Saturday, March 26, 2016

BEAT KIDS (2004, Toshi Shioya, Japan, A+25)

BEAT KIDS (2004, Toshi Shioya, Japan, A+25)

1.ชอบ “ความไม่แน่ไม่นอนของชีวิต” ที่ใส่เข้าไปในพล็อตเรื่องแบบสูตรสำเร็จในหนังเรื่องนี้มากๆ คือถ้าหากว่ากันตามจริงแล้ว พล็อตของหนังเรื่องนี้มีความเป็นสูตรสำเร็จมากๆ และหลายๆฉากในหนังเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเป็นฉาก cliche แบบที่เราเคยเห็นมาแล้วในหนังไม่ต่ำกว่า 100 เรื่อง แต่หนังก็สามารถลดทอนความรู้สึกเบื่อหน่ายที่เรามักจะมีต่อฉาก cliche และลดทอนความรู้สึกแข็งเกร็งของตัวละครที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในหนังแบบสูตรสำเร็จลงได้ ด้วยการใส่ “ความไม่แน่นอนของชีวิต” เข้าไปในเนื้อเรื่อง ทั้งในส่วนที่มีผลอย่างรุนแรงต่อเส้นเรื่องหลัก และในส่วนที่ไม่มีผลกระทบต่อเส้นเรื่องหลัก

SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
2.จุดสำคัญที่สุดที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้ ก็คือการพลิกผันช่วงกลางเรื่องนี่แหละ คือช่วงครึ่งแรกของหนังเรื่องนี้ เรารู้สึกเหมือนกำลังดูหนังแบบ THE SPECTRUM (2006, Yanin Pongsuwan) + THE CHEER AMBASSADOR (2011, Luke Cassady-Dorion) + DEAD POETS SOCIETY (1989, Peter Weir) อยู่ คือมันเป็นเรื่องการฝึกซ้อมของวงโยธวาทิตเพื่อเข้าแข่งขัน โดยสมาชิกวงได้รับแรงบันดาลใจจากตัวละครสำคัญตัวหนึ่ง ที่ทำหน้าที่คล้ายๆครูคีทติ้งใน DEAD POETS SOCIETY เพียงแต่ว่า “ผู้สร้างแรงบันดาลใจ” ในเรื่องนี้ไม่ได้เป็นครู แต่เป็นนักเรียนหญิงที่มีพรสวรรค์สูง และเป็นนางเอกของเรื่อง

แต่ช่วงกลางเรื่องนี่ทำให้เรานึกถึง PSYCHO (Alfred Hitchcock) เลยนะ เพราะอยู่ดีๆตัวละครนางเอกก็ถูกทำให้หมดบทบาทลงอย่างกะทันหันช่วงกลางเรื่อง โดยเป็นผลจากคุณครูตัวร้าย และคุณครูตัวร้ายก็ยังคงมีบทบาทต่อไปจนจบเรื่อง ในขณะที่นางเอกแทบไม่มีความสำคัญอะไรอีกต่อไปในช่วงครึ่งเรื่องหลัง

ไอ้การพลิกผันช่วงกลางเรื่องนี่แหละ ที่เราว่ามันทำให้หนังเรื่องนี้ดีขึ้นมามากๆ มันเหมือนกับว่าหนังเป็น DEAD POETS SOCIETY ในช่วงครึ่งเรื่องแรก แต่แทนที่หนังจะจบลงด้วยการจากไปของครูคีทติ้ง หนังกลับแสดงให้เห็นในช่วงครึ่งเรื่องหลังว่า “ผู้ได้รับแรงบันดาลใจ” เขาดิ้นรนใช้ชีวิตอยู่กันต่อไปยังไง

3.อีกจุดที่ชอบมากคือ subplot เรื่องคุณแม่คลอดลูกแล้วลูกตายตอนเกิด คือ subplot นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นเรื่องหลักเลยนะ แต่การใส่มันเข้ามา มันช่วยลดความแข็งเกร็งของ “การใช้ชีวิตในหนังแบบสูตรสำเร็จ” ลงได้มากๆเลยน่ะ มันช่วยทำให้โลกในหนังเรื่องนี้ ใกล้เคียงโลกมนุษย์จริงๆมากยิ่งขึ้น โลกที่เราคาดการณ์ชีวิตอะไรล่วงหน้าไม่ได้ และมักจะมีเรื่องเหี้ยๆห่าๆเกิดขึ้นมาในชีวิตโดยที่เราไม่คาดฝันอยู่เสมอ


4.รู้สึกว่าผู้กำกับหนังเมนสตรีมของไทยหลายๆคน ควรจะดูหนังเรื่องนี้เป็นเยี่ยงอย่างนะ คือถ้าหากจะทำหนังเมนสตรีม, ใช้พล็อตสูตรสำเร็จ และมีแต่ฉาก cliche แล้ว เราก็สามารถทำหนังให้มันออกมาดีได้เช่นกัน ถ้าหากเรารู้จักพลิกแพลง แต่งเติม และดัดแปลงโลกในหนังให้มันใกล้เคียงกับชีวิตมนุษย์จริงๆได้อย่างนี้

No comments: