Films seen in “MOVIE SEASON” event by Bangkok University
1.ONE YEAR AT THE END OF FEBRUARY, ONE DAY IN MARCH (2014,
Natthavee Hanvilai, A+30)
ปีหนึ่งในปลายกุมภาพันธ์ วันหนึ่งในเดือนมีนาคม
ไม่แน่ใจว่าหนังเกี่ยวกับอะไร หรือต้องการจะสื่ออะไร
รู้แต่ว่าดูแล้วชอบสุดๆ รู้สึกอิ่มเอมมากๆ และก็ชอบด้วยที่พอดูจบแล้วพบว่า
แต่ละคนอาจจะตีความหนังเรื่องนี้ต่างๆกันไป
สำหรับเราแล้ว หนังเหมือนจะถ่ายทอดห้วงเวลา, ห้วงอารมณ์ หรือห้วงชีวิตของหญิงสาววัย
20 กว่าปีคนหนึ่ง กับเด็กหนุ่มมัธยมปลายคนหนึ่ง แล้วก็จบลงโดยที่ทั้งสองไม่ได้เจอกันแต่อย่างใด
คือตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ เรามีความสุขกับการจิ้นไปเองน่ะว่า
ในอนาคตทั้งสองอาจจะได้มาเจอกันแล้วเป็นแฟนกัน
ซึ่งมันจะตอบสนองแฟนตาซีทางเพศของเรามากๆที่มันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวกับชายหนุ่มที่ฝ่ายหญิงแก่กว่าฝ่ายชาย
แต่พอเราดูจบแล้ว เราก็พบว่า
คนดูบางคนตีความว่าชายหนุ่มกับหญิงสาวในเรื่องนี้อาจจะเป็นคนๆเดียวกันก็ได้ ซึ่งเราพบว่ามันเป็นการตีความที่น่าสนใจมากๆ
ไม่ว่าหนังเรื่องนี้จะสื่ออะไร
เราก็รู้สึกว่าหนังมันถ่ายทอดห้วงขณะของตัวละครออกมาได้อย่างงดงามทางความรู้สึกมากๆสำหรับเรา
และฉากที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ ก็คือฉากที่กล้องถ่ายแช่ทางโค้งตรงลานจอดรถแห่งหนึ่ง
(ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด) เป็นเวลาระยะหนึ่ง
ก่อนที่เราจะเห็นรถของนางเอกแล่นเข้ามาในทางโค้งนี้ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉากนี้ต้องการจะสื่ออะไร
เรารู้แต่ว่าฉากนี้มันให้ความรู้สึกที่งดงามกับเรามากๆ
หนังเรื่องนี้อาจจะเป็น narrative ก็จริง
แต่เรามองว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้มีความสามารถในเชิงกวีสูงมากด้วยนะ
เพราะการคว้าจับห้วงขณะต่างๆมาร้อยเรียงกันได้อย่างงดงามแบบนี้
มันเป็นความสามารถเชิงกวีน่ะ
ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงหนังเรื่อง “รักเธอครั้งแรก รักเขาครั้งสุดท้าย”
(FIRST LOVE FIRST LAST) (2009,
Wachara Kanha) ด้วย เพราะ “รักเธอครั้งแรก รักเขาครั้งสุดท้าย”
ก็เป็นหนังเกี่ยวกับชีวิตของชายหนุ่มคนหนึ่ง กับชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่ง
โดยที่ทั้งสองไม่ได้รู้จักกัน แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แล้วอยู่ดีๆหนังก็จบไปเลย
โดยที่ทั้งสองไม่ได้เจอกันแต่อย่างใด แต่ “รักเธอครั้งแรก รักเขาครั้งสุดท้าย”
จะไม่ได้กระทบอารมณ์ความรู้สึกของเราอย่างรุนแรงแบบหนังเรื่องนี้
2.BE-LOVED (2014, Nuttachai Jiraanont, A+25)
อันนี้ก็ชอบมากๆ โดยที่ไม่เข้าใจหนังแต่อย่างใดเหมือนกัน แต่เราดูแล้วจะนึกถึงความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียดระหว่างคนในครอบครัวเดียวกันน่ะ
คนที่ต้องทนอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกัน
ทั้งที่จริงๆแล้วอยากฆ่ากัน แต่ในบางขณะก็รักกัน
ดูหนังเรื่องนี้แล้วจะนึกถึง “มนต์รักร้านชำ” (GROCERY, MY LOVE) (2010, Meathus
Sirinawin) ในแง่ที่ว่า มนต์รักร้านชำ ก็เป็นหนังเกี่ยวกับปัญหาทางความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวที่นำเสนอออกมาในแบบ
surreal และมีการใช้สัญลักษณ์เหมือนกัน
โดยที่เราดูแล้วก็อาจจะตีความสัญลักษณ์ไม่ค่อยออกเหมือนกัน แต่ก็ชอบมากๆอยู่ดี
ดู BE-LOVED แล้วนึกถึงเสน่ห์ของหนังแนว magical
realism ด้วยนะ เพราะตัวละครประเภทที่ดูเหมือนตายไปแล้ว
แต่กลับมาหลอกหลอน และใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์ปกติ ทั้งที่ดูเหมือนตายไปแล้ว
อะไรพวกนี้ เราอาจจะพบได้ในหนังแนว magical realism หลายๆเรื่องน่ะ
โดยที่ปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติพวกนี้ มันจะไม่มีคำอธิบายแต่อย่างใด
คือถ้าหากเป็นหนัง “ลึกลับ” แบบปกติ มันจะมีคำอธิบายว่า
เพราะเหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์ผิดธรรมชาติแบบนี้ขึ้น
(อย่างเช่นแม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำวิเศษที่ชุบชีวิตคนตายได้) แต่ถ้าหากเป็นหนังแนว magical
realism มันจะไม่มีคำอธิบาย
แต่ถ้าพูดกันจริงๆแล้ว BE-LOVED ก็ไม่ใช่หนัง magical
realism นะ เพียงแต่เราคิดว่ามันมีเสน่ห์ใกล้เคียงหนังแนวนั้น
เพราะถ้าเราเข้าใจไม่ผิด เหตุการณ์ผิดปกติต่างๆในหนัง magical realism มันมักจะไม่ได้เป็นสัญลักษณ์เพื่อสื่อความหมายด้วย
มันเป็นเหตุการณ์ผิดปกติ ผิดธรรมชาติ ที่ไม่มีทั้งคำอธิบาย และไม่มีความหมายชัดเจน
แต่เราว่าเหตุการณ์ผิดปกติต่างๆใน BE-LOVED จริงๆแล้วมันอาจจะมีความหมายหรือเป็นสัญลักษณ์แทนอะไรบางอย่าง
ส่วนสาเหตุที่ตอนนี้เราชอบ BE-LOVED แค่ A+25 ยังไม่ถึง A+30 เป็นเพราะว่าเราไม่ได้รู้สึกอินสุดขีดในขณะที่ดูน่ะ
(แต่เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไปในอนาคต)
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์รักแรง-เกลียดแรงแบบคู่รักในหนังเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า
เราก็เลยอาจจะสนใจคู่พ่อ-ลูกที่โผล่มาในช่วงท้ายมากเป็นพิเศษ
เพราะความสัมพันธ์แบบพ่อแม่ลูกเป็นสิ่งที่เราคุ้นชินมากกว่าความสัมพันธ์แบบคู่รัก
ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงหนังเรื่อง WE WON’T GROW OLD TOGETHER (1972,
Maurice Pialat) ด้วย เพราะหนังของเปียลาต์เรื่องนี้พูดถึงหญิงชายคู่หนึ่งที่รักกันแล้วก็เลิกกัน
แล้วก็คืนดีกัน แล้วก็เลิกกัน แล้วก็คืนดีกัน แล้วก็เลิกกัน สลับไปมาอย่างนี้เป็นสิบรอบได้มั้ง
ซึ่งเราก็รู้สึกว่า WE WON’T GROW OLD TOGETHER เป็นหนังที่ดีมากๆ
แต่ดูแล้วก็ไม่อินสุดๆเช่นกัน เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์มีผัว แล้วก็หย่ากับผัว
สลับกันไปมา แบบในหนังเรื่องนี้
เห็นด้วยกับคุณชาญชนะมากๆที่บอกว่า หนังของคุณ Nuttachai ทำให้นึกถึงแนวทางหนังของ
David Cronenberg ที่มีการใช้ความรุนแรงในแบบที่โต้งๆในตอนแรก
แต่หนังในยุคต่อๆมาจะมีการใช้ความรุนแรงในแบบที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
และลงลึกทางจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจาก David Cronenberg แล้ว หนังของคุณ Nuttachai ทำให้เรานึกถึงหนังของ Kiyoshi Kurosawa ด้วยเหมือนกัน
เพราะ Kiyoshi ก็เคยทำหนังฆาตกรโรคจิตแบบ THE GUARD
FROM UNDERGROUND (1992) ในยุคแรกๆ
ซึ่งเป็นหนังเลือดสาดแบบตรงไปตรงมา แต่พอในยุคต่อๆมา
หนังของคิโยชิก็เริ่มพิศวงงงงวยมากขึ้นเรื่อยๆ และมีความเป็นปรัชญามากขึ้นเรื่อยๆ
3.UCHUANALAI (2014, Rawikan Makkasem, A+20)
อุชุอนาลัย
หนังเกี่ยวกับครูและนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่มีการพร่ำสอนเรื่องคุณธรรมความดีงามต่างๆ
และในเวลาต่อมา ตัวละครทั้งครูและนักเรียนต่างก็เผชิญกับ moral dilemma ที่ตัดสินใจได้ยาก
เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆนะ
และเราไม่มีปัญหากับฉากที่ครูมาพร่ำสอนเรื่องความดีงามต่างๆเป็นเวลายาวนานน่ะ
เพราะเรามองว่า ฉากพร่ำสอนนี้ มันอาจจะไม่ใช่ “สาร” ที่ผู้กำกับต้องการสื่อถึงคนดูโดยตรงน่ะ
แต่มันอาจจะเป็นฉากแนว “เย้ยหยัน” มากกว่า เพราะในที่สุดแล้ว
พวกคนที่พร่ำสอนเรื่อง “ความดี” เหล่านี้นี่แหละ ที่กลายเป็นคนที่ทำชั่วซะเอง เพราะฉะนั้นเราก็เลยรับฉากพร่ำสอนเหล่านี้ได้
เพราะเรามองว่าผู้กำกับอาจจะไม่ได้ต้องการสอนคนดูผ่านฉากเหล่านี้ แต่ผู้กำกับอาจจะต้องการเย้ยหยัน
“คนดี” ผ่านฉากเหล่านี้
4.PANG! (2014, Chanatip Wongpoltree, A+10)
ผ่าง!
หนังเรื่องนี้เป็นหนังผีตลก ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว หนัง genre นี้จัดเป็นหนึ่งในหนัง
genre ที่ต่ำที่สุดในบรรดาหนังไทย เพราะมีการผลิตหนังไทยแนวนี้ออกมาเยอะมาก
และหนังไทยแนวนี้ที่ออกมาแย่ก็มีเยอะมาก
แต่ในทางปฏิบัตินั้น เราว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาใช้ได้ในระดับนึงเลย
เพราะมันตลกจริงในหลายๆฉาก และเราว่าแก๊งนักเรียนชาย 3
คนนี่เล่นเข้าขากันได้ดีมากๆ ต่อปากต่อคำกันเองได้ลื่นมากๆ
หนังเรื่องนี้ก็เลยบันเทิงจริง ถึงแม้ว่าหนังอาจจะหนักมือไปหน่อยในบางจุด
5.ONCE UPON A TIME IN TUNGYALOUM (2014, Natthapat Kraitruadpol, A+)
กาลครั้งหนึ่ง ณ ทุ่งหญ้าหลุม
หนังไซไฟ/ตลกที่น่าสนใจมาก แต่เราอาจจะไม่ได้อินกับหนังไซไฟมากเท่าไหร่
อย่างไรก็ดี เราชอบความเป็น “หนังอิงหนัง” ของหนังเรื่องนี้มากๆ เราชอบที่หนังเรื่องนี้อ้างอิงถึง
MARS ATTACKS, THE SIGNS
6.SWEET DREAM (2014, Prairung Panngam, A+)
หนังเกี่ยวกับหญิงสาวที่ฝันเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นประจำ
เราว่ามันเป็นหนังโรแมนติกที่ดูทื่อๆไปหน่อย
7.DADDY (OR SOMETHING LIKE THAT) (2014, Thanadul Thanaviroj, A-)
คุณพ่อ (ประมาณนั้น)
หนังเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่พบว่าตัวเองเคยทำให้ผู้หญิงท้องตอนม.
5 และตอนนี้ตัวเองก็ต้องมาทำหน้าที่เป็นพ่อคนอย่างกะทันหัน
เราว่าหนังเรื่องนี้ดูแล้วขาดความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ยังไงไม่รู้
8.WHO PLANTED THE LEMONGRASS? HAVEN’T I TOLD YOU THAT YOU CAN’T
PLANT IT IF YOU ARE NOT VIRGIN? (2014, Anchisa Promsuwan, A-)
ใครปักตะไคร้...บอกแล้วใช่ไหม ไม่ซิงอย่าปัก
หนังตลกเกี่ยวกับคุณแม่หัวโบราณที่ลูกสาวกำลังจะแต่งงาน เราชอบการปะทะกันระหว่างแนวคิดแบบ
liberal กับ conservative
ในหนังเรื่องนี้นะ แต่เราว่าฝ่าย conservative มันดูโง่เกินไปน่ะ มันก็เลยทำให้หนังไม่ทรงพลัง
คือเราชอบมากๆที่หนังเรื่องนี้ดูเหมือนจะเข้าข้างฝ่าย liberal นะ แต่เราว่าหนังหลายๆเรื่องมันจะทรงพลังก็ต่อเมื่อ
มันสร้างฝ่ายผู้ร้ายที่ฉลาดมากๆหรือเก่งมากๆขึ้นมาน่ะ
คือเราว่าคุณแม่ในหนังเรื่องนี้ดูบ้องตื้นเกินไปน่ะ
การปะทะกันทางความคิดในหนังเรื่องนี้มันเลยดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่
No comments:
Post a Comment