FILMS SEEN ON TUESDAY 7 OCT 2025
เรียงตามลำดับการดู
1. DONGJI RESCUE (2025, Hu Guan, Fei
Zhenxiang, China, 133min, A+30)
ถือเป็นหนังที่เป็น “ขั้วตรงข้าม” ของ BEFORE
YOUR EYES – VIETNAM (1981, Harun Farocki, West Germany, A+30) เพราะว่าในขณะที่
BEFORE YOUR EYES – VIETNAM
“ต่อต้านการเร้าอารมณ์อย่างรุนแรง” DONGJI
RESCUE กลับทำทุกอย่างเพื่อ “เร้าอารมณ์ผู้ชมอย่างรุนแรง”
ทั้งอารมณ์สนุกตื่นเต้นลุ้นระทึก, สะใจที่คนเลวถูกฆ่า, ซาบซึ้งจนร้องห่มร้องไห้, etc.
พอดูแล้วก็เลยรู้ตัวเองว่า เราชอบหนังทั้งสองแบบ
ทั้งแบบ BEFORE YOUR EYES – VIETNAM และแบบ DONGJI
RESCUE ถึงแม้ว่าหนังทั้งสองแบบนี้จะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง 55555
คือรู้ทั้งรู้ว่า DONGJI RESCUE มันจงใจทำอะไรกับผู้ชมบ้าง
แต่เราก็ยินยอมให้หนังเรื่องนี้ทำกับเราแต่โดยดี
2. THE LIMINAL SPACE (2025, Surasit
Mankhong, video installation, 9min, A+30)
ดูที่ชั้น 7 BACC
3. PLACING THE PLACE (2025, Prach Pimarnman, Rozee Haree,
video installation, A+30)
ดูที่ชั้น 7 BACC
4. ANONYMOUS LETTER... (2025, Melayu Living, mixed-media
installation with video, A+30)
ดูที่ชั้น 7 BACC
เรายืนดูวิดีโอนี้แค่ราว 5 นาทีนะ
ดูแล้วอยากกินอาหารภาคใต้มาก ๆ แต่ไม่รู้ว่าตัววิดีโอจริง ๆ มีความยาวกี่นาที
5. ARCO (2025, Ugo Bienvenu, France,
animation, 82min, A+30)
ชอบสีสันในหนังเรื่องนี้มาก ๆ และชอบสุด ๆ
ที่หนังเรื่องนี้ “ไม่ได้โอ๋เด็ก”
แบบหนังแอนิเมชั่นฝรั่งเศสบางเรื่องที่ชอบนำเสนอตัวละคร “เด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง”
แล้วหนังก็ “ให้รางวัล” เด็กที่เอาแต่ใจตัวเองแบบนั้น
โชคดีที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ไปในทิศทางนั้น
6. YOUNG MOTHERS (2025, Jean-Pierre
Dardenne, Luc Dardenne, France/Belgium, 105min, A+30)
นึกว่า TRUE MOTHERS (2020, Naomi
Kawase, Japan, A+30) ผสมกับละครทีวี MELROSE PLACE
(1992-1999) เพราะหนังเรื่องนี้นำเสนอตัวละครหญิงแรง ๆ
หลายตัวมารวมกัน
ชอบสุด ๆ ที่หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่า
อุปสรรคไม่ได้เกิดจาก “ระบบสวัสดิการสังคม” แต่เกิดจากตัวละครแต่ละตัวเอง
อย่างเช่น
6.1 เด็กสาวที่ขาดความรักความอบอุ่นจากแม่
6.2 เด็กสาวที่มีแม่ติดเหล้า
ชอบใช้ความรุนแรงกับลูกสาว
6.3 เด็กสาวที่หวังจะพึ่งพาผัว
แต่ผัวพยายามหลบหน้า
6.4 เด็กสาวที่ติดยาเสพติด
ฉากที่แม่จะตบลูกสาว แต่ลูกสาว “ต้านการตบ”
ไว้ได้ทัน นี่ถือเป็น ONE OF MY MOST FAVORITE SCENES I SAW THIS YEAR เลย
++++
อยากให้มีคนทำ diagrams ของ
“เรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า” ในหนังของ Ryusuke Hamaguchi หรือเขียนบทความเกี่ยวกับประเด็นนี้
เพราะว่าพอเราดูหนังของเขาหลาย ๆ เรื่อง เราก็พบว่า
หนึ่งในสิ่งที่เราชอบมากในหนังของเขา ก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ
ด้วยการให้ตัวละครเล่า หรือพูด
แต่ไม่แสดงภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องเล่านั้นให้ผู้ชมเห็นโดยตรง ผู้ชมต้องฟังจากปากของตัวละคร
(หรืออ่าน subtitle text) แล้วจินตนาการภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ
ตามเรื่องเล่านั้นในหัวของตัวเอง
หนังของ Ryusuke Hamaguchi ที่เราได้ดู
1. LIKE NOTHING HAPPENED (2003, A+30)
ตัวละครที่แสดงโดย Ryusuke Hamaguchi เล่าเรื่องราวชีวิตของเขาสมัยเป็นเด็กนักเรียน ที่เขาเหมือนเคยมีส่วนร่วม
bully เด็กผู้ชายคนนึง
และเรื่องเล่านั้นส่งผลกระทบกระเทือนทางจิตใจต่อนางเอกมาก ๆ
2. PASSION (2008, 115min,
A+30)
อันนี้ไม่ได้เป็นฉาก “เล่าเรื่อง”
แต่เป็นฉากที่ตัวละครที่เป็นครูพูดคุยกันอย่างยืดยาวกับนักเรียนในห้องเรียน
เกี่ยวกับนักเรียนชายคนนึงที่ฆ่าตัวตายไปเพราะถูก bully คนดูไม่ได้เห็นภาพผู้ตายหรือ
flashback ของสิ่งที่เกิดขึ้นเลย แต่คนดูต้องจินตนาการภาพในหัวเอาเอง
3. I LOVE THEE FOR GOOD (2009, 58min, A+30)
อันนี้เหมือนไม่ได้มีฉากเล่าเรื่องยาว ๆ
แต่อย่างใด ถ้าหากเราจำไม่ผิด
แต่เราสงสัยว่า
หนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก TESS OF THE D’URBERVILLES
(1891, ประพันธ์โดย Thomas Hardy, A+30) หรือเปล่า
55555 เพราะตัวละครเทสส์ในนิยายก็ต้องการเขียนจดหมายสารภาพเรื่อง
“ความไม่บริสุทธิ์” ของตนเองให้สามีได้อ่านในคืนแต่งงานเหมือน ๆ กัน
(ถ้าหากเราจำไม่ผิดนะ)
4. THE DEPTHS (2010, 121min, A+30)
อันนี้เหมือนไม่ได้มีฉากเล่าเรื่องยาว ๆ
แต่อย่างใด ถ้าหากเราจำไม่ผิด
แต่เราสงสัยว่า
หนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากนิยาย DEATH IN VENICE (1912,
ประพันธ์โดย Thomas Mann) หรือเปล่า 55555
5. INTIMACIES (2012, 255min, A+30)
ในหนังเรื่องนี้มี
5.1 นักแสดงละครเวทีชายคนหนึ่ง
เล่าถึงประวัติชีวิตของตัวเองตอนเด็ก ที่พี่ชายของเขาเคยช่วยชีวิตเขาจากการจมน้ำ
5.2 เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ชนเผ่าบันจี้จัมป์”
5.3 เนื้อหาของ “ละครเวที”
ที่ซ้อนอยู่ในหนังเรื่องนี้
5.4 เรื่องเล่าเกี่ยวกับ
“รายการวิทยุที่รับแฟกซ์จดหมายรัก” (ถ้าหากเราจำไม่ผิด) ที่อยู่ในละครเวที
เพราะฉะนั้นเรื่องเล่านี้ก็เลยเป็น
“เรื่องเล่าที่ซ้อนอยู่ในละครเวทีที่ซ้อนอยู่ในภาพยนตร์”
5.6 ตัวละครกะเทยในละครเวที
ก็เล่าถึงประวัติชีวิตของตัวเอง
6. TOUCHING THE SKIN OF EERINESS (2013,
53min, A+30)
เหมือนไม่มีเรื่องเล่ายาว ๆ ในหนังเรื่องนี้นะ
ถ้าหากเราจำไม่ผิด แต่มีเรื่องเล่านิดนึงเกี่ยวกับ “ปลาประหลาด”
7. STORYTELLERS (2013, documentary,
120min, A+30)
เหมือนเป็นหนังที่สะท้อนประเด็นนี้โดยเฉพาะ
หนังเต็มไปด้วย “เรื่องเล่าที่ถ่ายทอดด้วยปาก” เพื่อให้ผู้ชมจินตนาการภาพในหัวเอาเอง
ถ้าจำไม่ผิด เรากลัวเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “เงา”
ที่กระโดดออกจากบ้าน แล้วกระโดดข้ามภูเขา ในหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงมาก
เหมือนเราเชื่อว่านี่คือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง เป็น supernatural
phenomenon ที่ไม่มีคำอธิบายใด ๆ อีกต่อไป
8. HAPPY HOUR (2015, 317min, A+30)
มีฉากที่ “นักเขียนสาว”
อ่านเรื่องแต่งของเธอให้ผู้ชมในฮอลล์ฟัง
เป็นเรื่องแต่งเกี่ยวกับเพื่อนที่แอบหลงรักเพื่อนระหว่างไปทัศนศึกษามั้ง
ถ้าหากเราจำไม่ผิด
9. HEAVEN IS STILL FAR AWAY (2016,
38min, A+30)
มีฉากที่ตัวละครเล่าเรื่อง “การวิ่งซนในวัยเด็ก
จนชนของล้มพังพินาศ” และ “การเดินไปโรงเรียนในวัยเด็ก
พร้อมกับจับมือน้องสาวไปด้วย” ซึ่งก็เหมือนกับในทุก ๆ เรื่องของ Hamaguchi ที่ผู้ชมจะไม่เห็นภาพ flashback แต่ต้องจินตนาการภาพในหัวด้วยตัวเอง
10. WHEEL OF FORTUNE AND FANTASY (2021,
121min, A+30)
มีฉากที่ผู้หญิงอ่านเรื่องราวอีโรติกให้อาจารย์ชายฟัง
11. DRIVE MY CAR (2021, 179min, A+30)
ตัวละครเมียพระเอก
เล่าเรื่องของหญิงสาวที่เคยเกิดเป็น lamprey ในชาติก่อน
และในชาติต่อมาก็เลยกลายเป็น “คนที่ชอบแอบย่องเข้าบ้านคนอื่น” ถ้าหากเราจำไม่ผิด
12. EVIL DOES NOT EXIST (2023, 106min,
A+30)
เราว่า “การกระตุ้นภาพในหัวของผู้ชม”
ในหนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ของ Hamaguchi เพราะว่าในหนังเรื่องอื่น
ๆ นั้น ตัวละครมักจะ “เล่าเรื่องราวประวัติชีวิตของตนเองในอดีต” หรือ
“เล่าเรื่องแต่ง” ต่าง ๆ แต่ในหนังเรื่องนี้ ฉากที่คล้าย ๆ
จะกระตุ้นภาพในหัวของเรามากที่สุด
คือฉากที่ตัวละครชาวบ้านถกเถียงกันอย่างยาวนานกับตัวแทนบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นการกระตุ้น
“ภาพของความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต” ให้เกิดขึ้นในหัวของเรา
ซึ่งเป็นความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ถ้าหากบริษัทแห่งนั้นมาก่อสร้างอาคารสถานที่ท่องเที่ยว
แล้วไม่มีการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียที่ดีพอ
ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อแหล่งน้ำของหมู่บ้านแห่งนี้
เราว่าการที่ Ryusuke Hamaguchi มักจะใช้วิธีการแบบนี้ในหนังของเขา มันทำให้เกิด gaps บางอย่างที่เราชอบสุดขีดในหนังของเขา ซึ่งได้แก่
A. GAP ระหว่าง “เรื่องเล่าจากปากของตัวละคร”,
“ภาพของตัวละครขณะเล่าเรื่องที่ปรากฏอยู่บนจอภาพยนตร์” และ
“ภาพของเรื่องเล่าในหัวของผู้ชม”
B. GAP ระหว่าง
“ความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องเล่านั้น ๆ” กับ “เนื้อหาหลักของภาพยนตร์”
เพราะว่าเรื่องเล่าเหล่านี้ หลาย ๆ เรื่องมันไม่ได้บอกโดยตรงว่า
มันเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักอย่างไร อย่างเช่นเรื่องของ lamprey girl กับเรื่องราวของพระเอกกับคนขับรถใน DRIVE MY CAR
ถ้าหากใครจำ “เรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า”
อะไรได้อีกในหนังของ Ryusuke Hamaguchi ก็มาช่วยให้ข้อมูลกันได้นะคะ
ภาพจาก THE DEPTHS
++++
NEST (2022, Hlynur Pálmason, Denmark/Iceland, 22min, A+30)
หนังเรื่องนี้เหมือนเป็น prequel ของ THE LOVE THAT REMAINS (2025, Hlynur Pálmason, Iceland, A+30)
ชอบมาก ๆ ที่ตัวละครหลักของหนังเรื่องนี้เหมือนจะประกอบด้วย
1. เสา
2. บ้านบนเสา
3. ท้องฟ้าและก้อนเมฆ
4. แสงแดด
5. สภาพอากาศในแต่ละวัน
6. ฤดูกาล
7. landscape ระยะใกล้
8. landscape ระยะไกล
9-11. เด็ก 3 คน
คือชอบที่หนังเหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวละครมนุษย์เป็นหลักเหมือนหนังทั่ว
ๆ ไป แต่เหมือนให้อะไรต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต กลายเป็นตัวละครหลักของหนังด้วย
หนังเรื่องนี้เปิดให้ดูฟรีออนไลน์ที่ le
cinema club จนถึงราวเที่ยงวันศุกร์ที่ 10 ต.ค.นะ
+++
ดีใจที่จะได้ดู THE BANSHEES OF
INISHERIN (2022, Martin McDonagh, Ireland, 114min)