Saturday, December 27, 2014

LOVE ON THE ROCK (A+25)


LOVE ON THE ROCK (รักหมดแก้ว) (2014, Saranyoo Jiralak, A+25)

spoilers alert
--
--
--
--
--
ความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนี้

1.สิ่งที่ชอบที่สุดก็คือเรารู้สึกว่า หนังเหมือนมีมุมมองต่อชีวิต, มีการตั้งคำถามต่อชีวิต และมี “ความเจ็บปวด” ในแบบที่เราคุ้นเคยเป็นการส่วนตัวน่ะ คือก่อนที่เราจะไปดูหนังเรื่องนี้ เรานึกว่ามันคงเป็นหนัง “โรแมนติก คอมเมดี้” แบบ I FINE THANK YOU LOVE YOU (2014, Mez Tharatorn, A+15) หรือแบบหนังของยอร์ช ฤกษ์ชัย แต่พอได้ดูจริงๆแล้ว เราก็พบว่า “ความโรแมนติก” ในหนังเรื่องนี้ มันอยู่ในระดับที่น้อยกว่าที่เราคิดไว้มากๆ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา เพราะเราไม่ใช่คนที่อินกับหนังโรแมนติกส่วนใหญ่อยู่แล้ว

แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้มีให้กับเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังไทยเมนสตรีมส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี คือมันเหมือนมีการตั้งคำถามอะไรบางอย่างกับชีวิต ตัวละครเหมือนมีความไม่มั่นใจอะไรบางอย่างกับชีวิตของตนเอง มีความลังเลสงสัยว่า ชีวิตมันมีแค่นี้นี้จริงๆเหรอ กูเลือกเส้นทางเดินชีวิตถูกแล้วเหรอ อะไรทำนองนี้ คือปกติแล้ว conflicts ทั่วๆไปในหนังไทยโรแมนติกเมนสตรีม มันอาจจะเป็นแค่ว่า “เรารักเขาจริงๆหรือเปล่า”, “เขารักเราหรือเปล่า” และ “เราจะเลือกใครดี” แต่หนังเรื่องนี้มันมีส่วนที่มันไปไกลกว่านั้นด้วย

ซึ่งจริงๆแล้วเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผู้กำกับ/คนเขียนบทให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่อง “ชีวิต” มากแค่ไหนนะ บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความฟุ้งซ่านของเราเองขณะที่ดูหนังเรื่องนี้น่ะ แต่ขณะที่เราดูหนังเรื่องนี้ เรารู้สึกว่าเราเกิดการตั้งคำถามเรื่องชีวิตขึ้นมาจริงๆ โดยที่ตัวหนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้ แต่ยังไงเราก็ชอบจุดนี้มากๆ เพราะเรารู้สึกว่าหนังไทยเมนสตรีมทั่วๆไปแทบไม่เคยให้แรงบันดาลใจอะไรกับเราแบบนี้

2. LOVE ON THE ROCK ทำให้เรานึกถึง “ความไม่มั่นใจในชีวิตของตนเอง” ใน 3 ขั้นตอนชีวิตด้วยกัน ซึ่งได้แก่

2.1 ความไม่มั่นใจในตอนที่เราเป็นวัยรุ่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านทางตัวละครน้องสาวของนางเอก คือน้องสาวของนางเอกโผล่มาฉากเดียว และถามคำถามนางเอกต่างๆนานา แต่คำถามของน้องสาวนางเอกมันทำให้เรานึกถึงเนื้อเพลง QUE SERA, SERA มากๆ

When I was just a little girl
I asked my mother, what will I be
Will I be pretty, will I be rich
Here's what she said to me.

Que Sera, Sera,
Whatever will be, will be
The future's not ours, to see
Que Sera, Sera
What will be, will be.

When I was young, I fell in love
I asked my sweetheart what lies ahead
Will we have rainbows, day after day
Here's what my sweetheart said.

Que Sera, Sera,
Whatever will be, will be
The future's not ours, to see
Que Sera, Sera
What will be, will be.

ฉากนี้มันทำให้เรานึกถึงตอนที่เราเป็นวัยรุ่นมากๆ เพราะตอนนั้นเราก็เคยถามตัวเองแบบในเพลง QUE SERA, SERA เหมือนกัน และพอเราได้มาเห็นตัวละครที่ตั้งคำถามต่อชีวิตของตัวเองเหมือนตอนที่เราเป็นวัยรุ่นแบบนี้ มันก็เลยทำให้เราเศร้ามากๆ เพราะคำถามที่ว่า “Will I be pretty?” “Will I be rich?” “Will we have rainbows, day after day?” ก็คือ NO, NO, และ NO นี่แหละคือความเศร้าของชีวิต

2.2 ความไม่มั่นใจในชีวิตตอนที่เพิ่งจบมหาลัยใหม่ๆ อย่างเช่น ความไม่มั่นใจว่าตัวเองจะมีแฟนหรือไม่ ความไม่มั่นใจที่ว่าตัวเองควรจัดลำดับความสำคัญอย่างไรดีระหว่างเพื่อนกับแฟน (จะอยู่กับแฟนหรือไปปาร์ตี้กับเพื่อนดี) ความไม่มั่นใจว่างานที่ทำอยู่นี้จะรอดหรือไม่ ความไม่มั่นใจว่าตัวเองจะยืนอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองได้หรือไม่ หรือว่าจะต้องขอเงินพ่อแม่ต่อไป ความไม่มั่นใจว่าเราควรจะทำงานหรือเรียนปริญญาโทดี etc.

คือตัวละครส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้จะอยู่ในข้อ 2.2 นี้แหละ และมันทำให้เรานึกถึงหนึ่งในละครทีวีที่เราชอบที่สุดในชีวิต ซึ่งก็คือเรื่อง จุดนัดฝัน (1995) คือเราชอบความรู้สึกของตัวละครแบบนี้มากๆ ตัวละครที่ยังไม่มีความมั่นคงอะไรในชีวิตมากนัก ทั้งเรื่องหน้าที่การงานและความรัก แต่สิ่งเดียวที่เป็นสรณะสำหรับคนในวัยนี้ก็คือ “การได้มาคุยกับเพื่อนๆ” คือการได้เมาท์กับเพื่อนๆมันเหมือนเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงอย่างเดียวสำหรับเราในวัยนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบฉากการคุยกันในหนังเรื่องนี้มากๆ คือในหนังโรแมนติกเรื่องอื่นๆ “ฉากบอกรัก” มันจะเป็นฉากสำคัญที่สุดในหนังน่ะ แต่สำหรับเราแล้ว เราว่าหนังเรื่องนี้อาจจะให้ความสำคัญกับฉาก “การได้เมาท์กับเพื่อนๆ” มากกว่า “ฉากโรแมนติก” เสียอีก หนังเรื่องนี้มันก็เลยเข้าทางเรามากกว่าหนังโรแมนติกของไทยโดยทั่วไป

2.3 ความไม่มั่นใจทั้งในอดีตและอนาคตของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้สึกเมื่อเราได้เห็นตัวละครมาช่าในหนังเรื่องนี้ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้ถึงขั้น A+25 ก็คือตัวละครมาช่านี่แหละ เพราะเราอินกับตัวละครตัวนี้มากๆ

คือจริงๆแล้วตัวละครตัวนี้อาจจะไม่ได้ “ไม่มั่นใจในอดีตและอนาคต” ของตัวเองนะ แต่ตัวละครตัวนี้ทำให้เรานึกถึง “ความไม่มั่นใจในอดีตและอนาคต” ของตัวเราเองน่ะ เพราะบทสนทนาตอนนึงบอกว่า ตัวละครตัวนี้ตัดสินใจเองที่จะไม่เอาเจ้าของร้านไวน์เป็นผัว เพราะตัวละครตัวนี้ต้องการจะสนุกกับชีวิตไปเรื่อยๆในช่วงวัย 20 กว่าปี แทนที่จะลงหลักปักฐานซะตั้งแต่เนิ่นๆในตอนนั้น และปัจจุบันนี้ตัวละครตัวนี้ก็ยังเป็นโสดอยู่ และเราก็ไม่รู้แน่ชัดว่า เธอมีความสุขมากน้อยแค่ไหนในปัจจุบัน เธอเหงามากน้อยแค่ไหน และถ้าเธอย้อนเวลากลับไปได้ เธอจะเลือกเส้นทางชีวิตแบบเดิมหรือไม่

ตัวละครตัวนี้ก็เลยทำให้เรานึกถึงความไม่มั่นใจในการเลือกเส้นทางชีวิตในอดีตของตัวเองน่ะ เพราะจนถึงปัจจุบันนี้ เราก็ยังถามตัวเองอยู่เลยว่า ถ้าหากเราย้อนเวลากลับไปตอนอายุ 23-25 ปีได้ แล้วเราเลือกคนสิงคโปร์คนนั้นเป็นผัว หรือเลือกคนฮ่องกงคนนั้นเป็นผัว ป่านนี้ชีวิตกูอาจจะมีความสุขมากๆไปแล้วก็ได้ ไม่ต้องมากลายเป็นอีแก่แร้งทึ้ง โง่ จน เจ็บอยู่อย่างทุกวันนี้

 นอกจากนี้ ตัวละครตัวนี้ยังพูดในทำนองที่ว่า “เราไม่รู้หรอกว่าคืนนี้เราจะโดนรถชนตายหรือเปล่า” และพูดในทำนองที่ว่า “ทำไมชีวิตมันสั้นจังวะ” หรืออะไรทำนองนี้ด้วย เพราะฉะนั้นตัวละครตัวนี้ก็เลยมีมุมมองต่อชีวิตที่ค่อนข้างสอดคล้องกับเรามากๆ และทำให้เรานึกถึงความไม่มั่นใจในอนาคตของตนเองด้วย

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เราอินเป็นการส่วนตัว ก็คือว่า ในขณะที่ตัวละครมาช่าที่น่าจะมีอายุแค่ 40 กว่าปี พูดในทำนองที่ว่า “ทำไมชีวิตมันสั้นจังวะ” นั้น แม่เราซึ่งมีอายุประมาณ 77 ปี ก็เพิ่งพูดกับเราในทำนองนี้เช่นกัน และมันทำให้เรานึกถึงความเศร้าของชีวิตน่ะ ความเศร้าที่ว่า อยู่ดีๆเราก็พบว่าเราแก่มากแล้ว ทั้งๆที่เรายังดูเหมือนจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ หรือได้ทำอะไรอย่างที่ตัวเองต้องการจริงๆสักเท่าไหร่เลย

ฉากมาช่ากับออฟ ปองศักดิ์ทำให้เราเกือบร้องไห้ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่เราชอบการแสดงของมาช่าในหนังเรื่องนี้มากๆ คือเราว่าหน้าของเธอในหนังเรื่องนี้ มันเป็นหน้าของคนที่ “ผ่านชีวิตมามากแล้ว” น่ะ มันมีความปลงชีวิตอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น มันเป็นใบหน้าของคนที่ “ยิ้มแย้ม และดูเหมือนมีมีความสุข แต่จริงๆแล้วมันมีความรู้สึกว่างโหวงบางอย่างอยู่ภายใน”

ในแง่นึงตัวละครมาช่าในเรื่องนี้ ทำให้เรานึกถึงตัวละครที่ Katherine Keener แสดงใน FULL FRONTAL (2002, Steven Soderbergh) ด้วยนะ เพราะตัวละครที่ Keener แสดงในหนังเรื่องนั้น มันถูกนินทาว่าเป็นคนที่ “เหมือนกับหมาที่ถูกรถชนอย่างรุนแรง แต่หลังจากถูกรถชนอย่างรุนแรง หมาตัวนี้ก็ลุกขึ้นเดินต่อไปและพยายามทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

สรุปว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ชอบ LOVE ON THE ROCK อย่างเกือบจะสุดๆ ก็คือว่ามันทำให้เรานึกถึงความเศร้าบางอย่างของชีวิตน่ะ โดยเฉพาะความรู้สึกถึงความเศร้าเมื่อได้เห็นตัวละครมาช่าในเรื่องนี้

3.เราชอบตัวละครนางเอกของเรื่องนี้อย่างมากๆด้วย คือเราไม่ได้ชอบตัวละครนางเอกนี้อย่างสุดๆนะ แต่เราชอบมากๆๆๆๆเมื่อเทียบกับตัวละครนางเอกหนังไทยโดยทั่วไปน่ะ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหนังที่เพิ่งได้ดูมาอย่าง I FINE THANK YOU LOVE YOU

คือเราชอบความสับสนของนางเอกเรื่องนี้มากๆ เพราะเธอต้องเลือกระหว่าง “ผัวหนุ่มหล่อมีรักแท้ที่น่าเอา” กับ “อุดมคติ” ของตัวเองน่ะ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราแทบไม่ค่อยเจอในหนังเรื่องอื่นๆ คือในหนังเรื่องอื่นๆ นางเอกมักจะอุทิศตัวให้รักแท้โดยอัตโนมัติ ความรักคือสิ่งที่สำคัญที่สุด LOVE IS EVERYTHING LOVE CONQUERS ALL หรืออะไรทำนองนี้ แต่สำหรับหนังเรื่องนี้ รักแท้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนางเอก เพราะ “อุดมคติ” ก็สำคัญเหมือนกัน และเราก็ชอบมากด้วยที่นางเอกไม่ใช่คนที่มีอุดมคติแรงกล้าจนตัดใจทิ้งพระเอกได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะในชีวิตจริงนั้น ตัวเราเองหรือคนเราบางคนก็เป็นแบบนี้นี่แหละ ตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าอะไรกันแน่ที่สำคัญกว่ากัน วันนึงก็อาจจะรู้สึกว่ารักแท้สำคัญกว่าอุดมคติ แต่วันรุ่งขึ้นก็อาจจะรู้สึกว่าอุดมคติสำคัญกว่ารักแท้ คือเราเป็นคนที่บางทีก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าตัวเองต้องการอะไรจริงๆกันแน่น่ะ โดยเฉพาะในเรื่องความเชื่อหรืออุดมคติบางอย่างของตัวเอง เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบความสับสนของนางเอกในจุดนี้มากๆ

แต่เราก็ไม่ได้อินกับนางเอกอย่างสุดๆนะ เพราะถ้าเราเป็นนางเอก เราคงทำเหมือนนางเอกในบางสถานการณ์ และทำไม่เหมือนนางเอกในบางสถานการณ์น่ะ เราชอบที่นางเอกพูดตรงๆว่าตัวเองไม่ virgin, กล้านำเสนอ sexuality ของตัวเอง และต้องการความสัมพันธ์แบบ open relationship แต่เราคงไม่ใช่คนประเภทที่จะเรียกพระเอกให้มาช่วยซ่อมรถน่ะ เพราะฉะนั้นเราก็เลยอินกับนางเอกคนนี้มากกว่านางเอกหนังไทยเมนสตรีมโดยทั่วไป แต่เราก็ไม่ได้อินกับตัวละครตัวนี้แบบสุดๆ

คือถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็คือว่า เราอินกับนางเอก I FINE THANK YOU LOVE YOU ประมาณ 15%, เราอินกับนางเอก LOVE ON THE ROCK ประมาณ 50%, เราอินกับตัวละครมาช่าประมาณ 60 % และเราอินกับนางเอก FOR SALE (1998, Laetitia Masson, A+30) และนางเอก THE LEFT-HANDED WOMAN (1977, Peter Handke, A+30) ประมาณ 100% น่ะ

ที่เรายกตัวอย่าง FOR SALE กับ THE LEFT-HANDED WOMAN ขึ้นมา เพราะเราคิดว่านางเอก LOVE ON THE ROCK เหมือนเป็นญาติห่างๆกับตัวละครนางเอกที่เราชอบสุดๆสองตัวนี้น่ะ คือนางเอก FOR SALE เป็นผู้หญิงที่เมื่อใดก็ตามที่ผู้ชายคนไหนขอแต่งงาน เธอก็จะทิ้งผู้ชายคนนั้นไป แล้วก็ไปมีแฟนใหม่ แล้วพอแฟนใหม่ขอแต่งงาน เธอก็จะทิ้งเขาอีก แล้วไปมีแฟนใหม่อีก และถึงแม้ว่าการใช้ชีวิตแบบนี้จะทำให้เธอยากจน เธอก็ยังเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ดี คือเหมือนเธอขอเลือกตายแบบจนๆดีกว่าที่จะแต่งงานมีผัวน่ะ ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะดีหรือรวยแค่ไหนก็ตาม โดยที่หนังเรื่อง FOR SALE ไม่ได้อธิบายตรงๆแต่อย่างใดว่าทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้ แต่เราดูแล้วเรารู้สึกเข้าใจเธอมากๆว่า นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ เธอต้องการแบบนี้จริงๆ และอะไรเป็นสาเหตุอาจจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือว่าเรารักตัวละครตัวนี้แบบสุดๆ

ส่วนนางเอก THE LEFT-HANDED WOMAN คือผู้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ดีๆก็ขอเลิกกับผัวโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย และดูเหมือนไม่มีสาเหตุใดๆทั้งสิ้น และหลังจากนั้นเราก็ได้เห็นเธอค่อยๆปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่อย่างงดงาม ได้เห็นเธอกระโดดโลดเต้นไปตามท้องถนนอย่างเริงร่า ส่วนผัวเธอก็งงๆในตอนแรก แต่ตอนหลังก็ยอมรับความจริงได้

คือนางเอก LOVE ON THE ROCK ทำให้เราคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ที่พอถึงอายุ 40 ปี แล้วนางเอกหนังไทยคนนี้อาจจะทำแบบนางเอก THE LEFT-HANDED WOMAN น่ะ ในขณะที่นางเอกหนังไทยเรื่องอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่มีศักยภาพแต่อย่างใดที่พอแก่ตัวลงแล้วจะกลายเป็นแบบนางเอก THE LEFT-HANDED WOMAN

4. LOVE ON THE ROCK ทำให้เรานึกถึงหนังเรื่องหนึ่งที่เราชอบสุดๆด้วย ซึ่งก็คือ A PIECE OF PLEASURE (1974, Claude Chabrol) เพราะ A PIECE OF PLEASURE มีเนื้อหาเกี่ยวกับสามีภรรยาคู่หนึ่งที่พยายามจะทำตาม “อุดมคติ” ด้วยการมี open relationship แต่ไปๆมาๆ สามีกลับถูกความหึงหวงเข้าครอบงำ และไม่สามารถทำตามอุดมคตินี้ได้

คือตัวละครสามีใน A PIECE OF PLEASURE ทำให้เรานึกถึงตัวละครนางเอกใน LOVE ON THE ROCK มากๆๆๆ และเราว่าบทวิจารณ์ของหนังสือ TIME OUT ที่มีต่อตัวละครพระเอกใน A PIECE OF PLEASURE มันสามารถนำมาใช้อธิบายตัวละครนางเอกในหนังเรื่อง LOVE ON THE ROCK ได้ตรงมากๆ นั่นก็คือบทวิจารณ์ที่เขียนว่า “But what emerges from the heart of the film is the sense of bitter despair underlying the man’s full awareness that he had found paradise, but because of his own intransigently idealistic nature, was unable to find peace and harmony there.”

5.เราว่าหนังจัดการกับตัวประกอบได้ดีในระดับนึงนะ คือสมาชิกคนที่เหลือในแก๊งวงเหล้าดูไม่แบนจนเกินไปน่ะ คือตัวประกอบพวกนี้ดูเป็น “สองมิติ” ในสายตาของเราน่ะ ตัวประกอบพวกนี้อาจจะไม่ได้เป็น “มนุษย์” เต็มที่แบบสามมิติเหมือนตัวพระเอก,นางเอก, มาช่า แต่ก็ไม่ได้เป็น “มิติเดียว” เหมือนตัวตลกในหนังไทยเมนสตรีมทั่วไป เราก็เลยพอใจกับตัวประกอบพวกนี้ในระดับนึง ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นพอใจสุดๆ

6.แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราไม่ชอบหนังเรื่องนี้ถึงขั้น A+30 นั่นก็คือฉากในศาลในช่วงท้ายของหนังนั่นแหละ มันคือเหี้ยอะไรกันคะ 555 คือจริงๆฉากนี้อาจจะไม่ได้ผิดในตัวของมันเองนะ แต่ฉากนี้มันเพียงแค่ทำให้นางเอกของหนังเรื่องนี้ไกลห่างจากนางเอกในอุดมคติของเราน่ะ คือนางเอกในอุดมคติของเราคือนางเอกแบบ FOR SALE และ THE LEFT-HANDED WOMAN ไง เพราะฉะนั้นฉากในศาล มันเลยทำให้นางเอกของหนังเรื่องนี้ออกห่างจากความเป็นนางเอกในอุดมคติของเรา และทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้น้อยลง 

คือจริงๆแล้วเราชอบที่นางเอกสารภาพผิดเรื่องการขับรถขณะมึนเมานะ แต่การกลับใจมาอยู่กับพระเอกในช่วงท้ายเรื่องด้วยเหตุการณ์แบบนั้นมันดูฝืนเกินไปสำหรับเราน่ะ คือถ้าเป็นเรา เราอยากให้นางเอกกลับมาอยู่กับพระเอกเพราะ “เหงาจิ๋ม” หรือเพราะดีกว่าช่วยตัวเองน่ะ ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์อะไรแบบนั้น

สรุปว่าเราชอบมุมมองที่มีต่อชีวิตในหนังเรื่องนี้มากๆ, ชอบตัวละครมาช่าในหนังเรื่องนี้มากๆ, ชอบตัวละครนางเอกในหนังเรื่องนี้มากๆ โดยเฉพาะการที่นางเอกอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับรักแท้มากเท่ากับอุดมคติ และชอบมากๆที่หนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับฉากเพื่อนๆคุยกัน

ปล. อยากรู้มากๆว่ามาช่ายกมรดกอะไรให้ออฟ ปองศักดิ์ หรือว่าต้องรอดูภาคสองคะ


No comments: