจนอย่างเช่นจระเข้ยักษ์ที่ไล่กินตัวละครทีละตัวๆ เพื่อที่คนดูจะได้มีเป้าหมายของความโกรธเกลียดชิงชังอย่างชัดเจน แต่ในหนังเรื่องนี้ เราจะไม่รู้ว่าจะเอาความโกรธเกลียดชิงชังไปแปะไว้ที่ตัวละครตัวไหน
มันเหมือนกับว่าการเสียชีวิตของโรวินาเกิดจากภัยธรรมชาติอย่างเช่นแผ่นดินไหว และเราก็ไม่สามารถระบายความเกลียดชังไปที่พระแม่ธรณีได้ แต่สำหรับตัวแม่ของโรวินานั้น มันอาจจะแย่ยิ่งกว่าแผ่นดินไหวอีกในแง่ที่ว่า ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวมันมีคนตายเยอะมาก เพราะฉะนั้นเราจะไม่รู้สึกว่าเราซวยอยู่คนเดียว แต่ในกรณีแบบนี้ แม่ของโรวินาจะรู้สึกว่าตัวเองซวยอยู่คนเดียว และไม่รู้ว่าจะโทษใครดี

เราก็เลยชอบหนังเรื่องนี้ในแง่นี้แหละ เพราะพอหนังมันไม่มี antagonist ที่ชัดเจน, ไม่มีผู้ร้ายที่ชัดเจน หรือไม่มีเป้าหมายของความเกลียดชังที่ชัดเจน มันก็เลยแตกต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ และเราว่ามันก็ “จริง” ในแง่นึง เพราะในบางครั้ง ชีวิตคนเราก็อาจจะเจออะไรซวยๆได้ โดยที่เราไม่สามารถโทษใครหรืออะไรได้เลยเช่นกัน

คือในแง่นึงมันทำให้เรานึกถึงหนังสารคดีเรื่อง GRIZZLY MAN (2005, Werner Herzog) ด้วย เพราะตอนที่เราดูสารคดีเรื่องนี้ เราจะสองจิตสองใจว่า เราควรจะโทษว่าการตายของ subjects ในหนังเรื่องนี้ มันเป็นความผิดของใคร มันเป็นความผิดของ subjects เองที่ไว้วางใจหมีมากเกินไป หรือเป็นความผิดของหมีฆาตกร หรือจริงๆแล้วไม่มีใครผิด มันเป็นเรื่องของคนที่ถึงที่ตายเอง และพอเรามาดู BWAYA เราก็เลยรู้สึกว่า มันอาจจะไม่มีใครผิดเลยก็ได้ในโศกนาฏกรรมแบบนี้  

ถ้าหากเราต้องฉายหนังเรื่องนี้ควบกับหนังเรื่องอื่นๆ เราก็คงฉายควบกับ TONDO, BELOVED: TO WHAT ARE THE POOR BORN? (2012, Jewel Maranan, Philipppines, documentary) และ IMBURNAL (2008, Sherad Anthony Sanchez, Philippines) เพราะหนังทั้งสามเรื่องนี้สะท้อนภาพชีวิตคนฟิลิปปินส์ที่จนสุดๆและอาศัยอยู่ริมน้ำเหมือนๆกัน โดย TONDO BELOVED นั้นเหมือนกับเป็นภาคแรก เล่าเรื่องของคุณแม่ผู้ยากจนข้นแค้นขณะตั้งครรภ์และคลอดลูก ส่วน BWAYA เหมือนเป็นภาคสอง เล่าเรื่องของลูกสาวตอนโตประมาณ 7-8 ขวบ และ IMBURNAL เหมือนเป็นภาคสาม ที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าหากลูกสาวไม่ถูกจระเข้กิน เธออาจจะโตมาเป็นสาวสก๊อยยังไงบ้าง


TRUE FRIENDS (2012, Stéphan Archinard + François Prévôt-Leygonie, France, A+10)

TRUE FRIENDS (2012, Stéphan Archinard + François Prévôt-Leygonie, France, A+10)

รู้สึกว่ามันเป็นหนังฝรั่งเศสระดับปานกลาง ซึ่งถ้าหากเป็นหนังไทยมันก็คงจะจัดเป็นหนังที่ดีมาก 555 คือเวลาเราดูหนังฝรั่งเศสเราจะคาดหวังสูงหน่อยว่าเราจะเจอหนังที่กระแทกเราอย่างรุนแรงหรือลงลึกถึงจิตวิญญาณตัวละครอะไรทำนองนี้

แต่มันจะมีหนังฝรั่งเศสกลุ่มหนึ่งที่เราชอบในระดับปานกลาง คือหนังกลุ่มนี้จะคุมตัวละครและโทนเรื่องได้ดี บทดี การแสดงดี ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติ ราบรื่นดี ไม่มีอะไรที่เราร้องยี้ หรือตรรกะล่ม นำเสนอตัวละครได้อย่างเป็นมนุษย์น่าพึงพอใจ เพียงแต่มันขาดความมหัศจรรย์บางอย่าง หรือไม่สามารถลงลึกได้ถึงจิตวิญญาณของตัวละครน่ะ คือหนังกลุ่มนี้มันทำได้ดีในส่วนของ การกระทำของตัวละครและ อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครแล้วแหละ เพียงแต่มันยังไม่ลึกไปกว่านั้น ซึ่งเราว่าหนังของ Pierre Jolivet, Anne Fontaine, Marion Vernoux, Carine Tardieu หรือหนังอย่าง I’VE BEEN WAITING SO LONG (2004, Thierry Klifa) เข้าข่ายนี้

ซึ่งถ้าหากมีหนังโรงของไทยทำได้แค่ระดับข้างต้น มันก็จะกลายเป็นหนังไทยที่น่าพอใจมากแล้วนะ เพียงแต่ว่าถ้าหากมันเป็นหนังฝรั่งเศส มันจะกลายเป็นหนังระดับปานกลางในทันที 555

เราว่า TRUE FRIENDS ก็เข้าข่ายหนัง ปานกลางของฝรั่งเศสในสายตาของเราเหมือนกัน คือเราว่าหนังมีอะไรดีๆและน่าสนใจเยอะ โดยเฉพาะเรื่องการหาเสียงเลือกตั้งของนักการเมือง 2 คน ที่เป็นคู่แข่งกัน โดยทั้งสองคนเป็นเกย์ และเคยเป็นคู่ขากันมาก่อน แต่ต้องมาหาเสียงแข่งขันกันเอง


อีกจุดที่เราชอบมากใน TRUE FRIENDS คือตัวละครภรรยาของพอล เพราะตัวละครภรรยาของพอลปล่อยให้สามีคบชู้กับผู้หญิงอื่นๆได้ตามสบาย เพราะพอลเป็นนักแต่งนิยาย และภรรยาของพอลรู้ดีว่าการคบชู้จะช่วยให้พอลมีวัตถุดิบในการเขียนหนังสือ และนั่นจะทำให้เขาแต่งนิยายได้ดี และนั่นจะส่งผลดีต่อฐานะการเงินของตัวภรรยาเองด้วย

อย่างไรก็ดี ในขณะที่หนังนำเสนอลักษณะนิสัยต่างๆของตัวละครได้อย่างน่าสนใจ แต่พอดูจบแล้ว เราก็พบว่าเราชอบมันแค่ในระดับ A+10 เท่านั้นแหละ และถ้าหากเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆที่นำเสนอชีวิตกลุ่มผู้ชายวัยกลางคนเหมือนๆกันแล้ว เราก็พบว่าเราชอบมันในระดับใกล้เคียงกับหนังอย่าง NICKEL AND DIME (2003, Sam Karmann) เราว่ามันไม่ลึกซึ่งเท่าหนังอย่าง VINCENT, FRANÇOIS, PAUL AND THE OTHERS (1974, Claude Sautet, A+30) หรือ MY FRIENDS (1975, Mario Monicelli, Italy)


ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรเราถึงรู้สึกว่า TRUE FRIENDS ไม่ลึกพอ เราว่าหนังมันมีแต่ฉากตัวละครพูดคุยกันเพื่อให้เนื้อเรื่องเดินหน้าไปเรื่อยๆน่ะ มันเหมือนไม่มีเวลาช่วงเวลาหยุดพักเพื่อให้คนดูได้ซึมซับกับบรรยากาศ หรือไม่มีฉากที่แสดงให้เห็นตัวละครขณะอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องพูดคุยกับใคร ซึ่งฉากแบบนั้นมันจะค่อนข้างเข้าทางเรา หรือในแง่หนึ่งเราก็คิดว่า ถ้าหากผู้กำกับเก่งพอ เขาจะสามารถสะท้อนจิตวิญญาณของตัวละครออกมาได้โดยผ่านทาง คำพูดหรือ ฉากที่ตัวละครไม่ต้องพูดกับใครหรือ บรรยากาศของหนังได้ แต่หนังเรื่องนี้มันมีแต่ฉากตัวละครพูดกัน และบทสนทนาของตัวละครมันก็ไม่สามารถสะท้อนส่วนลึกของตัวละครได้มากเท่าหนังของ Eric Rohmer ด้วย

Tuesday, August 25, 2015

MOST FAVORITE FILMS SHOWN IN MARATHON FILM FESTIVAL 2015



 MOST FAVORITE FILMS SHOWN IN MARATHON FILM FESTIVAL 2015

ฟิล์มซิคอยากให้เราจัด Top Ten หนังที่เราชอบที่สุดที่ฉายในเทศกาลมาราธอนปีนี้ เราก็เลยถือโอกาสนี้รวบรวมรายชื่อหนังที่เราชอบสุดๆ (A+30) หรือชอบเกือบสุดๆ (A+25) มาไว้ด้วยกันค่ะ

อันดับพวกนี้จริงๆแล้วไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด เพราะมันขึ้นๆลงๆเรื่อยๆไปตามอารมณ์ 555 เราพบว่าเราชอบ “หู” กับ “พฤษภาไม่นานก็คลี่คลาย” มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพราะฉะนั้นหนังสองเรื่องนี้ก็เลยไต่อันดับขึ้นมาเมื่อเทียบกับอันดับหนัง thesis ICT ที่เราเคยทำเมื่อต้นเดือนนี้

1.TEMPERATURE OF ROOMTONE ในวันที่พระอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันตก (Pamornporn Tandiew, A+30)

2.OUR LAST DAY (Rujipas Boonprakong)

3.SEE YOU TOMORROW พบกันใหม่โอกาสหน้า (Nattawoot Nimitchaikosol, 53min)

4.IN THE DREAM OF EMPTY NIGHT โลกละเมอ (Chalermpong Udomsilp, 58min)

5.WE WISH วันที่ไม่มีเรา (Surawee Woraphot, 39min)

6.MY DIARY: 3811316 ฉันเขียนความสุขลงในสมุดโน้ต (Pailin Chainakul, 55min)

7.ARE YOU THAI? หาเรื่องคนไทย (Wirada Saelim, documentary)

8.Q & A: QUEEN AND ANXIETY (Punyama Uchanarasamee, documentary)

9.CHU ป้าชู (Nattapattarapol Chutikarnpanich, documentary)

10.PARTY SINGER นักร้องงานเลี้ยง (Tunwa Singkru, documentary)

11.SOLOS โสฬส (Teeranit Siangsanoh, 79min)

12.FON ฝน (Aekaphong Saranset)

13.TIMELESS (Nuttorn Kungwanklai)

14.BOYS ARE BACK IN TOWN กลับมาทำไม ฉันลืมเธอไปหมดแล้ว (Eakalak Maleetipawan)

15.THE ASYLUM ดอกรัก (Prapat Jiwarangsan)

16.MY GRANDFATHER’S PHOTOBOOK ส่วนที่หายไป (Nutthapon Rakkatham + Phatthana Paiboon, documentary)

17.CLEVER KID, THIS COUNTRY NEEDS YOU เด็กฉลาดชาติเจริญ (Sarnt Utamachote)

18.HIPSTER, INTERRUPTED (Worawut Kruegaew)

19.SHE FLEW INTO THE SKY เที่ยวบินของแม่ (Taweewit Kijtanasoonthorn)

20.PART TWO ภาคสอง (Chaleamchon Natipat, 71min)

21.DAILY MALICE แต่เราก็หากันจนเจอ (Yukontorn Kaewprang, 44min)

22.THE PERSONAL (Nattapon Jomjun)

23.UTOPIA บ้านใหม่คนใต้สะพาน (Kirimag Boonrom, documentary)

24.I HATE YOU, BUT I LIKE YOU TO STAY (aka. THE LAST BAD MOVIE) (Teerath Whangvisarn)

25.HUU หู (Theerapat Wongpaisarnkit)

26.A TURTLE (HAPPY WHEN IT RAINS) (Tulyawat Sajjatheerakul)

27.TRYING TO WIN HER BACK จนกว่าเธอจะกลับมา (Sittikorn Treechokvipoot, 41min)

28.SMILE AGAIN (Bua Kamdee)

29.ONCE UPON A TIME กาลครั้งหนึ่ง (Jantraya Suriyong + Siripassorn Umnuaysombat)

30.THE COUNTRY BOYS เด็กน้อยบ้านโนนสะอาด (Krailas Phondongnok)

31.FULL MOON OF MAY พฤษภาไม่นานก็คลี่คลาย (Watsaya Boonnadda)

32.LOVE รัก (Theeraphat Ngathong)

33.AMA SAW SNAKE (Napat Vattanakuljalas, documentary)

34.BURNER นักเผา (Phisut Benyakul)

35.HAPPINESS (Wachara Kanha, documentary)

36.THE NIGHT AT STUDIO ONE (Poj Pitakjamnong)

37.DOMESTIC LIFE (Seriphab Sutthisri)

38.ONCE UPON A TIME...IN THE NIGHT กาลครั้งหนึ่ง...เมื่อคืนนี้ (Nontarit Maneum)

39.SYMMETRY สมมาตร (Ukrit Malai)

40.THE WEDDING OF PROUND งานแต่งของแพรว (Janenarong Sirimaha)

41.HOME USER เจ้าแม่กวนอิม, เราจะไม่ทานเนื้อ (Wanrudee Pungkuamchob)

42.AFTER IMAGE ภาพติดตา (Patana Chirawong)

43.MS. NARCISSUS (Chanachai Saengchan)

44.MY HOME บ้านของผม (Akkaphon Satum)

45.TEDDY BEAR ตุ๊กตาหมี (2013, Pissanupong Rattana)

46.NEITHER HERE NOR THERE อยากสวมกอด เหนือยอดมะม่วง (Skan Aryurapong)

47.DREAMSCAPE (Wattanapume Laisuwanchai, documentary)

48.DIRECTOR & ACTOR (Weera Rukbankerd)

49.REALM OF PLEASURE อาณาจักรความบันเทิง (Kittipat Knoknark, documentary)

50.MEMORIES ประวัติศาสตร์ขนาดย่อของขี้ข้าในยุคสมัย 0.1 (Wachara Kanha)

51.IF YOU’RE A BIRD, I’LL BE YOUR SKY ถ้าเธอเป็นนก ฉันจะเป็นท้องฟ้า (Visuta Matanom, 39min)

52.FUNGI IN THE HOUSE เชื้อราในร่มบ้าน (Pasit Tandaechanurat)

53.MICHAEL’S (Kunnawut Boonreak, documentary)

54.LOVE DISEASES อาการร้ายรุมเร้ารัก (Chayanon Muanming)

55.I MISS YOU IS A DECLARATIVE SENTENCE, NOT NEEDING AN ANSWER, BUT NEEDING AN AUDIENCE คิดถึงนะ เป็นประโยคบอกเล่า ไม่ต้องการคำตอบ แต่ต้องการคนได้ยิน (Watcharapol Saisongkroh)

56.NEW YEAR CELEBRATION (Kittipat Knoknark)

57.AND THE AWARD FOR THE BEST WHORE GOES TO (Thitiwat Kajorn)

58.NICE SHOP (Siwapan Suanngam, 33min)

59.THE MAT เสื่อของแม่ (Surawong Sringam)

60.A SHORT STORY NUMBER 13 เรื่องสั้นที่ 13 (Itthi Sae-chang)

61.FEBRUARY MORNING GLORY ปีหนึ่งในปลายกุมภาพันธ์ วันหนึ่งในเดือนมีนาคม (Natthavee Hanvilai)

62.BLACK BIRD นกดำ (Teeranit Siangsanoh, 70min)

63.DOGMATIST (Patipol Teekayuwat)

64.LOOKING FROM THE TERRACE (Suwaporn Worrasit)

65.-ed (Treenud Leelawasin)

66.LOST ON THE STREET (2015, Chayanit Jitbunjerdkul + Wirada Saelim + San Torsricharoen, documentary)

67.GHOST’S ALL MASS ผีมีมวลแค่ (Saroot Supasuthivech)

68.THIS IS MY MOTHER นี่แหละแม่ฉัน (Aticha Kanjanawat)

69.FORGET LOVE ลืม รัก (Papitchaya Chantalajesdakorn)

70.SPAGHETTI (Sitthisak Kum-ai)

71.LAST SCENE ปลิดฉาก (Rajchapruek Tiyajamon)

72.MOTHER BUG PROJECT แม่ไม่สบาย (Kampanat Dokpeng)

73.OUR ปลาทู (Sivaroj Kongsakul)

74.TOMORROW OF YESTERDAY (Atis Kitsupapaisan)

75.SOUND OF THE SILENCE (Akapop Khansorn, animation)

76.EM-TRAP กับดักอารมณ์ (Pruksathip Sawantrat)

77.ANIMAL WITH TWO HORNS สัตว์สองนอ (Pramote Sangsorn)

78.JOURNEY OF LOVE เพื่อนรัก รักเพื่อน (Pratchaya Wongnanta)

79.TOO LATE ไม่ทัน (Sudarat Wongkajonekiat)

80.PARK LOVE พบรัก (Tanon Laohasuwannarat)

81.COMMUNITY PEOPLE GARBAGE ชุมชน คน ขยะ (Thitipat Rotchanakorn + Pawee Melanon, documentary)

82.THE JOURNEY OF FUNERAL CASTLE ผาสาทกระดาษสี (Sudapa Kaoropthai, documentary)

83.POMMAJAN พมมะจัน (Theerayut Weerakham, documentary)

84.OUR FOOTPRINTS รอยเท้าของเรา (Hta Kwa)

85.GHOST RABBIT & THE CASKET SALES กระต่ายผี กับ คนขายโลง (Arnont Nongyao)

86.ROSE MOON AND THE RISING SUN นกตัวนั้นมันตายไปเองเฉยๆ (Tulyawat Sajjatheerakul)

87.WELCOME FOREVER มิตรต่างภพ (Sarawut Ratchachan)

88.CLASS NUMBER เด็กห้องหลัง (Pathompong Praesomboon)

89.THAK LIFE OR I DIDN’T CHOOSE THE THAK LIFE, THE THAK LIFE CHOSE ME (Phiphat Charoenkwan, 37min)

90.CHEMO MOM ช่างแม่ (Chinnavorn Nongyao)

91.PRINCE JOHNNY (Patradol Kitcharoen, animation)

92.MOTHER EARTH (Weerapat Emprasertsuk)

93.DREAM LIFE นิมิตชีวา (Wachara Kanha, documentary)

94.STAR (Bhandtavis Depchand)

95.ABORTION CYCLE: 1+1 = 1 (Chompunutt Mayta)

96.SONG FROM YESTERDAY (Thitiwat Rotchanakorn + Tanadol Sutawong)

97.BE-LOVED สายน้ำและกาลเวลา (Nuttachai Jiraanont)

98.CROSS (Sitthichai Bunkaew)

99.ROYYIM PIMJAI รอยยิ้ม พิมพ์ใจ (Siripat Nomruk)

100.WHAT A WONDERFUL WORLD (Jirapat Thaweechuen, Thanawat Noomcharoen, Pu-ton Thongtan)

101.BEING (Aroonakorn Pick)

102.LAST TIME ครั้งสุดท้าย (Teerachot Jivorasetkul, documentary)

103.THE SPIRIT OF THE AGE (Witchanon Somumjarn, documentary)

104.PETCH RIVER สมบัติแม่น้ำเพชร (Akkarin Ruengnaowaroj, documentary)

105.TOM AND JERRY แมวกับหนู (Ekkaphob Sumsiripong)

106.ME FILIPINO (Akarin Ruengnaowaroj, documentary)

107.THE DAY WITHOUT CHRIST วันที่ผัวไม่อยู่ (Khemruji Teerakawong)

108.YANEE, THE GIRL WHO IS TRYING TO OVERCOME HER FEARS ญาณี ชะนีผู้มีความพยายาม (Anuwat Amnajkasem)

109.BODY AS ART สังขารอันเป็นสุนทรียะ (Suporn Shoosongdej, documentary)

110.FREELANCE ROCKSTAR ภูมิจิต: ฟรีแลนซ์ร็อกสตาร์ (Patchara Eaimtrakul, documentary)

111.HANLEWANGCHA ฮันเล่วังชา (Wachara Kanha, documentary)

112.NOT AWAKE ไม่ตื่น (Wasunan Hutawet)

113.UNTOUCHABLE (Panu Saeng-xuto, documentary)

114.GOODBYE SUNDAY (Passaworn Vuttijindarote)

115.BUDDHA’S FOOTPRINT (Jirapat Thaweechuen, documentary)

116.INDIAN (Abhichon Ratanabhayon)

117.SUM HA HENG (Pisut Srimhok, documentary)

118.BE WITH ME (Supitchaya Srithong)

119.ELVIS BY DESIGN เอลวิสออกแบบได้ (Suporn Shoosongdej, documentary)

120.MACRO มาโคร (Setthasiri Chanjaradpong)

121.WISH ความปรารถนา (KhwanKaeo Chanpuang)

122.GOODBYE LASTED FOREVER (Natchanon Vana)

123.SHELL (Wachara Kanha)

124.NOONMOON (Namfon Udomlertlak + Joaquin Wall)

125.CHANT บทสวด (Pongsakorn Ruedeekunrangsi)

126.EMAIL OR PHONE, PASSWORD. KEEP ME LOGGED IN อีเมลหรือโทรศัพท์, รหัสผ่าน. ให้ฉันอยู่ในระบบต่อไป (Thamsatid Charoenrittichai)

127.THE SURVIVOR คืนแห่งความตาย (Krisda Jongrak)

128.SINMALIN ชินมาลิน (Chaweng Chaiyawan, documentary)

129.AI JOO & NOO DUNG 2.9 ไอ้จู๋ กับ คุณหนูด้วง (Somghad Meyen)

130.THE HOUSE OF LOVE (Tossaphon Riantong, documentary)

131.13 OF FEBRUARY 13 กุมภาพันธ์นี้ (Patthaporn Ratchatakittisuntorn, documentary)

132.66 (Pattanapol Suthaporn)

133.CYCLE OF BIRTH AND DEATH สังสารวัฏ (Nuttorn Kungwanklai)

134.OUTER RING วงแหวนรอบนอก (Kawee Panta + Akkaphon Satum)

135.A RED CAR, THE BIG CAR, SONGTAEW (Nuttanop Traiteepueng, documentary)

136.THE POND OF HAPPY LEECHES บ่อปลิงสำราญ (Jirapat Thaweechuen)

137.LUN-LA ลันลา (Torfun Chumaksorn)

138.THE SEVENTH SENSE สัมผัสที่ 7 สัมผัสแห่งรัก (Titithi Maksombun, 54min)

139.MY CAT DIDN’T LISTEN TO ME หนังเรื่องนี้แมวหนีกล้อง (Intiworn Treemongconsirirung)

140.I’M NOT WHAT YOU CALL ผมไม่ใช่คนที่คุณเรียกหา (Witchanan Suwannasing)

141.THE WHOLE LENGTH OF THE STREET ระยะทางตลอดเส้นถนน (2013, Confederation of Mini Film)

142.LOVUST ใคร่ รัก (Napat Vipoosanapat)

143.MOIST (Pass Patthanakumjon)

144.PASS ผ่าน (Kanokwat Chuangchaiya)

145.PAUSE นิรันดร์ (Pakkawan Pannopas)

146.STUNT BIKE (Buntida Kaewampai, documentary)

147.HAIRDRESSER ช่างตัดผม (Wachara Kanha, documentary)

148.HOW ARE YOU สบายดีมั้ยครับ (Nuttawat Attaswat)

149.IN A RELATIONSHIP (Poj Pitakjamnong)

150.CRAZY THAI TEENAGERS AND 12 NATIONAL VALUES เกรียนไทยกับค่านิยม 12 ประการ (Panya Zhu)

151.ALONE (Karan Wongprakarnsanti)

152.GRANDMOTHER (Parnkamol Parncharoen)

153.ELEPHEN ช้าง (Nonthakan Mungthavonkit)

154.CHOTIPATTHAMANON’S ORDER (Sakonpat Chotipatthamanon)

155.YHAHOK หญ้าหก (Nathan Homsup)

156.MOVING HOUSE ดีดบ้าน (Nuttorn Kungwanklai, documentary)

157.GOKICHA LOVE STORY ลุ้นรักสาวแมลงสาบ (Chidchanok Saengkawin, animation)

158.DEAW เดี่ยว (Wuttichai Poonsawat)

159.SPACING OF MIRROR ระยะห่างระหว่างกระจก (Keetaluk Tomanit)

160.JUST CRAZY FRIEND แค่เพื่อนบ้าๆ (Sarawut Ratchachan)

161.BANGKOK SCI-FI 603 (Theerapat Wongpaisarnkit, Vutichai Tanglaksilathong, Thanakrit Khuntiudom)

162.THE REQUIRED ล่าทะลุรังเพลิง (Ongart Yotrungrueang)

163.MY VILLAGE “KLITI LANG” หมู่บ้านของฉัน “คลิตี้ล่าง” (Thanakrt Thongfa, documentary)

164.GRACE (Setthasiri Chanjaradpong)

165.10 YEARS OF BABYMIME 10 ปีเบบี้ไมม์ (Akarin Ruengnaowaroj, documentary)

166.BYE BYE UTERI (Parung Chumpol-Anomakhun)

167.JARIT จริต (Pongphat Kittirong)

168.BITE THE BULLET วิถีแห่งมรสุม (Suporn Shoosongdej, documentary)

169.LET’S READ A BOOK มาอ่านหนังสือกันเถอะ (Watcharapol Saisongkroh, documentary)

170.NEMOSYNE เน-โม-ซีน (Kattika Tanyong, 34min)

171.THE YEAR OF THESIS (Supanai Chotechaungsab, documentary)

172.CHILI PASTE RIDER ไรเดอร์น้ำพริก (2013, Confederation of Mini Film)

173.ABOUT LOVE (Rapee Chuklinhom, animation)

174.ECHOES FROM THE HILL (2014, Jirudtikal Prasonchoom + Pasit Tandaechanurat)

175.I FINE THANK YOU, MINGALABA ไอฟายแต้งกิ้ว มิงกะลาบา (Sukit Namsawaschaiyakul)

176.TRAN RELIGION ธรรมก()าย (Kanwee Chandee + Eakalak Anantasomboon, documentary)

177.HABIT ชิน (Jakkrapan Sriwichai)

178.MEOW MEOW (Tossaphon Riantong, animation)

179.TWO TASTE TWO NATIONS (Bongkochmas Kan-intra)

180.SPINNING HOUSE บ้านหมุน (Theerapat Wongpaisarnkit)

181.FOOTPATH บาทวิถี (Treevit Wuttiyanun, A+25)

ส่วนหนังที่ได้ตั้งแต่ A+20 ลงไปจนถึง D นั้น เราไม่จัดอันดับนะ 555