Sunday, December 21, 2014

LOVE BULLSHIT

LOVE BULLSHIT รักเพ้อเจ้อ (2014, Pornpen Fah-amnuay, stage play, A+20)

SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1.ชอบเส้นอารมณ์ของเรื่องนี้มากๆ เพราะในช่วงแรกมันจะสร้างความรู้สึกไม่สบายอย่างมากๆให้กับเรา หรือกดดันเรา คือในช่วงแรกตัวละครเหมือนเป็นฮิสทีเรียกันทุกตัว ตะโกนเอะอะ โหวกเหวกโวยวายตลอด แล้วหลังจากนั้นมันก็เข้าสู่ช่วงสนุกสนาน นั่นก็คือช่วงที่มีการสลับร่างกัน พอเข้าสู่ช่วงนี้ อารมณ์อึดอัดที่อยู่ในช่วงแรกก็จะหายไป ละครเรื่องนี้เริ่มเข้าสู่โหมดฟรุ้งฟริ้งมรุ้งมริ้ง แล้วหลังจากนั้น ละครเรื่องนี้ก็จะเข้าสู่โหมดโรแมนติกซึ้งๆ และจบลงด้วยโหมด “ผ่อนคลายอย่างสุดๆ” ด้วยการเล่าเรื่องการนับแกะ

คือเส้นอารมณ์ของเรื่องนี้มันทำให้นึกถึงคนที่เครียดกับการทำงานอย่างหนักๆ (ในช่วงแรกของเรื่อง) แล้วก็ออกไปสนุกสนานกับเพื่อนหลังเลิกงาน (ในช่วงกลางเรื่อง) แล้วก็เข้านอนด้วยจิตใจสงบและเปี่ยมสุข (ในช่วงท้ายเรื่อง) เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นเส้นอารมณ์ที่ work มากๆสำหรับเรา

2.ชอบการสร้างบุคลิกตัวละครแต่ละตัวด้วย คือตัวละครในเรื่องนี้มีถึง 9 ตัว และแต่ละตัวมีบุคลิกโดดเด่นชัดเจนเป็นของตัวเอง มีเสน่ห์เป็นของตัวเองหมดเลย

คือถ้าเป็นละครเรื่องอื่นๆ ผู้กำกับหรือคนเขียนบทอาจจะเน้นเล่าแค่เรื่องความรักของชายหนุ่ม-หญิงสาวเท่านั้น แต่ในเรื่องนี้ ตัวละครอย่างริตตี้และโรสซี่กลับกลายเป็นตัวละครที่อาจจะน่าจดจำกว่า “ชายหนุ่ม-หญิงสาว” เสียอีก เราก็เลยชอบมากๆ คือปกติแล้ว ริตตี้ + โรสซี่ มักจะถูก treat เป็นแค่ตัวตลก, ตัวประกอบ, ลูกขุนพลอยพยัก ในหนัง, ละคร หรือเรื่องเล่าโดยทั่วๆไป แต่ในละครเวทีเรื่องนี้ ตัวละครที่มักจะถูก treat เป็นแค่ตัวประกอบ อย่างริตตี้+โรสซี่ กลับได้รับความสำคัญมากเท่าๆกับ “ตัวละครที่มักจะถูก treat เป็นพระเอก-นางเอก” เราก็เลยชอบในแง่นี้มากๆ

ฉากหนึ่งที่ติดตาที่สุดในเรื่องนี้คือฉากริตตี้สวมคอปเตอร์ไม้ไผ่น่ะ เป็นฉากที่บ้าบอคอแตกมากๆ

ฉากที่ชายหนุ่ม-หญิงสาว ฟังเพลง แล้วก็เต้นรำกัน ก็เป็นฉากที่ซึ้งและโรแมนติกมากๆนะ แต่ฉากแบบนี้อาจจะหาได้จาก “หนังโรแมนติก” ทั่วไปน่ะ ในขณะที่ฉากคอปเตอร์ไม้ไผ่นี่เป็นฉากที่ unique กว่าในสายตาของเรา

3.นักแสดงทุกคนเล่นดีหมด แต่คนที่เรามองว่าเล่นได้มีเสน่ห์มากเป็นพิเศษคือนัสรี ละบายดีมัญในบทโรสซี่ เราว่าเขาเป็น scene stealer ประจำละครเวทีเรื่องนี้

4.ถ้าหากเปรียบเทียบกับหนังแล้ว เรานึกถึงหนังที่สนุกมากๆอย่าง WELCOME BACK, MR. MCDONALD (1997, Koki Mitani) น่ะ เพราะมันเป็นหนังบันเทิง เอะอะมะเทิ่ง เกี่ยวกับตัวละครหลากหลายตัวในที่ทำงานแห่งนึง และมันสามารถแจกแจงตัวละครประกอบแต่ละตัวได้ดีมาก

5.เราชอบที่ละครไม่ได้ลงเอยแบบ happy สุดๆด้วย เพราะในที่สุด บริษัทแห่งนี้ก็ยังแก้ปัญหาทางการเงินไม่ได้ และ “รีรอ” ก็ยังไม่ได้สารภาพรัก คือถ้าบริษัทแห่งนี้แก้ปัญหาทางการเงินได้ในตอนจบ มันอาจจะดูเฟคเกินไปน่ะ เพราะโลกแห่งความเป็นจริงมันคงแก้ปัญหาไม่ได้ง่ายๆอย่างนั้น เราก็เลยมองว่าตอนจบของละครเรื่องนี้ค่อนข้างโอเคสำหรับเรา เพราะมันไม่ได้ happy มากเกินไป

6.ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมถึงเขียนบทได้ดีอย่างนี้ คือปกติแล้วเราไม่ได้ชอบเรื่องราวโรแมนติกหรือตลกนะ แต่ละครเรื่องนี้ซึ่งโดย genre แล้วมันไม่ใช่แนวทางเรา กลับทำให้เรารู้สึกตลก,สนุกสนานไปกับตัวละครมากมายได้จนจบเรื่อง

พอฟังที่คุณพรเพ็ญพูดถึงเบื้องหลัง เราก็เลยพอเข้าใจ คือเหมือนกับว่าละครเรื่องนี้ไม่ได้ fix บทตายตัวในตอนแรกน่ะ แต่หลายๆส่วนในบทละครเรื่องนี้เกิดจากการ workshop กับนักแสดงมาระยะนึง และนักแสดงมีส่วนร่วมในการคิดบทละครเรื่องนี้ด้วย

เราพบว่าผู้กำกับหนังบางคนที่เราชอบสุดๆก็ใช้วิธีการทำงานแบบนี้นะ อย่างเช่น Mike Leigh และ Jacques Rivette ที่บทหนังหลายๆเรื่องของเขาเกิดจาก input ของนักแสดง และการ improvise บทขึ้นมาในภายหลังหลังจากฝึกซ้อมกับนักแสดงมาระยะนึงน่ะ เราว่าผู้กำกับบางคนเหมาะกับวิธีการทำงานแบบนี้ เพราะ input จากนักแสดงมันช่วยเพิ่มมุมมองที่หลากหลายให้กับหนัง/ละครเวทีเรื่องนั้น และมันมักจะส่งผลให้ตัวละครแต่ละตัวดูมีเสน่ห์, มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีความเป็นมนุษย์สูงมาก แทนที่จะเป็นเพียง “เครื่องมือในการส่งสารของผู้กำกับ/ผู้เขียนบท”

7.แต่สาเหตุที่เรายังไม่ได้ชอบถึงขั้น A+30 เป็นเพราะตัวเราเองไม่ค่อยมีประสบการณ์ร่วมกับเนื้อหาในละครเรื่องนี้น่ะ เพราะเราแทบไม่เคยมีประสบการณ์แบบโรแมนติกมาก่อน 555 เพราะฉะนั้นเราก็เลยมองว่า ละครเรื่องนี้สนุกมาก บทดีมาก เราชอบมาก แต่มันไม่ได้สะเทือนอะไรเราเป็นการส่วนตัวจ้ะ




No comments: