Friday, October 31, 2025

SIRAT AND TERRIFIER 3

 

SIRAT (2025, Oliver Laxe, Spain, A+30) ส่วนที่สอง ต่อจากที่เราโพสท์เมื่อวานนี้

 

SPOILERS ALERT

 

 

--

--

--

--

--

--

--

--

--

--

หลังจากที่เมื่อวานนี้เราเขียนถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างหนังเรื่อง SIRAT กับ HAMADA (2018, Eloy Domínguez Serén, Sweden | Germany | Norway, A+30),  3 STOLEN CAMERAS (2017, Equipe Media, RAFILM Filmmakers Collective, Sweden/Western Sahara, A+30), LOST LAND (2010, Pierre-Yves Vandeweerd, documentary, A+30) และปัญหา “อาณานิคมสเปน” ไปแล้ว วันนี้เราก็เลยจะมาจดบันทึกความทรงจำเพิ่มเติมว่า

 

MINEFIELD หรือเขตทุ่นระเบิด ที่เราเห็นตามเนื้อเรื่องใน SIRAT ถือเป็นส่วนหนึ่งของ “เขตทุ่นระเบิดที่ยาวที่สุดในโลก” นะ

 

อย่างที่เราเขียนไปเมื่อวานนี้ว่า เราเชื่อว่าเนื้อเรื่องของ SIRAT เกิดขึ้นในดินแดน Western Sahara ซึ่งเป็นดินแดนของชนชาติ Sahrawi ที่ต้องการประกาศตัวเป็นเอกราช แยกออกจากประเทศ Morocco (และปัญหานี้มีจุดตั้งต้นมาจากอาณานิคมสเปน)  วันนี้เราก็เลยจะมาเสริมข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในดินแดน Western Sahara นี้ มีเขตทุ่นระเบิดที่ยาวติดต่อกัน 2700 กิโลเมตร หรือ 1700 ไมล์ และส่งผลให้เขตทุ่นระเบิดนี้ถือเป็นเขตทุ่นระเบิดที่ยาวที่สุดในโลก

 

โดยเขตทุ่นระเบิดนี้เกิดจากการที่รัฐบาล Morocco มาวางกับระเบิดใน Western Sahara เพื่อแบ่งแยกดินแดนส่วนที่ Morocco ยึดครอง ซึ่งเป็นส่วนที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ออกจากส่วนที่ชนชาติ Sahrawi ยึดครอง โดยเป็นกับระเบิดที่วางไว้ตั้งแต่เกิดสงครามในปี 1975-1991

 

เราก็เลยเข้าใจว่าหนังเรื่อง SIRAT คงพูดถึงสงคราม 2 อัน โดยในช่วงแรกหนังคงพูดถึง “fictional war” หรือสงครามสมมุติระหว่างประเทศต่าง ๆ เพราะเห็นตัวละครพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม และ fictional war นี้ ก็เลยมีส่วนผลักดันให้ตัวละครในหนังเรื่องนี้หลีกเลี่ยง “เส้นทางปลอดภัย” และเดินทางเข้าสู่พื้นที่อันตราย จนเข้าไปในเขต Western Sahara (เพราะตัวละครพูดว่าจะเดินทางไปทางใต้ของ Morocco ใกล้พรมแดนประเทศ Mauritania) และไปเจอเข้ากับ “เขตทุ่นระเบิด” ที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งเป็นเขตทุ่นระเบิดที่มีอยู่จริง และสงครามใน Western Sahara ก็เป็น “real war” เป็นสงครามที่เกิดขึ้นจริงในโลกแห่งความเป็นจริง

 

ก็เลยสรุปได้ว่า fictional war ในช่วงต้นเรื่อง มีส่วนผลักดันให้ตัวละครเดินทางเข้าสู่พื้นที่อันตราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิด real war เป็นพื้นที่ที่มีเขตทุ่นระเบิดที่ยาวที่สุดในโลกในความเป็นจริง และ real war นี้ก็ถือเป็น “ผลพวงจากบาปที่รัฐบาลสเปนเคยทำไว้ในช่วงล่าอาณานิคม” และในที่สุดตัวละครชาวสเปนก็เลยต้องมาเผชิญกับผลพวงจากบาปของรัฐบาลสเปนนี้

 

รู้สึกว่าหนังเรื่อง SIRAT มันมีหลาย layers มาก ๆ ทั้ง layer แบบมนุษยนิยม (มนุษย์ช่วยเหลือกัน), Road Movie, ความเปราะบางของชีวิต, นัยทางศาสนา, การวิพากษ์ ignorants, ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งใน Western Sahara, ปัญหาอาณานิคมสเปน และ minefields ในหนังเรื่องนี้ก็มีจริง ๆ อีกด้วย และถือเป็น the longest minefields in the world ซึ่งมีความยาว 2700 กิโลเมตร

 

ก็ขอลงท้ายเหมือนเมื่อวานนี้ว่า ถ้าหากใครอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “พื้นที่” ที่เกิดเหตุการณ์ตามเนื้อเรื่องของ SIRAT ก็หาดูได้จากหนังเรื่อง 3 STOLEN CAMERAS, HAMADA และ LOST LAND นะคะ เพราะหนัง 3 เรื่องนี้พูดถึงสงครามใน Western Sahara

 

SIRAT ส่วนแรก
https://web.facebook.com/photo?fbid=10240959085297720&set=a.10239897545079878

+++

 

ได้ของขวัญวันฮัลโลวีนให้ลูกหมี เป็นกระเป๋าผ้าจากค่ายหนัง NIGHTEDGE PICTURES

+++++

 

ชอบ TERRIFIER 3 มากนะ รู้สึกว่าหนังโหดเกินไปหน่อยสำหรับเรา แต่มีอะไรหลายอย่างที่เราชอบ อย่างเช่น

 

1. texture ของภาพ

2. อารมณ์บางอย่างที่ทำให้นึกถึง “หนังสือการ์ตูนสยองขวัญของฝรั่ง” ที่เราเคยเห็นในวัยเด็ก

3. “ความไม่จริงจัง” หรือ “ความตลก” ของมัน ที่ช่วย balance ความโหดเกินไปของหนัง

4. เหมือนหนังมี ellipsis เยอะมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจ

5. การสร้าง “ระยะห่าง” ทางอารมณ์บางอย่างระหว่างหนังกับคนดู คือเหมือนเวลาเราดูหนังชุด SCREAM เราจะอินกับหนังมาก ๆ แต่เวลาที่เราดู TERRIFIER 3 มันจะมีความระลึกรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่า เรากำลังดูหนังที่จงใจทำอะไรโหด ๆ เล่น ๆ เพื่อผู้ชม

+++

 

ได้กลับมาเยือนห้าง CENTURY ONNUT อีกครั้ง หวังว่าโรงหนังที่ห้างนี้จะจัดฉายหนังหายากบ่อย ๆ อีก เราจะได้มาเยือนบ่อย ๆ

 

Thursday, October 30, 2025

FOUR FILMS ABOUT WESTERN SAHARA

 

เทศกาลหนังสั้นมาราธอนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 4 พ.ย.นี้แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็เลยทำลิสท์งาน video installations ที่เราต้องรีบตามเก็บช่วงนี้ดีกว่า เราจะได้ไม่งงว่าต้องรีบไปดูงานไหนบ้าง

 

นิทรรศการศิลปะที่เรายังไม่ได้ไปดู ที่เราเดาว่าอาจจะมีงาน video ในนี้ด้วย (แต่ถ้างานไหนไม่มี video ก็มา comment บอกเราได้นะ 55555)

 

1. GHOST 2568

At 469 Prasumane Road

At Asvin

At Baan Taywase

At BACC

At Bangkok CityCity Gallery

At DIB26

At Jim Thompson

At Min Sen Machinery

Wednesday-Sunday 1100-1800

Until 16 Nov

 

2. ศิลป์ พีระศรี 24

ที่ศิลปากร

จันทร์ถึงเสาร์ 0900-1800 น.

Until 22 Nov

 

3. ACCLIMATE UNDONE

At Storage

Thursday-Sunday 1300-1800

Until 23 Nov

 

4. UNDO PLANET PART 1

At BACC

Until 25 Nov

 

5. UNTIL WE MEET AGAIN

At BACC

Until 26 Nov

 

6. MELTING MAP

At Seacon Square

Until 14 Dec

 

7. Araya Rasdjarmrearnsook Part 1

At 100 Tonson

Until 18 Jan

 

QUADRUPLE FILM WISH LIST

 

1. SIRAT (2025, Oliver Laxe, Spain, A+30)

 

2. HAMADA (2018, Eloy Domínguez Serén, Sweden | Germany | Norway, A+30)

 

3. 3 STOLEN CAMERAS (2017, Equipe Media, RAFILM Filmmakers Collective, Sweden/Western Sahara, A+30)

 

4. LOST LAND (2010, Pierre-Yves Vandeweerd, documentary, A+30)

 

พอเราดู SIRAT เราก็เลยนึกถึงหนังอีก 3 เรื่องโดยบังเอิญ เพราะหนังอีก 3 เรื่องที่เราเคยดูและชอบอย่างสุดขีดนี้พูดถึงสงครามใน Western Sahara ซึ่งเป็นดินแดนที่ต้องการประกาศตัวเป็นเอกราช แยกออกจากประเทศ Morocco โดยดินแดน Western Sahara นี้ตั้งอยู่ทางใต้ของ Morocco และอยู่ติดกับประเทศ Mauritania

 

คือหนังเรื่อง SIRAT ไม่ได้พูดถึงสงครามใน Western Sahara โดยตรง แต่ตัวละครในหนังเหมือนจะเดินทางไปทางใต้ของ Morocco ในส่วนที่ใกล้กับ Mauritania เราก็เลยเข้าใจว่า จริง ๆ แล้วเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในดินแดน Western Sahara ที่เต็มไปด้วยสงครามและความขัดแย้งนี่แหละ เพียงแต่ว่า SIRAT ไม่ได้พูดแบบเจาะจงถึงสิ่งนี้โดยตรง เพื่อที่เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้จะได้มีความเป็นสากลมากขึ้น “สงคราม” ในหนังเรื่องนี้เหมือนจะเป็นสงครามแบบสากล ที่หลาย ๆ ประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะมีการพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สามด้วย

 

แต่พื้นที่ที่เกิดเหตุตามเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ อาจจะเป็นพื้นที่ที่เคยเกิดสงครามมาเป็นเวลานานแล้ว เราก็เลยเดาว่าพื้นที่ที่เกิดเหตุของหนังเรื่องนี้มันน่าจะเป็นดินแดน Western Sahara นี่แหละ

 

ซึ่งถ้าหากผู้ชมท่านใดสงสัยว่าทำไมดินแดน Western Sahara มันถึงเต็มไปด้วยสงคราม, ความขัดแย้ง และอันตรายรุนแรงถึงเพียงนี้ ก็สามารถดูได้จากหนังเรื่อง LOST LAND, 3 STOLEN CAMERAS และ HAMADA ตามที่เราลิสท์ไว้ข้างต้นจ้ะ เราชอบหนัง 3 เรื่องนี้อย่างสุดขีดมาก ๆ

 

และเราเดาว่า ถ้าหากตัวละครใน SIRAT เคยดูหนังเรื่อง LOST LAND, 3 STOLEN CAMERAS และ HAMADA มาก่อนหน้านี้แล้ว ตัวละครในหนังเรื่อง SIRAT ก็คงจะไม่ทำตัว ignorant แบบนั้น และคงจะไม่ตัดสินใจเดินทางเข้าไปใน Western Sahara แบบนั้น 55555 เพราะฉะนั้น ถ้าหากคุณไม่อยากประสบชะตากรรมแบบเดียวกับตัวละครในหนังเรื่อง SIRAT คุณก็ควรจะดูหนัง 3 เรื่องนี้ด้วยค่ะ

 

Edit เพิ่ม: ปัญหาเรื่องสงครามใน Western Sahara มันเกิดจากการที่สเปนเคยยึดครองดินแดนนี้เป็นอาณานิคมมาก่อน แล้วหลังจากนั้นสเปนก็ตัดสินใจจะสละอาณานิคมนี้ โดยจะยกดินแดนนี้ให้ประเทศ Morocco กับ Mauritania ทั้ง ๆ ที่ชนเผ่า Sahrawi ที่อาศัยในดินแดนนี้ไม่เต็มใจ

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยรู้สึกว่า การที่ตัวละครชาวสเปนใน SIRAT ต้องมาเผชิญชะตากรรมใน Western Sahara ในแง่นึงมันก็เลยเหมือนเป็น “กรรมตามสนอง” ในรูปแบบนึง เพราะว่าสงครามใน Western Sahara มันก็มีต้นกำเนิดส่วนนึงมาจากการที่สเปนเคยยึดครองดินแดนนี้เป็นอาณานิคม

 

ข้อมูลจาก Wikipedia

Spain previously colonized the territory as the Spanish Sahara until 1976, when it attempted to transfer its administration to Morocco and Mauritania while ignoring an International Court of Justice's verdict that those countries had no sovereignty over Western Sahara. A war erupted and the Polisario Front—a national liberation movement recognized by the United Nations as the legitimate representative of the people of Western Sahara—proclaimed the Sahrawi Arab Democratic Republic (SADR) with a government-in-exile in Tindouf, Algeria. Mauritania withdrew its claims in 1979, and Morocco secured de facto control of most of the territory, including all major cities and most natural resources.

 

เราเคยเขียนถึง LOST LAND ไว้ที่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10206511047558306&set=a.10205329383057432

++++

Favorite Scene from AFTERNOONS OF SOLITUDE (2024, Albert Serra, Spain, documentary, A+30)

 

ได้ฟังเทป “เทศกาลหนัง พังกระโปก!” ของ Man on Film แล้วมีการคุยกันถึงฉากโปรดในหนังเรื่อง AFTERNOONS OF SOLITUDE เราก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า ฉากโปรดของเราในหนังเรื่องนี้ คือ “ฉากในลิฟท์” ที่ถ่าย Andres Roca Rey จาก “LOW ANGLE”

 

คือเราไม่แน่ใจจุดประสงค์ของการถ่ายฉากนี้ใน LOW ANGLE นะ คือตอนแรกเรานึกว่า เขาถ่ายด้วย LOW ANGLE เพราะพื้นที่ในลิฟท์มันแคบ ก็เลยวางกล้องไม่สะดวก แต่เห็นบางคนบอกว่า ฉากนี้เขาถ่ายด้วย LOW ANGLE เพื่อขับเน้นความยิ่งใหญ่ของ Andres Roca Rey หรือเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกยิ่งใหญ่หรือความพยายามทำตัวเองให้รู้สึกฮึกเหิมของตัว Andres Roca Rey เราก็เลยคิดว่า สาเหตุที่เขาใช้ low angle น่าจะเป็นตามที่คนอื่น ๆ เขาวิเคราะห์ไว้นี่แหละค่ะ

 

ส่วนสาเหตุที่เราชอบฉากนี้อย่างสุดขีด เพราะการถ่ายผู้ชายหนุ่มหล่อด้วย LOW ANGLE แบบนี้เป็นเวลานาน ทำให้ดิฉันรู้สึกเสียวมาก ๆ ค่ะ 55555

 

น่าเสียดายที่เราหาภาพจากฉากนี้ไม่เจอในอินเทอร์เน็ต เราก็เลยเอารูปผู้ชายที่ถ่ายด้วย LOW ANGLE มาเป็นตัวอย่างให้ดูแทน แต่ในหนังเรื่อง AFTERNOONS OF SOLITUDE เขาไม่ได้ใช้องศาในการถ่ายที่ต่ำถึงขั้นในรูปตัวอย่างนี้นะ 55555

 

อย่างไรก็ดี ถึงแม้เราจะชอบหนังเรื่อง AFTERNOONS OF SOLITUDE ที่ถ่ายผู้ชายหนุ่มหล่อด้วย LOW ANGLE ในลิฟท์ เราก็ไม่ได้รู้สึกพิศวาสตัว Andres Roca Rey ในความเป็นจริงนะ เพราะเราสงสารวัวกระทิง ก็เลยไม่สามารถทำใจให้ชอบ Matador ได้ค่ะ

 

รูปแรกเป็นตัวอย่างของการถ่ายผู้ชายด้วย angle ที่ถูกต้อง ส่วนรูปที่สองมาจาก AFTERNOONS OF SOLITUDE

+++

ฉันเพิ่งรู้ว่ามีคำศัพท์ไทย “ชะวากทะเล” อยู่ด้วย

Wednesday, October 29, 2025

GOTHAM NOMINATIONS 2025

 

อยากดู MY UNDESIRABLE FRIENDS: PART 1 – LAST AIR IN MOSCOW (2024, Julia Loktev, documentary) อย่างรุนแรงที่สุด หวังว่าจะมีคนนำหนังเรื่องนี้มาฉายในไทย เพราะหนังเรื่องนี้มีความยาวเพียงแค่ 5 ชม. 24 นาทีเท่านั้นเอง และหนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักข่าวรัสเซียบางคนที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการนำเสนอข่าว ในช่วงที่รัสเซียบุกยูเครน แต่การที่นักข่าวรัสเซียบางคนทำเช่นนั้นทำให้พวกเขาอาจจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกสายลับต่างชาติ/พวกชังชาติ/พวกขายชาติ แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้นึกถึงนักข่าวดี ๆ หลายคนในไทย

 

หนังเรื่องนี้ได้เข้าชิงรางวัล GOTHAM สาขาหนังสารคดียอดเยี่ยมประจำปี 2025 และเคยติดอันดับ 9 ในลิสท์หนังยอดเยี่ยมที่ไม่ได้รับการจัดจำหน่ายในสหรัฐของนิตยสาร FILM COMMENT ประจำปี 2024 ด้วย

 

ดีใจสุดขีดกับ RESURRECTION, SORRY BABY, MY FATHER’S SHADOW, THE MASTERMIND, SIRAT, BLUE SUN PALACE, URCHIN ที่ได้เข้าชิงรางวัล GOTHAM ในสาขาต่าง ๆ

 

Tuesday, October 28, 2025

A VERY LONG GIF (2023, Eduardo Williams, Spain/Norway/Greece, 75min, A+30)

 

A VERY LONG GIF (2023, Eduardo Williams, Spain/Norway/Greece, 75min, A+30)

 

1. กราบตีนจริง ๆ ดูเพลินมาก ๆ ตลอดทั้ง 75 นาที ถึงแม้หนังมันไม่มีเนื้อเรื่องอะไรเลย หนังเรื่องนี้ฉายที่ Bangkok Kunsthalle นะ

 

2. ในส่วนของ “เสียง” ของหนังเรื่องนี้นั้น มันเป็นเสียงที่อึงอลมาก ๆ เราเข้าใจว่ามันเป็นเสียงของการจราจรตามท้องถนน (มีเสียงรถหวอด้วย) และมีเสียงคนพูดคุยกันเป็นภาษาที่เราฟังไม่ออก เห็นเอกสารที่แจกบอกว่า หนังเรื่องนี้พูดภาษาฝรั่งเศส, สเปน, จีนกลาง, และ Guinea-Bissau Creole แต่หนังไม่ได้ขึ้นซับไตเติลใด ๆ มาให้นะ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร

 

3. ในส่วนของภาพนั้น หนังเรื่องนี้เหมือนแบ่งภาพออกเป็น 3 หน้าจอ ซึ่งประกอบด้วยหน้าจอใหญ่ 1 อัน และหน้าจอเล็ก 2 อัน โดยทั้ง 3 หน้าจอจะมีรูปทรงคล้าย “โอ่ง” แต่ว่าจะมีในบางช่วงของหนัง ที่หน้าจอเล็กบางอันจะเปลี่ยนรูปทรงไปคล้าย ๆ “พระจันทร์เสี้ยว” ซึ่งทำให้เรานึกถึงข้างคืน ข้างแรม อะไรทำนองนี้

 

4. หน้าจอเล็ก 2 อันจะเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ในระหว่างที่หนังดำเนินไป

 

5. หน้าจอใหญ่ จะถ่ายด้วย pill camera ในช่วงต้นของหนังเราจะเห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่ง แล้วคนหนึ่งก็กลืนกล้องเข้าไป แล้วเราก็จะเห็นระบบทางเดินอาหารของผู้ชายคนนี้เป็นเวลาราว 60 กว่านาทีได้มั้ง ก่อนที่หนังจะตัดไปเป็นภาพ “คลื่นบ้ากระแทกคลื่นบ้าในมหาสมุทร” ในช่วงท้ายของหนัง

 

6. หน้าจอเล็กอันนึง จะเป็นภาพวนลูปสั้น ๆ ลูปละประมาณ 5 นาทีได้มั้ง แสดงให้เห็นถึงภาพ landscape ในเมืองแห่งนึง เห็นอาคารบ้านเรือน เห็นหน้าคนเบลอ ๆ และก็เห็นสถาปัตยกรรมที่คล้าย ๆ Acropolis ในกรุงเอเธนส์ของกรีซ เราก็เลยเดาว่า หน้าจอเล็กอันนี้อาจจะนำเสนอฟุตเตจที่ถ่ายในกรุงเอเธนส์

 

7. หน้าจอเล็กอีกอัน จะแสดงให้เห็น landscape ในเมืองหลายเมืองในหลายประเทศทั่วโลก (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด) โดยที่ภาพในหน้าจอเล็กอันนี้ เหมือนจะไม่ซ้ำกันเลยตลอดทั้ง 75 นาที เราก็เลยเน้นดูที่หน้าจอนี้เป็นหลัก เพราะเราเองก็ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ การดูหนังเรื่องนี้ก็เลยเหมือนช่วยให้เราได้เดินทางท่องเที่ยวรอบโลกไปในทางอ้อมด้วย 55555 แต่ landscape ส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ “เจริญหูเจริญตา” นะ มันเป็นภาพอาคารบ้านเรือนคลั่ก ๆ ในเมืองใหญ่

 

เดาว่าฟุตเตจบางส่วนน่าจะถ่ายที่ไต้หวัน เพราะมีตัวอักษรภาษาจีนในภาพด้วย

 

ขำเนื้อหาบางช่วง ที่เป็นเหมือนหนุ่มสาวคุยกันริมประติมากรรมอะไรบางอย่างที่คล้าย ๆ หินบนหลุมฝังศพ แล้วหนุ่มสาวคู่นี้ก็ทำท่าทำทางเหมือนจะเอากันทางประตูหลัง แต่ไป ๆ มา ๆ หนุ่มสาวคู่นี้กลับ “วิดพื้น” เฉย ๆ ไม่ได้เอากันแต่อย่างใด กูงงมาก 55555

 

8. หน้าจอเล็ก 2 อันนี้ ในช่วงท้ายของหนัง จะเปลี่ยนไปเป็นฟุตเตจ “ท้องทะเลสงบ” ในหน้าจอนึง ส่วนอีกหน้าจอนึงจะเปลี่ยนไปเป็นฟุตเตจ “ผู้คนริมชายหาด”

 

9. หนังเรื่องนี้คงจงใจเล่นกับเรื่อง “ขนาด” เพราะว่าภาพในหน้าจอใหญ่ถ่ายด้วยกล้อง pill camera ซึ่งเป็นกล้องเล็กจิ๋ว แต่ภาพถูกนำมาขยายใหญ่จนเต็มจอฉายหนัง ส่วนภาพในหน้าจอเล็กเป็นวิดีโอที่ถ่ายด้วย telephoto lens เห็น landscape กว้างใหญ่ แต่ถูกนำเสนอในจอขนาดเล็ก

 

10. รู้สึกว่ามันน่าสนใจดีที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ “การทำงานของอวัยวะภายในร่างกายมนุษย์”, “landscape ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ อย่างเช่น ถนนหนทาง ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการดำรงอยู่ของมนุษย์” และการเคลื่อนคล้อยของดวงดาว (ผ่านทางรูปทรงที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ของหน้าจอเล็ก และการเคลื่อนที่ของหน้าจอเล็ก) ไปพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกันตลอดเวลา เหมือนทั้ง 3 อย่างนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นพร้อมกันตลอดเวลาของชีวิตเรา เพราะอวัยวะภายในร่างกายของเรามีการทำงานตลอดเวลา, ผู้คนในเมืองเดียวกับเรา และผู้คนทั่วโลกก็ดำรงชีวิตไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลา และโลกกับดวงจันทร์ ก็มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทั้งหมุนรอบตัวเอง และหมุนรอบดวงอาทิตย์หรือหมุนรอบโลก

 

11. เราถ่ายรูปจอหนังเรื่องนี้เฉพาะช่วงที่เราอยู่คนเดียวในแกลเลอรี่นะ เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปช่วงต้นกับช่วงท้ายของหนังเรื่องนี้ เพราะช่วงนั้นมีผู้ชมคนอื่น ๆ อยู่ในแกลเลอรี่ด้วย

 

12. ตอนนี้เราได้ดูหนังของ Eduardo Williams ไปเพียงแค่ 7 เรื่อง ชอบสุดขีดทุกเรื่องเลย I worship Eduardo Williams

 

++++

ฟังเทป “ผีใช้ได้มั้ย กระโปกใช้ได้ค่ะ!” จบไปตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 555 แต่เพิ่งมีเวลามาจดบันทึกความทรงจำตอนนี้ ชอบมาก ๆ ที่ในเทปนี้มีการเปรียบเทียบหนังเรื่อง A USEFUL GHOST (2025, Ratchapoom Boonbunchachoke) กับ SON OF SAUL (2015, Laszlo Nemes, Hungary) และ INGLOURIOUS BASTERDS (2009, Quentin Tarantino)

 

และก็ชอบสุดขีดที่ผู้จัดรายการท่านหนึ่งพูดถึงประวัติชีวิตตัวเองช่วงที่เรียนมหาลัย แล้วต่อต้านการรับน้อง จนถูกเพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่งคว่ำบาตร และประสบการณ์ครั้งนั้นส่งผลในการหล่อหลอมตัวตนของคนคนนึง

เพราะอันนี้ทำให้เรานึกถึงชีวิตตัวเองเหมือนกัน เพราะตอนช่วงต้นทศวรรษ 1990 เราสอบเทียบหลังจบม.5 และเข้าเรียนมหาลัยในคณะนึง แล้วก็พบกับการรับน้อง+การซ้อมเชียร์ที่เราไม่ชอบ เราก็เลยเข้าซ้อมเชียร์แค่ 3 วัน แล้วหลังจากนั้นเราก็เลยไม่เข้าอีกเลย แล้วอันนั้นก็เลยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราไม่มีเพื่อน (แต่ปัจจัยหลักก็คือเราปรับตัวให้เข้ากับชีวิตมหาลัยไม่ได้เอง) แล้วพอจบปีหนึ่งเราก็เลยเอ็นท์ใหม่เข้าคณะอักษร ซึ่งการซ้อมเชียร์เป็นอะไรที่เบาสบายมากๆๆๆๆๆ เราก็เลยเข้าซ้อมเชียร์ตามปกติและเรียนในคณะนั้นอย่างมีความสุขมากจนจบ

 

เราก็เลยพบว่า “การต่อต้านการซ้อมเชียร์” ในมหาลัยมันทำให้เส้นทางชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงเหมือนกัน เพราะถ้าหากเราไม่ต่อต้านมันในตอนนั้น เราก็คงเรียนจบในคณะแรก แทนที่จะเอ็นท์ใหม่และมาเรียนจบในคณะอักษร เหมือนเส้นทางที่เราเลือกเดินในตอนนั้น เลือกว่าจะเข้าซ้อมเชียร์หรือไม่เข้าซ้อมเชียร์ในช่วงต้นเดือนมิ.ย. 1990 หรือเมื่อ 35 ปีก่อน มันส่งผลกระทบต่อชีวิตเราทั้งชีวิตในอีก 35 ปีต่อมา

 

 

Monday, October 27, 2025

DESTROY ALL MONSTERS (1968, Ishiro Honda, Japan, A+30)

 

ทุกครั้งที่มากินอาหารที่ร้าน CAFE KALDI ที่ Esplanade Ratchada ก็จะนึกถึงความสุขที่เคยได้รับในงาน World Film Festival of Bangkok ตอนต้นปี 2012 และปลายปี 2012 จำได้ว่าตอนนั้นเราต้องกินอาหารเช้าที่ร้านนี้เป็นหลัก และเทศกาลปีนั้นมีหนังดี ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึง TURIN HORSE (2011, Bela Tarr, Hungary) และ AARAKSHAN (2011, Prakash Jha, India)

+++

 

ฉันรักเขา Yu Chieh-en from MARCHING BOYS (2025, Chiang Jui-chih, Taiwan, A+30)

+++

ได้โปสเตอร์หนังมาอีก 3 ใบ

 

1. DESTROY ALL MONSTERS (1968, Ishiro Honda, Japan, A+30)

 

2. MOTHRA VS. GODZILLA (1964, Ishiro Honda, Japan, A+30)

 

3. GODZILLA VS. KING GHIDORAH (1991, Kazuki Omori, Japan, A+25)

+++

 

ช่วงนี้เราทยอยเอาชื่อหนังเก่า ๆ ที่เราเคยดูในวัยเด็ก แล้วเราจดชื่อไว้ ไปลงใน letterboxd เพื่อจะได้จำได้ว่าเราเคยดูหนังเรื่องอะไรไปแล้วบ้าง

 

แต่ปัญหาก็คือว่า หนังต่างประเทศหลายเรื่องที่เราเคยดูในวัยเด็ก ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 (ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่มี internet) เราจดชื่อหนังเป็นภาษาไทย แล้วตอนนี้เราก็หาข้อมูลไม่ได้เลยว่า มันคือหนังเรื่องอะไร เพราะเราจำเรื่องย่อของหนังแต่ละเรื่องก็ไม่ได้ด้วย อย่างเช่น

 

1. คนจริงใจต้องนิ่ง แล้วผู้หญิงจะกรี๊ดเอง

 

มันคือหนังฮ่องกงแน่นอน แต่มันคือหนังเรื่องอะไรคะ ใครรู้บ้าง

 

2. แผนยึดเมือง

 

มันคือหนังเรื่องอะไร เราจำไม่ได้แล้วว่ามันคือหนังชาติอะไร เนื้อเรื่องเป็นยังไง 55555

 

3. สาวพลังจิต

 

เป็น “หนังญี่ปุ่น” ที่มาฉายทางช่อง 7 น่าจะสร้างในช่วงทศวรรษ 1980 จำได้ว่าเราชอบหนังเรื่องนี้มากพอสมควร นางเอกเป็นนักเรียนสาวไฮสกูลที่มีพลังจิต เราสังหรณ์ใจว่าหนังเรื่องนี้อาจจะเป็นหนังที่กำกับโดย Nobuhiko Obayashi แต่ผู้กำกับท่านนี้ก็ดูเหมือนจะกำกับหนังหลายเรื่องที่มีตัวละครเป็น “สาวพลังจิต” หรือเปล่านะ 55555

Sunday, October 26, 2025

LITERATURE FILM QUARTERLY

 

เพิ่งรู้ว่านิตยสาร LITERATURE/FILM QUARTERLY นี่ตีพิมพ์มานาน 53 ปีแล้ว หนักมาก ๆ ถือเป็นนิตยสารภาพยนตร์ที่อยู่ยงคงกระพันมาก ๆ เราเข้าใจว่ามันเป็นนิตยสารที่ตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 1972 จนถึงปัจจุบัน เราเคยอ่านนิตยสารนี้ฉบับเก่า ๆ บางฉบับในหอกลาง จุฬา เมื่อราว 20 กว่าปีก่อน เพราะมันมีบทความเกี่ยวกับภาพยนตร์ของ Alain Robbe-Grillet

 

นิตยสารนี้มีให้อ่านออนไลน์ในบางฉบับด้วยนะ เห็นมีบทความเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์ระหว่างหนังสั้นของวง BTS กับบทประพันธ์ของ Oscar Wilde” และมีบทความวิเคราะห์ภาพยนตร์ชุด RESIDENT EVIL ด้วย

https://lfq.salisbury.edu/archive.html#gsc.tab=0

 

Friday, October 24, 2025

LONG TAKES IN THAI FILMS

 BYAW THAN (THE SOUND OF CEREMONIAL OVERTURE) (2025, Aww Ratha, Myanmar) เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์หลายโรงในเครือเมเจอร์นะคะ

++++

 

เหมือนในปีนี้เราได้ดูหนังอย่างน้อย 3 เรื่องที่มี “ฉากพลิกบนลงล่าง พลิกล่างขึ้นบน” เหมือนกัน แล้วปรากฏว่าหนังทั้ง 3 เรื่องนี้เป็นหนังการเมืองที่กำกับโดยผู้หญิงทั้ง 3 เรื่องเลย

 

โดย “ฉากพลิกบนลงล่าง พลิกล่างขึ้นบน” ที่ว่านี้ เราหมายถึงฉากที่กล้องพลิกคว่ำจากบนลงล่าง เพื่อให้ผู้ชมมองเห็นพื้นดินอยู่ด้านบนจอ และผืนฟ้าอยู่ที่ด้านล่างของจอ หรือมองภาพคล้าย ๆ จะกลับหัวกลับหาง

 

หนังทั้ง 3 เรื่องนี้ได้แก่

 

1. MAKING SHADOWS SPEAK (2025, Wantanee Siripattananuntakul, 15min, A+30)

 

2. LANDMARKS (2025, Lucrecia Martel, Argentina, documentary, 119min, A+30)

 

3. AND THE FISH FLY ABOVE OUR HEADS (2025, Dima El-Horr, Lebanon, documentary, 70min, A+30)

 

ในบรรดา 3 เรื่องนี้เราชอบ AND THE FISH FLY ABOVE OUR HEADS มากที่สุด

 

เสียดายที่เราหาภาพจาก “ฉากพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” ใน LANDMARKS กับ AND THE FISH FLY ABOVE OUR HEADS ไม่ได้ แต่เหมือนฉากดังกล่าวอาจจะเป็น “ฉากสำคัญ” ของหนัง 2 เรื่องนี้ ทางผู้สร้างหนังก็เลยไมได้ปล่อยภาพนิ่งจากฉากดังกล่าวออกมาสู่สายตาคนทั่วไป

 

แต่จริงๆ แล้วเหมือนเราได้เห็น “ฉากพลิกบนลงล่าง พลิกล่างขึ้นบน” แบบนี้อีกในหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เราได้ดูในปีนี้นะ อาจจะเป็นหนังที่กำกับโดยผู้ชายหรือกำกับโดย queer แบบ Scud แต่เรานึกไม่ออกว่ามันคือหนังเรื่องอะไร ตอนนี้เท่าที่นึกออกก็มี THE SPIRIT LEVEL (2023, Taiki Sakpisit, A+30) ที่มีฉากพลิกบนลงล่าง พลิกล่างขึ้นบนเหมือนกัน

 

มีใครนึกออกไหมว่า มี “ฉากพลิกบนลงล่าง พลิกล่างขึ้นบน” แบบนี้อีกในหนังเรื่องอะไรอีกบ้าง โดยเฉพาะหนังที่เข้าฉายในกรุงเทพในปีนี้

 

+++++++

 

พอเราได้ดู TIMELESS REACTIONS: A COMPOSITION OF WRITING, CHEMISTRY, AND SILENCE เรื่องในข้อแม้ของเวลา: การเขียน, เคมี และความเงียบ (2025, Jirat Sompakdee, A+25) เราก็เลยสงสัยว่า มีใครทำสถิติ long take ในภาพยนตร์ไทยเอาไว้บ้างหรือเปล่า เพราะเราคิดว่า หนังเรื่องนี้น่าจะสร้างประวัติศาสตร์ในแง่ของ long take ไว้ด้วยมั้ง โดยเฉพาะ “long take แบบเคลื่อนกล้อง” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยเจอ เพราะปกติเรามักจะเจอแต่ “long take แบบตั้งกล้องนิ่ง”

 

ไม่แน่ใจว่า ฉาก long take แบบเคลื่อนกล้องใน TIMELESS REACTIONS: A COMPOSITION OF WRITING, CHEMISTRY, AND SILENCE ยาวกี่นาที แต่เห็นบางคนเขียนว่าน่าจะนานยาว ๆ ราว 20 นาที ซึ่งเราก็ชื่นชมความตั้งใจและความพยายามของผู้สร้างหนังและทีมงานในส่วนนี้มากๆ คือเราอาจจะไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดขีดถึงขั้น A+30 แต่ถ้าหากเทียบกับ “หนังไทยฉายโรงใหญ่” โดยทั่วไปแล้ว เราก็ชอบมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างจริงจังในการทำหนัง

 

ฉาก long take ในภาพยนตร์ไทยเรื่องอื่น ๆ ที่ประทับใจเรา

 

1. AFTERNOON TIMES (2005, Tossapol Boonsinsukh, 90min)

 

หนังเรื่องนี้ถือเป็น ONE OF MY MOST FAVORITE FILMS OF ALL TIME และหนังเรื่องนี้มีฉาก long take แบบตั้งกล้องนิ่งที่นานราว 14 นาที 42 วินาที ซึ่งเป็นฉากที่ทำให้เราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงในการดูรอบแรก ๆ

 

ลิงค์หนังเรื่องนี้อยู่ใน comment นะ อยู่ใน Channel ของคุณทศพลในยูทูบ

 

2. SHANGRI-LA (2022, SHANGRI-LA (2022, Saharat Ungkitphaiboon, 51min)

 

หนังเรื่องนี้มันมีฉากลองเทคแบบตั้งกล้องนิ่งยาว ๆ ใช่ไหมนะ มันยาวราวกี่นาทีนะ แต่ถือเป็น ONE OF MY MOST FAVORITE SCENES IN THAI FILMS ไปเลย

 

3. PERU TIME (กู่ก้องบอกรักนิรันดร) (2008, Chaloemkiat Saeyong, 18 min)

 

อันนี้ก็มีฉาก long take แบบตั้งกล้องนิ่งเป็นเวลายาวนาน แต่แตกต่างจาก 2 เรื่องข้างต้น เพราะว่าสองเรื่องข้างต้นนั้น ฉาก long take เป็นฉากที่ “เล่าเรื่อง” ไปด้วย หรือเป็นฉากที่ตัวละครทำกิจกรรมอะไรบางอย่างไปด้วย ส่วนฉากลองเทคใน PERU TIME เหมือนไม่ได้เล่าเรื่องโดยตรง

 

4. YOU HAVE TO WAIT, ANYWAY (2007, Nawapol Thamrongrattanarit, 22min)

 

จริง ๆ แล้วเราไม่ได้ชอบจุดประสงค์ของหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ 55555 เพราะเราว่าหนังหลาย ๆ เรื่องเขาตั้งกล้องนิ่ง long take เพราะว่าผู้กำกับเขา “ชอบ” หรือ “รัก”  ในสิ่งที่เขาอยากบันทึกไว้ แต่เราเดาว่าอันนี้ผู้กำกับอาจจะแค่อยากแกล้งคนดู 555

 

5. SWING ชิงช้า (2011, Weerapong Wimuktalop, 30min)

 

ถ้าหากเราจำไม่ผิด ช่วงท้ายของหนังเป็นฉากลองเทคแบบยาวนานที่กล้องเคลื่อนไปตามพื้นดินอันขรุขระ แต่เราจำไม่ได้ว่านานราวกี่นาที

 

หนังที่เราสงสัยว่าน่าจะมีฉากลองเทคนาน ๆ

 

1. BIRTH OF THE SEANEMA (2004, Sasithorn Ariyavicha)

 

ถึงแม้เราจะดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ไปแล้ว 5 รอบ เราก็ไม่แน่ใจว่ามันมีฉากลองเทคที่นานถึง 10 นาทีแบบหนังกลุ่มข้างต้นหรือเปล่า บางทีอาจจะไม่มีก็ได้นะ 55555 เหมือนตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้รอบแรกในปี 2004 เรารู้สึกว่าหนังมัน “นิ่ง” มาก ๆ แต่พอเราดูหนังเรื่องนี้ในรอบหลัง ๆ เรากลับรู้สึกว่าหนังมันตัดภาพเร็วจัง 55555

 

2. LUNG NEAW VISITS HIS NEIGHBOURS (2011, Rirkrit Tiravanija, 154min)

 

เราเคยดูหนังเรื่องนี้ไปแล้วเมื่อ 10 กว่าปีก่อน แต่เราก็ไม่แน่ใจว่ามันมีฉากลองเทคนาน ๆ หรือเปล่า บางทีอาจจะไม่มีก็ได้ หรืออาจจะนานแค่ราว 5 นาที

 

สรุปว่า อยากให้มีคนทำสถิติเรื่องฉากลองเทคในภาพยนตร์ไทยค่ะ 55555

 

รูปจาก AFTERNOON TIMES

 

https://www.youtube.com/watch?v=oPH8bGaDNs8&t=5199s

 

Thursday, October 23, 2025

SEARCH FOR LIFE I (2024, Stephanie Comilang, 22min, A+30)

 

PORTRAIT OF AN OLD WOMAN (1655, Rembrandt)

+ OVERWHELMED (2025, Chanantorn Thapthan, 25min, A+30)

 

ชอบการจัดแสงเงาในบางฉากของ OVERWHELMED มาก ๆ ดูแล้วนึกถึง paintings ในยุค 400-500 ปีก่อน

 

SEARCH FOR LIFE I (2024, Stephanie Comilang, 22min, A+30)

 

ก่อนหน้านี้เราเคยรู้ว่า “มะละกอ” ไม่ใช่ผลไม้ไทย แต่เป็นผลไม้ต่างชาติที่มีต้นกำเนิดมาจากลาตินอเมริกา เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่มีมะละกอก็เลยถือว่ามีความเป็น “ต่างชาติ” อยู่ด้วย ไม่ใช่ “ไทยแท้” (เป็นสิ่งที่เอาไว้ด่าพวก “คลั่งชาติ” ว่า ถ้าหากมึงคลั่งชาติไทยนัก มึงก็ห้ามกินอาหารที่มีมะละกอ)

 

แต่เราเพิ่งรู้จากหนังเรื่องนี้+สนทนาหลังหนังจบ ว่า “สับปะรด” ก็เป็น “ผลไม้ต่างชาติ” เหมือนกัน เป็นผลไม้ลาตินอเมริกาเหมือนกัน โดยเราเข้าใจว่า สับปะรดมันเพิ่งเข้ามาในเอเชียเมื่อชาวโปรตุเกสนำสับปะรดจากบราซิลเข้าไปในอินเดียในปี 1550 เพราะฉะนั้นสับปะรดก็เลยไม่ใช่ผลไม้ไทย แต่เป็นผลไม้ต่างชาติเหมือนกัน 55555

 

เราเพิ่งรู้ด้วยว่า ในยุคที่ฟิลิปปินส์ตกเป็นอาณานิคมของสเปนนั้น ชาวสเปนมักจะให้ชาวฟิลิปปินส์ใส่เสื้อผ้าที่ทำจาก “ใบสับปะรด” เพราะเสื้อผ้าประเภทนี้มันเป็น “ผ้าโปร่ง” ผู้ใส่เสื้อผ้าแบบนี้จะไม่สามารถซุกซ่อนอาวุธได้

 

อีกประเด็นที่ชอบมากจากหนังเรื่องนี้+สนทนาหลังหนังจบ ก็คือเรื่อง Monarch Butterfly ที่สามารถบินข้ามจากแคนาดามายังเม็กซิโกได้ และมี “วัฏจักรแบบ 6 ชั่วรุ่นอายุ” คือเหมือนรุ่นแรกจะบินจากเม็กซิโกขึ้นไปทางเหนือ แล้วรุ่นต่อ ๆ มาก็จะบินขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ จนถึงแคนาดา โดยที่ขนาดร่างกายจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพอถึงรุ่นที่ 4 หรือรุ่นที่ 5 ตัวมันก็จะโตมาก แล้วมันก็จะบินกลับจากแคนาดามาเม็กซิโก วนเวียนเป็นวัฏจักรแบบนี้ไปทุก 6 ชั่วรุ่นอายุผีเสื้อ รุนแรงมาก ๆ (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด)

 

หนังเรื่องนี้พูดถึงคนงานชาวฟิลิปปินส์ที่ทำงานใน “เรือเดินสมุทร” ด้วย ซึ่งคนที่ให้สัมภาษณ์ก็พูดในทำนองที่ว่า งานมันยากลำบากมาก ๆ ทุกข์ทรมานมาก ๆ แต่ก็ต้องทำเพื่อเงินยังชีพ

 

ผู้ให้สัมภาษณ์คนนึงหล่อมาก ๆ ๆ ๆ ด้วยค่ะ 55555

+++

 

A NIGHT WE HELD BETWEEN (2024, Noor Abed, Palestine, 30min, A+30)

 

ดูที่ Jim Thompson

 

 

Wednesday, October 22, 2025

Masahiro Matsuoka

 

ฉันรักเขา Masahiro Matsuoka from GODZILLA: FINAL WARS (2004, Ryuhei Kitamura, Japan, A+30)

 

รู้สึกว่าเขาหล่อมาก แต่ทำไมดิฉันไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลย พอลองค้นดูก็เลยพบว่า ส่วนใหญ่แล้วเขาเล่นแต่ละครโทรทัศน์เป็นหลัก เราก็เลยไม่เคยเห็นเขามาก่อน

 

Masahiro Matsuoka พระเอกหนังเรื่อง GODZILLA: FINAL WARS (2004, Ryuhei Kitamura, Japan, A+30) นี่หล่อจริง ๆ เราเพิ่งรู้จากคุณ Para Narak ว่า เขาเป็นมือกลองวง Tokio ด้วย กรี๊ดดดดดดดดดดดด น่ารักที่สุด

https://www.youtube.com/watch?v=4j7NaIrS4yE

 

Sunday, October 19, 2025

RIP KITTISAK SUWANNAPOKHIN

 

เราเก็บ STARPICS เล่มที่ 174 (ม.ค. 1983) กับ 177 (เม.ย. 1983) เอาไว้ ในสองเล่มนี้มีคอลัมน์ WE READ YOUR MAIL ของ “ทิวลิบ” ด้วย เราก็เลยสแกนมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน

 

1.ชอบมาก ๆ ที่มีคนเขียนจดหมายท่านนึงใช้นามปากกาว่า “ภัควดี” ด้วย เราชอบที่ทิวลิบตอบคุณภัควดีมาก ๆ (อาจจะชื่อซ้ำกับคุณภัควดีที่เป็นนักแปลโดยบังเอิญนะ)

 

2. ชอบที่คุณทิวลิบวิเคราะห์ความแตกต่างกันระหว่าง Meryl Streep, Diane Keaton, Sissy Spacek, Jane Fonda, Faye Dunaway

 

3. ชอบที่คุณทิวลิบเปรียบเทียบระหว่าง “ทองพูน โคกโพ” กับ CONVOY (1978, Sam Peckinpah, A+30)

 

4. ชอบที่คุณทิวลิบวิเคราะห์ “แสงสีเขียว” และ “แสงสีน้ำเงิน” ในภาพยนตร์

 

5. เราเพิ่งรู้ว่าหนังเรื่อง HARDLY WORKING (1980, Jerry Lewis) เคยเข้าโรงฉายตามปกติในไทย

 

6. ชอบที่คุณทิวลิบวิเคราะห์ความแตกต่างกันระหว่างผู้กำกับหนังไทยรุ่นใหม่ในยุคนั้น โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

 

6.1 ผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ทำหนังแบบคนรุ่นเก่า อย่างเช่น รุจน์ รณภพ, กำธร ทัพคัลไลย

 

6.2 ผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ทำหนังที่อยู่ตรงกลางระหว่างแบบใหม่กับแบบเก่า  อย่างเช่น ชนะ คราประยูร

 

6.3 ผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ทำหนังในรูปแบบใหม่ อย่างเช่น คิด สุวรรณศร, สุชาติ วุฒิวิชัย, ปกรณ์ พรหมวิทักษ์, ยุทธนา มุกดาสนิท

https://web.facebook.com/jit.phokaew/posts/pfbid02oHVGBKEBvnakvzgwEXdZ1DxQk95XKdf6NWUYvaWLe6TGMbEqAAazabcdyjhXvkJKl

 

 

Saturday, October 18, 2025

I, THE SONG (2024, Dechen Roder, Bhutan, 114min, A+30)

 

วันนี้เราไปดูหนังเรื่อง BANGKOK JOYRIDE 5: DANCING WITH DEATH (2025, Ing K., documentary, 154min, A) และ I, THE SONG (2024, Dechen Roder, Bhutan, 114min, A+30)  ที่ Cinema Oasis แล้วเราก็พบว่า มีบทภาพยนตร์เรื่อง LABYRINTH UNDER CYCLONE (2025, Achitaphon Piansukprasert, A+30) วางขายอยู่ที่โรงภาพยนตร์ด้วย ในราคา 210 บาท เราก็เลยปึ้บมาไว้เลย

 

ฉันรักเขา Tshering Dorji from I, THE SONG (2024, Dechen Roder, Bhutan, 114min, A+30) 

 

ฉันรักเขา Dorji Wangdi from I, THE SONG (2024, Dechen Roder, Bhutan, 114min, A+30) 

+++

 

RIP SAMANTHA EGGAR (1939-2025)

 

เราเคยดูเธอจาก THE BROOD (1979, David Cronenberg, Canada, A+30)

 

เธอเคยรับบทเป็น Anna Leonowens ในละครโทรทัศน์ชุด ANNA AND THE KING (1972) ด้วย

 

เธอเคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ดารานำหญิงยอดเยี่ยมจาก THE COLLECTOR (1965, William Wyler) ด้วย เราอยากดูหนังเรื่องนั้นมาก ๆ แต่ปีนั้นรางวัลออสการ์ตกเป็นของ Julie Christie จาก DARLING (1965, John Schlesinger) ซึ่งเราก็อยากดูมาก ๆ เช่นกัน

Friday, October 17, 2025

KANTARA A LEGEND: CHAPTER 1 (2025, Rishab Shetty, India, 165min, A+30)

 

ONE FILM FESTIVAL AFTER ANOTHER

 

หลังจากเผชิญกับการแย่งชิงตั๋วหนังอย่าง THE MASTERMIND (2025, Kelly Reichardt, A+30) ใน BKKIFF เราก็พบว่า ตั๋วหนังเรื่อง GODZILLA: FINAL WARS (2004, Ryuhei Kitamura, Japan, 125min) ที่ PARAGON เกือบเต็มแล้ว ใครที่เพิ่งเสร็จจากงาน BKKIFF ก็อย่าได้ชะล่าใจนะคะ ต้องรีบปึ้บตั๋วโดยด่วนค่ะ

 

หรือไม่งั้นก็ไปดู GODZILLA: FINAL WARS ที่ MBK แทน เพราะที่นั่งยังเหลือเยอะ

 

ตอนนี้วางแผนว่า วันจันทร์ที่ 20 ต.ค. เราอาจจะดู GODZILLA VS. KING GHIDORAH ที่ MBK รอบ 1615 แล้วไปดูหนังสเปนต่อรอบ 1930

 

แล้ววันอาทิตย์ที่ 26 ต.ค. เราอาจจะดู DESTROY ALL MONSTERS รอบ 11.00 ที่ PARAGON, MOTHRA VS. GODZILLA รอบ 1330 ที่ PARAGON และ GODZILLA FINAL WARS รอบ 1805 ที่ MBK

 

+++

 

ฉันรักเขา Shohret Nur นักดนตรีชาวอุยกูร์จาก GEOPOETICS (2024, Mukaddas Mijit, video installation,12min, A+30)

+++

 

FILMS SEEN ON THURDAY 16 OCT, 2025

 

อยากทำอันดับหนัง BKKIFF กับเขาบ้าง แต่ยังมองไม่เห็นวี่แววว่าจะได้มีเวลาทำอันดับเมื่อไหร่ เพราะเราต้องรีบออกไปเก็บหนังเรื่องต่าง ๆ ที่เข้าโรงฉายในตอนนี้ 55555

 

เรียงตามลำดับการดู

 

1. RELAY (2024, David Mackenzie, 112min, A+30)

 

นึกว่าต้องปะทะกับ THE SHADOW’S EDGE (2025, Larry Yang, Hong Kong/China, A+30) และ CASE 137 (2025, Dominik Moll, France, A+30)  ในแง่หนังที่สะท้อนความ paranoid ของโลกยุคปัจจุบันเหมือนกัน (ความหวาดระแวง CCTV, การถูกแกะรอยจากโทรศัพท์มือถือ, การเข้าไปติดอยู่ในรูปถ่ายหรือวิดีโอในโทรศัพท์มือถือของคนแปลกหน้า, etc.) แต่ในบรรดา 3 เรื่องนี้ เราชอบ CASE 137 มากที่สุด

 

2. NORMAL (2022, Toomaj Salehi, Iran, music video/video installation, 3min, A+30)

 

ดูที่ชั้น 8 BACC เราเพิ่งรู้เรื่องของ Toomaj Salehi จากนิทรรศการนี้ หนักที่สุด เขาเป็นแรปเปอร์หนุ่มชาวอิหร่านที่ร่วมประท้วงเรียกร้องสิทธิสตรีในปี 2022-2023 เขาก็เลยถูกจับกุม และ “ถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิต”!!!!!!!!! โชคยังดีที่ “เสียงเรียกร้องจากนานาประเทศ” ช่วยกดดันให้อิหร่านปล่อยตัวเขาในเวลาต่อมา

 

3. a video installation in a mosquito net about Myanmar

 

ดูที่ชั้น 8 BACC ไม่รู้ทั้งชื่อวิดีโอและศิลปิน แต่อาจจะเป็นผลงานของ SACCA ชอบมาก ๆ มันเป็นวิดีโอที่บันทึก “ความปรารถนาของชาวเมียนมา” ซึ่งรวมถึง “คำสาปแช่งเผด็จการทหาร” ด้วย

 

4. GEOPOETICS (2024, Mukaddas Mijit, video installation,12min, A+30)

 

ดูที่ชั้น 8 BACC

 

5. GOOD BOY (2025, Ben Leonberg, 72min, A+)

 

เราชอบแค่ไอเดียตั้งต้นของหนัง แต่พอดู ๆ ไปเราก็รู้สึกว่าหนังมันไม่สนุกเท่าไหร่ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่อินกับหนัง เพราะเราไม่ชอบหมา และสิ่งนี้ก็แตกต่างจาก PRESENCE (2024, Steven Soderbergh, A+30) ที่เราชอบทั้งไอเดียตั้งต้นและตัวหนังทั้งเรื่อง

 

6. KANTARA A LEGEND: CHAPTER 1 (2025, Rishab Shetty, India, 165min, A+30)

 

รู้สึกว่าหนังที่เขาบอกว่า “ยาว ๆ” ใน BKKIFF 2025 มันไม่ได้ยาวสักเท่าไหร่ เพราะ “หนังอินเดีย” ที่เข้าโรงตามปกติในกรุงเทพทุกสัปดาห์ มันก็ยาวเกือบ 3 ชั่วโมงอยู่แล้ว เหมือนการที่เราตามดูหนังอินเดียเป็นประจำ มันช่วยหล่อหลอมให้เรารู้สึกว่าหนังความยาว 165 นาทีนี่ถือเป็น “เรื่องปกติ” 55555

 

ชอบความ EXOTIC ของหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงสุดขีด คือช่วงหลัง intermission เป็นต้นไปนี่บ้าไปแล้ว ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป สุดขีดคลั่งมาก ๆ นึกว่าได้เข้าร่วมในพิธีกรรมทางศาสนาในวิหารโบราณอะไรสักอย่าง หรือเข้าร่วมใน “การสวดภาณยักษ์” ในโบราณสถานลี้ลับ คือจริง ๆ แล้วช่วงครึ่งหลังของหนังเป็น “หนังสงคราม” นะ แต่แทนที่มันจะให้ความรู้สึกว่า “เรากำลังดูหนังสงคราม” มันกลับทำให้เรารู้สึกว่า “เรากำลังเข้าร่วมในพิธีกรรมของศาสนาโบราณ” มากกว่า

 

ที่เราบอกว่าชอบความ EXOTIC เป็นเพราะว่า สาเหตุที่เราชอบหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงสุดขีด เป็นเพราะว่าช่วงครึ่งหลังของหนังมันให้ “ประสบการณ์อันรุนแรงที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน” นะ คือถ้าหากเราได้เจอประสบการณ์แบบนี้ทุกสัปดาห์ เราก็คงไม่ชอบมัน (เหมือนกับเราได้เข้าร่วมการสวดภาณยักษ์ทุกสัปดาห์ เราก็อาจจะไม่รู้สึกตื่นเต้นกับการสวดภาณยักษ์อีกต่อไป) แต่พอหนังเรื่องนี้มันทำให้เราได้สัมผัสกับความบ้าคลั่งแบบนี้เป็นครั้งแรก เราก็เลยตกตะลึงพรึงเพริดกับหนังเรื่องนี้มาก ๆ

 

 

 

 

 

Thursday, October 16, 2025

SO MANY FILM FESTIVALS IN THE PAST TWO MONTHS

ตอนแรกวางแผนไว้ว่า พอดู KY NAM INN (2025, Leon Le, Vietnam, A+30) จบแล้วจะรีบกลับบ้าน เพราะวันอังคารต้องรีบตื่นมาดูหนังรอบ 11.00 น. แต่พอเห็นผู้กำกับ (คนเสื้อขาว) มา Q&A ตอน 5 ทุ่มกว่า ดิฉันก็เลยอยู่ฟัง Q&A จนถึงเที่ยงคืนก็ได้ค่ะ 55555

+++

ตาราง SPANISH FILM FESTIVAL ออกแล้ว เหมือนเราเคยดูแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือ THE OTHERS ส่วนอีก 4 เรื่องเรายังไม่เคยดูมาก่อน

 

MARSHLAND เคยเข้ามาฉายในเทศกาลหนังสเปนในกรุงเทพในปี 2015 แต่เราไม่ได้ไปดูหนังเรื่องนี้ในตอนนั้น

++++++++++++

 

Facebook เหี้ยมาก เราเคยแชร์ข่าวเรื่อง sinkhole ที่หน้าโรงพยาบาลวชิรมาในช่วงปลายเดือนก.ย. แล้วอยู่ดี ๆ วันนี้อี Facebook มันขึ้นมาว่าข่าวนั้นเป็น fake news โดยบอกว่า มีการตรวจสอบแล้วพบว่า “sinkhole นั้นเกิดขึ้นในไทย ไม่ใช่ในอินเดีย”

 

อ้าว แล้วกูเคยบอกที่ไหนว่ามันเกิดขึ้นในอินเดีย ข่าวที่เราแชร์มาก็บอกว่ามันเกิดขึ้นที่สามเสน ในไทย อะไรของมึงเนี่ย อี Facebook พอเราแชร์ข่าวจริงมา มันก็หาว่าสิ่งนี้เป็น fake news

 

แล้วพอเราขอให้มันตรวจสอบ มันก็ยังคงอ้างตามเดิมว่า สิ่งที่เราแชร์มาเป็น fake news เหี้ยมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆ

++++++

 

แม่หมีจ๋า เมื่อไหร่เทศกาลภาพยนตร์จะหมดซะทีครับ นี่ตั้งแต่แม่หมีเริ่มไปดูหนังในเทศกาล WHAT THE DOC ในวันที่ 23 ส.ค.เป็นต้นมา แล้วก็ต่อด้วย HONG KONG FILM FESTIVAL, QUEER FILM FESTIVAL, SIAM ANIMA, Eduardo Willaims’ retrospective, WILDTYPE เรื่อยมาจนถึง BKKIFF แม่หมีก็ไม่มีเวลาให้หนูเลยตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา” ลูกหมีพูดกับแม่หมี

ขอโทษด้วยนะจ๊ะ ลูกหมี พอดีมีงานกางจอ, GHOST 2568, DEX FILM FESTIVAL, GODZILLA FILM FESTIVAL, SPANISH FILM FESTIVAL, IRISH FILM FESTIVAL มาจ่อคิวรอแล้วจ้ะ แต่แม่หมีจะพยายามหาเวลามานอนกอดลูกหมีนะจ๊ะ” แม่หมีพูดกับลูกหมี

รู้สึกว่าช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมานี่คือ “ดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า” ของจริง เรามีเวลาไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสครั้งสุดท้ายคือในวันจันทร์ที่ 18 ส.ค. หรือเมื่อ 2 เดือนก่อน แล้วพอเราเริ่มไปดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์ WHAT THE DOC ในวันที่ 23 ส.ค. ชีวิตของเราก็เริ่มเสียศูนย์ ดูแต่หนังในโรงภาพยนตร์และในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนไม่มีเวลาไปฟิตเนสอีกต่อไป และก็แทบไม่เหลือเวลาว่างทำอะไรอย่างอื่นอีกต่อไป เรียกได้ว่าช่วงเวลาตั้งแต่ 23 ส.ค.จนถึง 15 ต.ค. 2025 นี่ถือเป็น “ช่วงเวลาเขาชนไก่ในชีวิต CINEPHILE ของเรา” จริง ๆ

++++

 

บันทึกไว้ว่า อานิสงส์จากการซื้อตั๋วดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์ BKKIFF 2025 ทำให้เราสะสมแต้มได้เยอะมาก และมันก็เลยมีส่วนช่วยให้เราได้ตั๋วหนังฟรีจาก HOUSE 3 ใบ และตั๋วหนังฟรีจาก SF 3 ใบ ดีงามมาก ๆ ค่ะ

 

ในรูปจะเห็นว่าเราเหลือตั๋วฟรีจาก SF แค่ 2 ใบนะ เพราะเราใช้สิทธิแลกตั๋วฟรีไปแล้วใบนึงเพื่อดู THE SMASHING MACHINE ในสัปดาห์ที่แล้ว


Monday, October 13, 2025

AIDS EPIDEMIC DURING CEAUSESCU

หนึ่งในสิ่งที่หนังเรื่อง MILK TEETH (2025, Mihai Mincan, Romania, A+30) ไม่ได้ตั้งใจพูดถึง แต่เรานึกถึงไปเอง ก็คือเรื่องวิกฤติโรคเอดส์ในยุคเชาเชสกู

 

คือหนังเรื่อง MILK TEETH พูดถึงการที่เด็ก ๆ (น่าจะหลายคน) ทยอยหายสาบสูญไปในยุคเชาเชสกู ซึ่งหนังไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรที่ชัดเจนว่าเด็ก ๆ เหล่านี้ถูกใครลักพาตัวไปทำอะไร

 

พอเราดูหนังเรื่องนี้จบเมื่อหลายวันก่อน เราก็เลยนึกถึงเรื่องวิกฤติโรคเอดส์ในยุคเชาเชสกูโดยที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งใจ 55555

 

เหมือนยุคเชาเชสกูเป็นยุคที่เด็กโรมาเนียจำนวนมากติดโรคเอดส์ใน “โรงพยาบาล” และ “สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า” โดยในบรรดาเด็กที่ติดโรคเอดส์ในยุโรปในยุคนั้น เด็กจำนวนกว่า 50%  ในกลุ่มนี้เป็นเด็กโรมาเนีย โดยมีเด็กโรมาเนียจำนวนราว 13,000 คนที่ติดโรคเอดส์ในยุคนั้น

 

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะว่า

 

1.โรงพยาบาล+สถานเลี้ยงเด็กในโรมาเนียยุคนั้น ใช้เข็มฉีดยาเข็มเดียวในการฉีดวัคซีนให้เด็กจำนวนมาก ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด

 

2. รัฐบาลเชาเชสกูพยายามปกปิดการระบาดของโรคเอดส์ ก็เลยห้ามหมอหารือเรื่องโรคเอดส์ และห้ามหมอรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์

 

3. มีเด็กกำพร้าจำนวนมากในโรมาเนียยุคนั้น เพราะว่ารัฐบาลโรมาเนียออกกฎหมายห้ามทำแท้ง และห้ามใช้อุปกรณ์ป้องกันการมีบุตร นอกจากว่าผู้หญิงคนนั้นจะให้กำเนิดบุตรไปแล้ว 5 คน!!!!!! ยุคนั้นก็เลยมีเด็กถูกทิ้งจำนวนมาก และเด็กเหล่านี้ก็ไปแออัดกันอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และพอสถานเลี้ยงเด็กใช้ “เข็มฉีดยาเข็มเดียว” ไปฉีดให้เด็กหลาย ๆ คน เด็กจำนวนมากก็เลยติดโรคเอดส์กันหมด

 

ก็เลยสรุปว่า หนังเรื่อง MILK TEETH ไม่ได้ตั้งใจพูดถึงประเด็นนี้แต่อย่างใดนะ แต่พอเราดูหนังเรื่องนี้จบ เราก็เลยนึกถึงประเด็นนี้ขึ้นมาเอง

 

ข้อมูลข้างล่างนี้ copy มาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ

 

It soon emerged that thousands of children had been infected with HIV/AIDS in state-run hospitals and orphanages. In fact, as authorities began reporting accurate data to the WHO for the first time, it became clear that over half of Europe’s children with HIV were in Romania. 

 

Around 13,000 children, according to official data, were infected with HIV in the state system between the late 1980s and early 1990s. More than half of them survived. 

...

The blood has not been screened, and she has only 1 syringe, which she uses on each child as she circles the room. Around the country, this standard practice purported to “boost immunity” ironically left a generation of children with the ultimate immunodeficiency – HIV – and so begins the complex story of the Romanian AIDS epidemic, in which 94% of initial cases were in children under age 13

 

Other underlying factors enabling the rise of this epidemic stem largely from Communist policies aimed at population expansion. Before 1989, under the Communist regime of Nicolae Ceausescu, abortions and forms of contraception were banned unless women had given birth to 5 children. These policies, designed to coercively raise the birth rate, resulted in many infants being abandoned by their parents shortly after birth. Many of them were institutionalized in orphanages and hospitals by the state.

 

While children were being infected with HIV in hospitals and orphanages as early as 1985, Communist leaders who refused to recognize the possibility of such illnesses in Romania barred doctors from discussing or diagnosing the disease. A sharp increase in infant mortality was attributed to vague causes, such as “respiratory illnesses” or “other endocrine and metabolic disorders

 

https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC1785216/

https://hivoutcomes.eu/case_study/romania-ceausescus-children/

 

Sunday, October 12, 2025

DRACULA VS. RESURRECTION

 

FILMS SEEN ON FRIDAY OCTOBER 10, 2025

 

ในวันศุกร์เราได้ดูหนังไปแค่ 3 เรื่อง

 

เนื้อหาข้างล่างนี้มี SPOILERS ของ DRACULA (Radu Jude) และ RESURRECTION นะคะ

 

เรียงตามลำดับการดู

 

1. THE SMASHING MACHINE (2025, Benny Safdie, 123min, A+30)

 

นึกว่า A CELEBRATION OF MALE BODIES ไม่สามารถละสายตาจาก “กล้ามเนื้อต้นขา” ของดาราชายในหนังเรื่องนี้ได้เลยค่ะ ฟินที่สุด

 

2. DRACULA (2025, Radu Jude, Romania, 170min, A+30)

 

2.1 กราบตีนมาก ๆ ดูแล้วนึกว่ารวมผู้กำกับหนังเยอรมัน 3 คนไว้ในตัวคนคนเดียว 5555 ซึ่งได้แก่

 

2.1.1 ความกะหรี่แตกของ Rosa von Praunheim

 

2.1.2 ความการเมือง + เทคโนโลยีด้านภาพและภาพเคลื่อนไหว ของ Harun Farocki

 

เพราะหนังเรื่องนี้เหมือนสำรวจ “ความเป็นไปได้ของการใช้ AI images ในภาพยนตร์” และสำรวจสื่อภาพเคลื่อนไหวในยุคปัจจุบันอย่างเช่น Tiktok ด้วย

 

2.1.3 ความร้อยเรียงเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกัน แบบในหนังของ Alexander Kluge

 

เหมือนโครงสร้างของ DRACULA ทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง THE POWER OF EMOTION (1983, Alexander Kluge, West Germany, A+30) มาก ๆ ที่เป็นการนำเอาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงราว 10-15 เรื่องมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน

 

ก่อนหน้านี้เราเคยดู CARICATURANA (2021, Radu Jude, A+30) แล้วเรารู้สึกว่า CARICATURANA มันมีความเป็น Alexander Kluge สูงมาก ๆ และพอเราได้ดู DRACULA เราก็เลยมั่นใจว่า Radu Jude มีความเป็น Kluge ผสมอยู่ในตัวสูงจริง ๆ

 

2.2 ชอบเรื่องราวต่าง ๆ หลาย ๆ เรื่องมาก ๆ ซึ่งเรื่องราวบางเรื่องเหมือนอาจจะเกี่ยวข้องกับตำนาน Dracula โดยตรงหรือโดยอ้อม อย่างเช่น

 

2.2.1 เรื่องราวของ “ความอยากเป็นอมตะ” ของคนยุคปัจจุบัน โดยใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์

 

2.2.2 เรื่องราวของ “ธุรกิจ” ที่เหมือนเอารัดเอาเปรียบทั้ง “พนักงาน” และ “ลูกค้า”

 

2.2.3 เรื่องราวของ “ม็อบศาลเตี้ย” คือภาพของกลุ่มคนที่ตามไล่ฆ่าตอกอกแดรคคูล่าในหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงพวกม็อบศาลเตี้ยมาก ๆ

 

2.2.4 การใช้ AI ซี่งทำให้เราไม่แน่ใจว่า หนังเรื่องนี้เปรียบเทียบ AI กับ Dracula ในแง่นึงด้วยหรือเปล่า เพียงแต่ว่า AI ไม่ได้สูบเลือดสูบเนื้อ แต่สูบข้อมูลจากมนุษย์เพื่อมาหล่อเลี้ยงตัวเอง

 

2.2.5 เรื่องราวของคู่รักที่อาจจะถือได้ว่ามีการ exploit กันหรือเปล่า เพราะฝ่ายชายไม่บอกฝ่ายหญิงตั้งแต่แรกว่าตนเองมีลูกมีเมียแล้ว

 

2.2.6 การนำตำนาน DRACULA มาพลิกกลับหัวกลับหาง เพราะในตำนานเดิมนั้น “ศาสนา” เป็นฝ่ายดี แต่เรื่องเล่าย่อยในหนังเรื่องนี้ “ศาสนา” เป็นฝ่ายผู้ร้าย เป็นฝ่ายที่ทำร้ายประชาชน ซึ่งก็เข้ากับแนวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เข้ามาปกครองโรมาเนียหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

 

2.2.7 เรื่องราวของ Vlad the Impaler ต้นกำเนิดของ Dracula ที่แนวคิดทางการเมืองอันโหดเหี้ยมของ “เผด็จการ” รายนี้ ยังคงสะท้อนให้เห็นได้ในนักการเมืองยุคปัจจุบัน ทั้ง “ความคลั่งชาติ” และ “ความคลั่งจารีต”

 

2.2.8 เรื่องของการเปรียบเทียบ Dracula กับ “นายทุนหน้าเลือด”

 

2.2.9 เรื่องของ “ค่ารักษาพยาบาล” ที่แพงจนผู้ป่วยไม่มีเงินจ่าย

 

2.2.10 บริษัทที่หลอกให้คนมาซื้อหุ้น แล้วบริษัทก็หายสาบสูญไป

 

2.2.11 โฆษณาสินค้าต่าง ๆ ที่พยายามสูบเงินจากผู้ชม

 

2.2.12 ผู้สร้างภาพยนตร์ ที่อาจจะพยายามดึงดูดผู้ชม โดยผ่านทาง  “ฉากอีโรติก” และ “love story” ซึ่งในแง่หนึ่งเราก็รู้สึกว่า ผู้สร้างภาพยนตร์พยายามสูบเอาอะไรบางอย่างจากตำนาน Dracula มาใช้ประโยชน์ 55555

 

2.3 ชอบที่หนังเหมือนใส่เรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำนาน Dracula เข้ามาด้วย อย่างเช่น

 

2.3.1 การเมืองยุคปัจจุบัน ทั้งการเหยียดคนมุสลิม, ปัญหาอุยกูร์, โรฮิงญา, ความเหี้ยของรัสเซียในสงครามยูเครน

 

2.3.2 การล้อเลียนตำนานทางศาสนา ที่คำตรัสของพระเยซูกลายเป็นความจริง

 

2.3.3 เรื่องของคนเก็บขยะในโลกยุคปัจจุบัน ที่ซึ้งมาก ๆ คนเก็บขยะคนนี้ถูกเหยียดทั้งจาก

 

2.3.3.1 ชนชั้นกลาง ที่ฐานะดีกว่า, ถือว่าตัวเองมีความรู้สูงกว่า, มีรสนิยมดีกว่าคนอื่น ๆ

 

2.3.3.2 ครูหรือผู้บริหารโรงเรียน

 

2.3.3.3 ลูกสาวของตัวเอง

 

3. RESURRECTION (2025, Bi Gan, China, 160min, A+30)

 

3.1 งดงามที่สุด รู้สึกว่าหนังมัน “สวยงามหยดย้อย” ในแบบที่เข้าทางเราอย่างรุนแรง ดูแล้วรู้สึกดื่มด่ำกับมันอย่างสุดขีดมาก ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้มันมีความเป็น “หนังทดลอง” สูงกว่าหนังเรื่องก่อน ๆ ของ Bi Gan อย่าง KAILI BLUES (2015, A+30) และ LONG DAY’S JOURNEY INTO NIGHT (2018, A+30)

 

หนังเรื่องนี้มันก็เลยเข้าทางเรา เพราะปกติแล้วเรามักจะไม่อินกับ “ตัวละคร” ใน narrative story ในหนังหลาย ๆ เรื่อง แต่เราจะอินกับหนังทดลองหลาย ๆ เรื่องที่ไม่ได้พยายามทำให้ผู้ชมอินไปกับตัวละคร เราก็เลยชอบจุดนี้ในหนังเรื่องนี้มาก ๆ

 

3.2 ไม่แน่ใจว่าหนังต้องการพูดถึงอะไรบ้าง แต่เรารู้สึกราวกับว่า หนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบการบรรยายของ Dennis Lim ที่หอภาพยนตร์ ศาลายา ในประเด็น THE DEATHS OF CINEMA 55555 เพราะในการบรรยายครั้งนั้น Dennis Lim แสดงให้เห็นว่า ในอดีตช่วง 100 กว่าปีที่ผ่านมานั้น มีหลายครั้งหลายหนที่คนบางคนเคยเชื่อกันว่า “ภาพยนตร์” อาจจะตายแล้ว แต่ “ภาพยนตร์” ก็ถูก RESURRECT กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ทุกครั้ง ฆ่าไม่ตาย ถึงแม้จะต้องเผชิญกับ “โทรทัศน์”, “วิดีโอเทป” หรืออะไรต่าง ๆ

 

คือหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เรารู้สึกราวกับว่า หนังเรื่องนี้พูดถึง cinema ที่มีชีวิตอยู่มานานราว 100 กว่าปี เหมือนเป็น “แวมไพร์” ที่ฆ่าไม่ตาย เหมือนจะตายแต่ก็ไม่ตาย อยู่รอดต่อมาได้เรื่อย ๆ และภาพยนตร์ก็เหมือนกับ “แวมไพร์” ในแง่ที่ว่า ภาพยนตร์มีชีวิตอยู่ได้ “ท่ามกลางความมืด” ในโรงภาพยนตร์ และในบางครั้งภาพยนตร์ก็มีชีวิตอยู่ได้จาก “เลือดเนื้อของตัวละคร”

 

3.3 ชอบที่หนังเรื่องนี้เหมือนกับจะบอกว่า ในอดีตเมื่อราว 100 ปีก่อน ภาพยนตร์ถูกใช้แทนที่ “ฝิ่น” คือในยุคก่อนที่จะมีภาพยนตร์นั้น ความบันเทิงของคนจีนยุคนั้น อยู่ที่ “โรงฝิ่น” ที่ช่วยนำพาผู้คนเข้าสู่โลกของความฝัน แต่เมื่อภาพยนตร์ถือกำเนิดขึ้นในปี 1895 ภาพยนตร์ก็สามารถนำพาผู้คนเข้าสู่โลกของความฝันหรรษา แทนที่ฝิ่นได้ และในความฟุ้งฝันนี้ logic อะไรต่าง ๆ ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป

 

3.4 ชอบสุดขีดที่หนังเรื่องนี้มีความเป็น cinephile สูงมาก เพราะหนังเรื่องนี้ประกอบด้วยเรื่องราวย่อย ๆ ที่เหมือนทำให้นึกถึงหนังใน genre ต่าง ๆ กันไป อย่างเช่น

 

3.4.1 ช่วงของดวงตา เป็นหนังเงียบ หนัง German Impressionist หนังของ Georges Melies หนังของ Rene Clair หนังยุคโบราณที่ถ่ายให้เห็นฉากกว้าง ๆ แบบไม่โฟกัสตัวละคร

 

3.4.2 ช่วงของหู “หนังเสียง” หนังฟิล์มนัวร์ โดยเฉพาะ THE LADY FROM SHANGHAI (1947, Orson Welles)

 

3.4.3 ช่วงของ “ลิ้น” หรือช่วงของ “The Spirit of Bitterness” นี่เราไม่แน่ใจว่ามันต้องการพาดพิงถึงหนัง genre อะไร แต่เราก็ชอบช่วงนี้มาก ๆ หรือว่ามันพาดพิงถึง “หนังชีวิตรันทด” หลังสงครามโลกครั้งที่สองเหรอ 55555

 

สิ่งที่ชอบมาก ๆ ในช่วงนี้คือการสะท้อนแนวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ยุคนั้นที่ต่อต้านศาสนาอย่างรุนแรง มีการโค่นล้มจารีตประเพณีเก่า ๆ อย่างรุนแรงมาก ๆ

 

3.4.4 ช่วงของ “จมูก” นี่ทำให้เรานึกถึง PAPER MOON (1973, Peter Bogdanovich) โดยไม่ได้ตั้งใจ

 

3.4.5 ช่วงของมือ ช่วงที่เป็น long take นี่เราก็ไม่แน่ใจว่าต้องการพาดพิงถึงหนัง genre อะไรโดยเฉพาะเจาะจงหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้นึกถึง “หนังโรแมนติกที่ใช้ฉากหลังเป็น criminal world” อย่างเช่น FALLEN ANGELS (1995, Wong Kar-wai) และ SUZHOU RIVER (2000, Lou Ye)

 

3.4.6 ช่วงของสมอง ข่วงนี้ทำให้นึกถึง "ภาพพิกเซล"

 

3.5 เหมือน RESURRECTION นี่สะท้อนถึงทั้ง “พัฒนาการทางภาพยนตร์” และ “ความเปลี่ยนแปลงในประเทศจีน” ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาควบคู่ไปด้วยกัน

 

3.6 ตอนนี้เราตอบไม่ได้ว่าเราชอบหนังเรื่องไหนของ Bi Gan มากที่สุด เพราะเราชอบ KAILI BLUES และ LONG DAY’S JOURNEY INTO NIGHT อย่างสุดขีดคลั่งเหมือน ๆ กัน เหมือนเราชอบหนัง 3 เรื่องนี้พอ ๆ กัน

 

พอดูหนังของ Bi Gan มาได้ 3 เรื่อง ตอนนี้เราก็ขอยกให้เขาเข้าชิงตำแหน่ง ONE OF MY MOST FAVORITE CHINESE DIRECTORS OF ALL TIME ไปเลย เหมือนตอนนี้ถ้าหากถามว่าเราชอบผู้กำกับหนังจีนคนไหนมากที่สุด เราก็คงตอบว่า Wang Bing, Bi Gan และ Jia Zhangke มั้ง (ไม่รวมผู้กำกับไต้หวันและฮ่องกงนะ)

 

แต่เรายังไม่เคยดูหนังของผู้กำกับหนังจีนอีกหลายคนนะ อย่างเช่น Zhang Lu, Fei Mu, Xie Jin ส่วน Tian Zhuangzhuang, Wang Xiaoshuai, Lou Ye, Zhang Yuan, Pema Tseden นั้นเราก็ชอบหนังของพวกเขามากๆ แต่อาจจะไม่เท่ากับ Wang Bing, Bi Gan และ Jia Zhangke

++++

 

วันอาทิตย์นี้รอบแรกของวันเป็น UNTIL THE END OF THE WORLD ปะทะ KWAIDAN ปะทะ RESURRECTION ปะทะ มือปืน ปะทะ THE SQUARE ปะทะ THE FOX KING ซึ่งก็เลยทำให้เราตัดสินใจเลือกได้ง่ายมากว่าจะดูหนังเรื่องอะไร เพราะในบรรดาหนัง 6 เรื่องนี้มีอยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่เราไม่เคยดูมาก่อนเลยในชาติภพนี้

 

Edit เพิ่ม: เรายังไม่เคยดู UNTIL THE END OF THE WORLD เวอร์ชั่น 4 ชม.กว่านะ เคยดูแต่เวอร์ชั่น 2 ชั่วโมงกว่า แต่ก็ถือได้ว่าเป็นหนังที่เคยดูไปส่วนหนึ่งแล้ว 55555

Saturday, October 11, 2025

SINGLE. A RECORD IS BEING PRODUCED (1980, Harun Farocki, documentary, 49min, A+30)

 

กราบขอบพระคุณหนังเรื่อง SINGLE. A RECORD IS BEING PRODUCED (1980, Harun Farocki, documentary, 49min, A+30) ที่ทำให้เราได้รู้จักวง Witchcraft ซึ่งน่าจะเป็นวงดนตรีที่ถูกลืมจากเยอรมนี เราไม่เคยรู้จักวงนี้มาก่อนเลย แต่เราชอบเพลง TIME TO LOVE ในหนังเรื่องนี้มาก ๆ

 

พอลองกูเกิลดู ก็พบว่าวงดนตรีวงนี้เป็นวงที่ถูกลืมจริง ๆ เราไม่สามารถหาเพลง TIME TO LOVE ฟังได้เลย เจอแต่เพลง ONE WAY STREET ของวงนี้ในยูทูบ ซึ่งเราชอบมากๆ และก็เจออัลบั้ม OUTSIDE INN (1979) ของวงนี้ในยูทูบ

 

เท่ากับว่า หนังสารคดีเรื่องนี้ช่วยให้วงดนตรีที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ปี 1980 หรือหายสาบสูญไปราว 45 ปี ได้กลับมาทำความรู้จักกับผู้ฟังหน้าใหม่อย่างเราได้สำเร็จ

++++

 

FILMS SEEN ON THURSDAY 9 OCT 2025

 

วันพฤหัสบดีเราได้ดูหนังแค่ 2 เรื่อง

 

เรียงตามลำดับการดู

 

1. I ONLY REST IN THE STORM (2025, Pedro Pinho, Portugal, 211min, A+30)

 

กราบตีนอย่างถึงที่สุด หนังเหมือนพาเราไปท่องเที่ยวสำรวจประเทศ Guinea-Bissau ซึ่งเป็นประเทศที่เราแทบไม่เคยได้รับรู้ข้อมูลใด ๆ มาก่อน และหนังก็เหมือนวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของคนขาว, NGO, ทุนจีน ในแอฟริกาไปด้วย

 

รัก “ฉากร่วมรัก” ในหนังเรื่องนี้มาก ๆ ได้ใจเราอย่างรุนแรงที่สุด เป็นฉากร่วมรักที่ทำให้เราฟินพอ ๆ กับในหนังของ Scud เลย น้ำแตกของจริง

 

เมื่อกี้ลอง google หาข้อมูลเพิ่มเติม ก็เลยพบว่า Guinea-Bissau เคยเป็นอาณานิคมโปรตุเกส, Guinea เฉย ๆ เคยเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส ส่วนประเทศ “กินีศูนย์สูตร” หรือ Equatorial Guinea เคยเป็นอาณานิคมสเปน

 

2. DRY LEAF (2025, Aleksandre Koberidze, Germany/Georgia, 186min, A+30)

 

นึกว่าหนึ่งในนิยามของ LIMITLESS CINEMA เพราะการดูหนังเรื่องนี้เหมือนช่วยผลัก “พรมแดนความเป็นไปได้ของภาพยนตร์” ในมุมมองของเราออกไปได้อีก นึกไม่ถึงว่า “ภาพยนตร์” ก็เป็นอะไรแบบนี้ได้ด้วย กราบตีนที่สุด

 

น่าจะเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่เตรียมเข้าชิงอันดับ 1 ของเราประจำปีนี้ แต่ต้องแข่งกับ HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan), THE BRUTALIST (2024, Brady Corbet, 216min), ABOUT NARRATION (1975, Harun Farocki, West Germany), BEFORE YOUR EYES – VIETNAM (1981, Harun Farocki, West Germany) และ INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY (1985, produced by Kraisak Choonhavan, documentary, 705min)

+++

 

เราเคยดูหนังของ Valie Export แค่เรื่องเดียวมั้ง ซึ่งก็คือเรื่อง SEEING SPACE AND HEARING SPACE (1974, A+30) ที่ทาง Filmvirus เคยนำมาฉายที่ห้องสมุดมหาลัยธรรมศาสตร์

+++

ซื้อขนมปังชิ้นนี้ไว้เพื่อกะไว้กินก่อนดู RESURRECTION (2025, Bi Gan, China, A+30) รอบเวลา 19.15 น. ปรากฏว่าไม่มีเวลากิน ก็เลยต้องเก็บไว้กินตอน 23.15 น.แทน นี่แหละชีวิตประจำวันของ cinephile ในช่วงเทศกาลภาพยนตร์ 55555

+++

 

เห็นเว็บไซต์ของ SF บอกว่าจะมี ASIAN SHORT FILM 2 มาฉายที่ CENTRAL WORLD ในวันอังคารที่ 14 ต.ค. รอบ 15.20 น. เราก็เลยคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ เพราะตอนแรกเรากะจะดู KINKI ในรอบเวลานั้น แต่เห็นมีข่าวว่า GDH อาจจะนำ KINKI มาลงโรงฉายทั่วไปในไทยในเวลาต่อมา เพราะฉะนั้นเราก็เลยกะว่าอาจจะเปลี่ยนจากดู KINKI ไปดู ASIAN SHORT FILM 2 แทน เพราะมีหนังของ Lin Htet Aung และ Lee Yong Chao มาฉายด้วย

 

Asian short films competition 2

-A Part of Us Exposed (Jeanne Penjan Lassus)

-Honey, My Love, So Sweet (JT Trinidad)

-A Metamorphosis (Lin Htet Aung, Myanmar)

-Across the River (He Shengjie)

-Exit (Lee Yong Chao)

 

ON THE ROAD (2025, David Pablos, Mexico) เพิ่มรอบฉายที่ SF ในวันพุธที่ 15 ต.ค. รอบ 11.45 น. ด้วย ตอนนี้ดิฉันเริ่มลังเลว่าจะดู ON THE ROAD ในวันเสาร์ที่ 11 ต.ค.ดี หรือว่าจะดูในวันที่ 15 ต.ค.ดี

Friday, October 10, 2025

BAAN (2023, Leonor Teles, Portugal, 103min, A+30)

 

FILMS SEEN ON WEDNESDAY 8 OCT 2025

 

IN PREFERENTIAL ORDER

 

1. HOMEBOUND (2025, Neeraj Ghaywan, India, 119min, A+30)

 

ดูแล้วร้องห่มร้องไห้ ซาบซึ้งมาก ๆ ดูแล้วนึกถึงหนังสารคดีหลาย ๆ เรื่องของ Anand Patwardhan ที่เคยเข้ามาฉายในกรุงเทพมาก ๆ เพราะหนังเรื่องนี้พูดถึงปัญหาในสังคมอินเดีย โดยเฉพาะการเหยียดมุสลิมและการเหยียดวรรณะ

 

2. BAAN (2023, Leonor Teles, Portugal, 103min, A+30)

 

รู้สึกว่าหนังยังไม่ประสบความสำเร็จในทาง “อารมณ์ความรู้สึก” เท่าไหร่ แต่ “ไอเดีย” ของหนังเรื่องนี้กินขาดมาก ๆ เพราะมันเป็นการให้ “กรุงลิสบอน” กับ “กรุงเทพ” รับบทเป็น “กรุงลิสบอน” เหมือนกัน (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด) ดูแล้วก็เลยนึกถึงหนังอย่าง THAT OBSCURE OBJECT OF DESIRE (1977, Luis Bunuel, A+30) ที่ให้ดาราหญิงสองคนสลับกันเล่นบทตัวละครคนเดียวกันไปเรื่อย ๆ เพราะเราก็รู้สึกว่า THAT OBSCURE OBJECT OF DESIRE ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเราอย่างรุนแรงเท่ากับหนังเรื่องอื่น ๆ ของหลุยส์ บุนเยล แต่ “ไอเดีย” ของ THAT OBSCURE OBJECT OF DESIRE นั้นถือว่ากินขาดมาก ๆ

 

ตอนที่เราดู BAAN ช่วงแรก ๆ ของหนังเราก็งงมาก ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะการตัดสลับกรุงลิสบอนกับกรุงเทพตลอดเวลา ทำให้เราเห็นแต่ว่า ตัวละครพูดหรือทำอะไร แต่เราจับไม่ได้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น “ที่ไหน” และ “เมื่อไหร่” จนผ่านเข้าไปครึ่งเรื่องแล้ว เราถึงค่อยเข้าใจว่าหนังเรื่องนี้มันตั้งใจหลอมรวมกรุงลิสบอนกับกรุงเทพเข้าด้วยกัน สถานที่ในหนังเรื่องนี้เลยกลายเป็นเหมือนกึ่ง ๆ fantasy place หรือเป็น mental landscape ตลอดเวลา

 

ชอบกลวิธีที่หนังใช้ในการหลอมรวมสถานที่ด้วย เพราะนอกจากหนังจะใช้ “การตัดต่อ” ที่เอาฉากตัวละครในลิสบอนกับกรุงเทพมาเรียงตัดสลับกันไปเรื่อย ๆ แล้ว หนังยังใช้วิธีอื่น ๆ ด้วย อย่างเช่น

 

2.1 ในฉากที่ตัวละครอยู่ในลิสบอน หนังจะใช้เพลงประกอบเป็นเพลงไทย

 

2.2 ในฉากที่ตัวละครอยู่ในลิสบอน ตัวละครจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการประท้วงในไทย

 

2.3 ในฉากที่ตัวละครอยู่ในกรุงเทพ ตัวละครจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมืองในโปรตุเกส

 

2.4 สิ่งของในประเทศไทย จะไปปรากฏอยู่ในลิสบอน และป้ายภาษาโปรตุเกส จะไปปรากฏอยู่ในบางสถานที่ในไทย

 

ก็เลยรู้สึกว่า นี่เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตเรา ที่เราได้เห็น “กรุงเทพ” รับบทเป็น “ลิสบอน” ในหลาย ๆ ฉาก เพราะก่อนหน้านี้เรามักจะได้เห็นแต่ “ประเทศไทย” รับบทเป็น “เวียดนาม” และ “กัมพูชา” ในหนังฮอลลีวู้ดหลาย ๆ เรื่อง แต่ไม่เคยเห็น “กรุงเทพ” รับบทเป็น “ลิสบอน” มาก่อน

 

Leonor Teles จงใจ tribute ให้ Wong Kar-wai และ Hou Hsiao-hsien ในหลาย ๆ ฉากด้วย

 

นอกจากไอเดียของหนังเรื่องนี้จะทำให้นึกถึง “ความเฮี้ยน” ของ Luis Bunuel แล้ว มันยังทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง THE BEAUTIFUL PRISONER (LA BELLE CAPTIVE) (1983, Alain Robbe-Grillet, A+30) ด้วย เพราะถ้าหากเราจำไม่ผิด เหตุการณ์ใน THE BEAUTIFUL PRISONER ก็เกิดขึ้นใน “หลายสถานที่” อย่างเช่นเกิดขึ้นใน บ้านเอ, คฤหาสน์บี, โรงแรมซี, etc. แต่หนังใช้ “ห้องห้องเดียว” ในการรับบทเป็นทั้งบ้านเอ, คฤหาสน์บี, โรงแรมซี อะไรทำนองนี้ เพื่อทำให้ผู้ชมรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ แต่ผู้ชมจะบอกไม่ได้ว่าอะไรที่ทำให้รู้สึกแปลก ๆ 55555

 

3. ORWELL: 2+2 = 5 (2025, Raoul Peck, France, documentary, 119min, A+30)

 

เป็นหนังที่พูดถึงทั้งสก็อตแลนด์, อังกฤษ, สหภาพโซเวียต, สงครามกลางเมืองสเปน, สหรัฐ, อิรัก, อัฟกานิสถาน, อิหร่าน, ยูเครน, เมียนมา, ไฮติ, สหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้พูดถึงประเทศไทยโดยตรง

 

แต่เนื้อหาของหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงประเทศไทยมาก ๆ ประเทศที่ 2+2 = 5 ของจริง

 

เราเพิ่งรู้จากหนังเรื่องนี้ว่า ในช่วงสงครามกลางเมืองสเปนนั้น ฝ่ายซ้ายของสเปนไม่ได้ต่อสู้กับ fascism เท่านั้น แต่ยังต่อสู้กับ “สายลับของสหภาพโซเวียต” ด้วย คือเป็น “ซ้ายฆ่าซ้าย” ด้วยกันเอง เพราะว่าสตาลินส่ง “สายลับโซเวียต” มาฆ่า Trotskyists หลาย ๆ คนในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน น่าเศร้ามาก ๆ

 

อย่างไรก็ดี การได้ดูหนัง essay film เรื่องนี้หลังจากที่เราเพิ่งได้ดูหนังของ Harun Farocki ไปแล้วหลายสิบเรื่อง ทำให้เรารู้สึก “ไม่ค่อยว้าว” กับหนังมากเท่าที่ควร 55555

 

ตอนนี้เพิ่งได้ดูหนังของ Raoul Peck ไปแค่ 3 เรื่อง เราชอบ I AM NOT YOUR NEGRO (2016) เป็นอันดับหนึ่ง และชอบ THE YOUNG CARL MARX (2017) เป็นอันดับสอง

 

 

4. NEST (2022, Hlynur Pálmason, Denmark/Iceland, 22min, A+30)

++++

 

หนึ่งในฉากที่เราประทับใจมากที่สุดในปีนี้ อยู่ในหนังเรื่อง BEFORE YOUR EYES – VIETNAM (1981, Harun Farocki, West Germany, 114min, A+30)  ที่เพิ่งมาฉายที่โรงหนัง HOUSE SAMYAN ซึ่งจริง ๆ แล้วมันคือ 3 ฉาก เป็น

 

THREE STEPS OF FALLING ASLEEP หรือ การผล็อยหลับ 3 ขั้นตอน

 

1. ฉากแรกเป็นฉากที่นางเอกเล่า+สาธิตให้พระเอกฟัง เรื่องที่เธอพยายามศึกษาเกี่ยวกับประเทศเวียดนาม เหมือนเธอไม่พบหนังสือภาษาเยอรมันที่พูดถึงเวียดนามได้อย่างถ่องแท้ เธอก็เลยต้องไปอ่านหนังสือภาษาฝรั่งเศสเกี่ยวกับเวียดนาม ซึ่งนั่นก็เลยเป็นการบังคับให้เธอต้องเรียนภาษาฝรั่งเศสไปด้วย

 

เนื่องจากเธอต้องการอ่านหนังสืออย่างรุนแรง เธอก็เลยตั้งใจว่าจะลดเวลานอนลงให้เหลือน้อยที่สุด เธอไม่ต้องการผล็อยหลับขณะอ่านหนังสือ เธอก็เลยเหมือนถือพวงกุญแจไว้ที่ปลายนิ้วมือ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เธอผล็อยหลับ ข้อมือก็จะหมดแรง พวงกุญแจที่คล้องไว้ที่นิ้วมือก็จะร่วงหล่นลงสู่พื้น เกิดเสียงดัง และทำให้เธอตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อได้

 

2.ในช่วงต่อ ๆ มาของหนัง เราก็จะเห็นทหารอเมริกันในเวียดนามคนนึงทำแบบเดียวกัน เหมือนเขาประจำการถือปืนซุ่มอยู่ที่พุ่มไม้ และเขาต้องทำให้ตัวเองไม่ผล็อยหลับ เพราะถ้าหากเขาผล็อยหลับ พวกเวียดกงก็จะถือโอกาสมายิงเขาให้ตายได้ เราไม่แน่ใจว่าเขาใช้วิธีถือพวงกุญแจไว้ที่ปลายนิ้วมือเหมือนนางเอกหรือเปล่านะ แต่ฉากนี้แสดงให้เห็นว่า การผล็อยหลับนำมาสู่การถูกศัตรูฆ่าตาย ไม่ใช่แค่เสียเวลาอ่านหนังสือ

 

3. ในช่วงต่อ ๆ มาของหนัง เราก็จะเห็นทหารอเมริกันถือลูกระเบิดอยู่ที่ขั้นบันได เหมือนเขาถือระเบิดและใช้นิ้วเกี่ยวสลักระเบิดเอาไว้หรืออะไรทำนองนี้ แล้วพอเขาผล็อยหลับ ลูกระเบิดก็ร่วงตกลงมาตามขั้นบันได

 

เราชอบที่หนังใส่ 3 ฉากนี้เข้ามาในหนังมาก ๆ โดยไม่ได้ใส่เข้ามาแบบเรียงติดต่อกัน แต่เหมือนใส่เข้ามาในนาทีที่ 60, 75, 90 ของหนังอะไรทำนองนี้ เราว่าการใส่ฉากที่เชื่อมโยงกันเข้ามาในจังหวะที่ห่างกันแบบนี้ มันทำให้เกิด “สัมผัสคล้องจองแบบบทกวี” ได้ดี

 

แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ทำไมเราถึงชอบทั้ง 3 ฉากนี้มาก ๆ เหมือนมันเป็นฉากที่สร้างความประทับใจให้เราและฝังใจเราอย่างรุนแรงมาก โดยที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

 

รูปไม่ได้มาจากหนังเรื่องนี้นะ 55555

+++

 

วันศุกร์นี้ที่ SF CENTRAL WORLD ฉาย THE SMASHING MACHINE (2025, Benny Safdie, 123min) ที่โรง 5 รอบ 13.20 น. แล้วก็ฉาย DRACULA (2025, Radu Jude, Romania, 170min) ที่โรง 5 ต่อในรอบ 16.00 น.

 

ถือได้ว่า SF วางโปรแกรมหนังได้ฉลาดมากค่ะ จับทางถูกว่าคนดูหนังเทศกาลเขาต้องการอะไร 55555

 

 

Thursday, October 09, 2025

STORIES WITHIN STORIES IN RYUSUKE HAMAGUCHI'S FILMS

 

FILMS SEEN ON TUESDAY 7 OCT 2025

 

เรียงตามลำดับการดู

 

1. DONGJI RESCUE (2025, Hu Guan, Fei Zhenxiang, China, 133min, A+30)

 

ถือเป็นหนังที่เป็น “ขั้วตรงข้าม” ของ BEFORE YOUR EYES – VIETNAM (1981, Harun Farocki, West Germany, A+30) เพราะว่าในขณะที่ BEFORE YOUR EYES – VIETNAM “ต่อต้านการเร้าอารมณ์อย่างรุนแรง”  DONGJI RESCUE กลับทำทุกอย่างเพื่อ “เร้าอารมณ์ผู้ชมอย่างรุนแรง” ทั้งอารมณ์สนุกตื่นเต้นลุ้นระทึก, สะใจที่คนเลวถูกฆ่า, ซาบซึ้งจนร้องห่มร้องไห้, etc.

 

พอดูแล้วก็เลยรู้ตัวเองว่า เราชอบหนังทั้งสองแบบ ทั้งแบบ BEFORE YOUR EYES – VIETNAM และแบบ DONGJI RESCUE ถึงแม้ว่าหนังทั้งสองแบบนี้จะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง 55555 คือรู้ทั้งรู้ว่า DONGJI RESCUE มันจงใจทำอะไรกับผู้ชมบ้าง แต่เราก็ยินยอมให้หนังเรื่องนี้ทำกับเราแต่โดยดี

 

2. THE LIMINAL SPACE (2025, Surasit Mankhong, video installation, 9min, A+30)

 

ดูที่ชั้น 7 BACC

 

3. PLACING THE PLACE (2025, Prach Pimarnman, Rozee Haree, video installation, A+30)

 

ดูที่ชั้น 7 BACC

 

4. ANONYMOUS LETTER... (2025, Melayu Living, mixed-media installation with video, A+30)

 

ดูที่ชั้น 7 BACC

 

เรายืนดูวิดีโอนี้แค่ราว 5 นาทีนะ ดูแล้วอยากกินอาหารภาคใต้มาก ๆ แต่ไม่รู้ว่าตัววิดีโอจริง ๆ มีความยาวกี่นาที

 

5. ARCO (2025, Ugo Bienvenu, France, animation, 82min, A+30)

 

ชอบสีสันในหนังเรื่องนี้มาก ๆ และชอบสุด ๆ ที่หนังเรื่องนี้ “ไม่ได้โอ๋เด็ก” แบบหนังแอนิเมชั่นฝรั่งเศสบางเรื่องที่ชอบนำเสนอตัวละคร “เด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง” แล้วหนังก็ “ให้รางวัล” เด็กที่เอาแต่ใจตัวเองแบบนั้น โชคดีที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ไปในทิศทางนั้น

 

6. YOUNG MOTHERS (2025, Jean-Pierre Dardenne, Luc Dardenne, France/Belgium, 105min, A+30)

 

นึกว่า TRUE MOTHERS (2020, Naomi Kawase, Japan, A+30) ผสมกับละครทีวี MELROSE PLACE (1992-1999) เพราะหนังเรื่องนี้นำเสนอตัวละครหญิงแรง ๆ หลายตัวมารวมกัน

 

ชอบสุด ๆ ที่หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่า อุปสรรคไม่ได้เกิดจาก “ระบบสวัสดิการสังคม” แต่เกิดจากตัวละครแต่ละตัวเอง อย่างเช่น

 

6.1 เด็กสาวที่ขาดความรักความอบอุ่นจากแม่

 

6.2 เด็กสาวที่มีแม่ติดเหล้า ชอบใช้ความรุนแรงกับลูกสาว

 

6.3 เด็กสาวที่หวังจะพึ่งพาผัว แต่ผัวพยายามหลบหน้า

 

6.4 เด็กสาวที่ติดยาเสพติด

 

ฉากที่แม่จะตบลูกสาว แต่ลูกสาว “ต้านการตบ” ไว้ได้ทัน นี่ถือเป็น ONE OF MY MOST FAVORITE SCENES I SAW THIS YEAR เลย

 

++++

 

อยากให้มีคนทำ diagrams ของ “เรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า” ในหนังของ Ryusuke Hamaguchi หรือเขียนบทความเกี่ยวกับประเด็นนี้ เพราะว่าพอเราดูหนังของเขาหลาย ๆ เรื่อง เราก็พบว่า หนึ่งในสิ่งที่เราชอบมากในหนังของเขา ก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยการให้ตัวละครเล่า หรือพูด แต่ไม่แสดงภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องเล่านั้นให้ผู้ชมเห็นโดยตรง ผู้ชมต้องฟังจากปากของตัวละคร (หรืออ่าน subtitle text) แล้วจินตนาการภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามเรื่องเล่านั้นในหัวของตัวเอง

 

หนังของ Ryusuke Hamaguchi ที่เราได้ดู

 

1. LIKE NOTHING HAPPENED (2003, A+30)

 

ตัวละครที่แสดงโดย Ryusuke Hamaguchi เล่าเรื่องราวชีวิตของเขาสมัยเป็นเด็กนักเรียน ที่เขาเหมือนเคยมีส่วนร่วม bully เด็กผู้ชายคนนึง และเรื่องเล่านั้นส่งผลกระทบกระเทือนทางจิตใจต่อนางเอกมาก ๆ

 

2. PASSION (2008, 115min, A+30)

 

อันนี้ไม่ได้เป็นฉาก “เล่าเรื่อง” แต่เป็นฉากที่ตัวละครที่เป็นครูพูดคุยกันอย่างยืดยาวกับนักเรียนในห้องเรียน เกี่ยวกับนักเรียนชายคนนึงที่ฆ่าตัวตายไปเพราะถูก bully คนดูไม่ได้เห็นภาพผู้ตายหรือ flashback ของสิ่งที่เกิดขึ้นเลย แต่คนดูต้องจินตนาการภาพในหัวเอาเอง

 

3. I LOVE THEE FOR GOOD (2009, 58min, A+30)

 

อันนี้เหมือนไม่ได้มีฉากเล่าเรื่องยาว ๆ แต่อย่างใด ถ้าหากเราจำไม่ผิด

 

แต่เราสงสัยว่า หนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก TESS OF THE D’URBERVILLES (1891, ประพันธ์โดย Thomas Hardy, A+30) หรือเปล่า 55555 เพราะตัวละครเทสส์ในนิยายก็ต้องการเขียนจดหมายสารภาพเรื่อง “ความไม่บริสุทธิ์” ของตนเองให้สามีได้อ่านในคืนแต่งงานเหมือน ๆ กัน (ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ)

 

4. THE DEPTHS (2010, 121min, A+30)

 

อันนี้เหมือนไม่ได้มีฉากเล่าเรื่องยาว ๆ แต่อย่างใด ถ้าหากเราจำไม่ผิด

 

แต่เราสงสัยว่า หนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากนิยาย DEATH IN VENICE (1912, ประพันธ์โดย Thomas Mann) หรือเปล่า 55555

 

5. INTIMACIES (2012, 255min, A+30)

 

ในหนังเรื่องนี้มี

 

5.1 นักแสดงละครเวทีชายคนหนึ่ง เล่าถึงประวัติชีวิตของตัวเองตอนเด็ก ที่พี่ชายของเขาเคยช่วยชีวิตเขาจากการจมน้ำ

 

5.2 เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ชนเผ่าบันจี้จัมป์”

 

5.3 เนื้อหาของ “ละครเวที” ที่ซ้อนอยู่ในหนังเรื่องนี้

 

5.4 เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “รายการวิทยุที่รับแฟกซ์จดหมายรัก” (ถ้าหากเราจำไม่ผิด) ที่อยู่ในละครเวที เพราะฉะนั้นเรื่องเล่านี้ก็เลยเป็น “เรื่องเล่าที่ซ้อนอยู่ในละครเวทีที่ซ้อนอยู่ในภาพยนตร์”

 

5.6 ตัวละครกะเทยในละครเวที ก็เล่าถึงประวัติชีวิตของตัวเอง

 

6. TOUCHING THE SKIN OF EERINESS (2013, 53min, A+30)

 

เหมือนไม่มีเรื่องเล่ายาว ๆ ในหนังเรื่องนี้นะ ถ้าหากเราจำไม่ผิด แต่มีเรื่องเล่านิดนึงเกี่ยวกับ “ปลาประหลาด”

 

7. STORYTELLERS (2013, documentary, 120min, A+30)

 

เหมือนเป็นหนังที่สะท้อนประเด็นนี้โดยเฉพาะ หนังเต็มไปด้วย “เรื่องเล่าที่ถ่ายทอดด้วยปาก” เพื่อให้ผู้ชมจินตนาการภาพในหัวเอาเอง

 

ถ้าจำไม่ผิด เรากลัวเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “เงา” ที่กระโดดออกจากบ้าน แล้วกระโดดข้ามภูเขา ในหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงมาก เหมือนเราเชื่อว่านี่คือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง เป็น supernatural phenomenon ที่ไม่มีคำอธิบายใด ๆ อีกต่อไป

 

8. HAPPY HOUR (2015, 317min, A+30)

 

มีฉากที่ “นักเขียนสาว” อ่านเรื่องแต่งของเธอให้ผู้ชมในฮอลล์ฟัง เป็นเรื่องแต่งเกี่ยวกับเพื่อนที่แอบหลงรักเพื่อนระหว่างไปทัศนศึกษามั้ง ถ้าหากเราจำไม่ผิด

 

9. HEAVEN IS STILL FAR AWAY (2016, 38min, A+30)

 

มีฉากที่ตัวละครเล่าเรื่อง “การวิ่งซนในวัยเด็ก จนชนของล้มพังพินาศ” และ “การเดินไปโรงเรียนในวัยเด็ก พร้อมกับจับมือน้องสาวไปด้วย” ซึ่งก็เหมือนกับในทุก ๆ เรื่องของ Hamaguchi ที่ผู้ชมจะไม่เห็นภาพ flashback แต่ต้องจินตนาการภาพในหัวด้วยตัวเอง

 

10. WHEEL OF FORTUNE AND FANTASY (2021, 121min, A+30)

 

มีฉากที่ผู้หญิงอ่านเรื่องราวอีโรติกให้อาจารย์ชายฟัง

 

11. DRIVE MY CAR (2021, 179min, A+30)

 

ตัวละครเมียพระเอก เล่าเรื่องของหญิงสาวที่เคยเกิดเป็น lamprey ในชาติก่อน และในชาติต่อมาก็เลยกลายเป็น “คนที่ชอบแอบย่องเข้าบ้านคนอื่น” ถ้าหากเราจำไม่ผิด

 

12. EVIL DOES NOT EXIST (2023, 106min, A+30)

 

เราว่า “การกระตุ้นภาพในหัวของผู้ชม” ในหนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ของ Hamaguchi เพราะว่าในหนังเรื่องอื่น ๆ นั้น ตัวละครมักจะ “เล่าเรื่องราวประวัติชีวิตของตนเองในอดีต” หรือ “เล่าเรื่องแต่ง” ต่าง ๆ แต่ในหนังเรื่องนี้ ฉากที่คล้าย ๆ จะกระตุ้นภาพในหัวของเรามากที่สุด คือฉากที่ตัวละครชาวบ้านถกเถียงกันอย่างยาวนานกับตัวแทนบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นการกระตุ้น “ภาพของความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต” ให้เกิดขึ้นในหัวของเรา ซึ่งเป็นความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าหากบริษัทแห่งนั้นมาก่อสร้างอาคารสถานที่ท่องเที่ยว แล้วไม่มีการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียที่ดีพอ ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อแหล่งน้ำของหมู่บ้านแห่งนี้

 

เราว่าการที่ Ryusuke Hamaguchi มักจะใช้วิธีการแบบนี้ในหนังของเขา มันทำให้เกิด gaps บางอย่างที่เราชอบสุดขีดในหนังของเขา ซึ่งได้แก่

 

A. GAP ระหว่าง “เรื่องเล่าจากปากของตัวละคร”, “ภาพของตัวละครขณะเล่าเรื่องที่ปรากฏอยู่บนจอภาพยนตร์” และ “ภาพของเรื่องเล่าในหัวของผู้ชม”

 

B. GAP ระหว่าง “ความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องเล่านั้น ๆ” กับ “เนื้อหาหลักของภาพยนตร์” เพราะว่าเรื่องเล่าเหล่านี้ หลาย ๆ เรื่องมันไม่ได้บอกโดยตรงว่า มันเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักอย่างไร อย่างเช่นเรื่องของ lamprey girl กับเรื่องราวของพระเอกกับคนขับรถใน DRIVE MY CAR

 

ถ้าหากใครจำ “เรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า” อะไรได้อีกในหนังของ Ryusuke Hamaguchi ก็มาช่วยให้ข้อมูลกันได้นะคะ

 

ภาพจาก THE DEPTHS

++++

 

NEST (2022, Hlynur Pálmason, Denmark/Iceland, 22min, A+30)

 

หนังเรื่องนี้เหมือนเป็น prequel ของ THE LOVE THAT REMAINS (2025, Hlynur Pálmason, Iceland,  A+30)

 

ชอบมาก ๆ ที่ตัวละครหลักของหนังเรื่องนี้เหมือนจะประกอบด้วย

 

1. เสา

2. บ้านบนเสา

3. ท้องฟ้าและก้อนเมฆ

4. แสงแดด

5. สภาพอากาศในแต่ละวัน

6. ฤดูกาล

7. landscape ระยะใกล้

8. landscape ระยะไกล

9-11. เด็ก 3 คน

 

คือชอบที่หนังเหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวละครมนุษย์เป็นหลักเหมือนหนังทั่ว ๆ ไป แต่เหมือนให้อะไรต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต กลายเป็นตัวละครหลักของหนังด้วย

 

หนังเรื่องนี้เปิดให้ดูฟรีออนไลน์ที่ le cinema club จนถึงราวเที่ยงวันศุกร์ที่ 10 ต.ค.นะ

 

+++

ดีใจที่จะได้ดู THE BANSHEES OF INISHERIN (2022, Martin McDonagh, Ireland, 114min)