Wednesday, March 16, 2016

THE GOLDEN LEGEND (2015, Olivier Smolders, France, A+30)

THE GOLDEN LEGEND (2015, Olivier Smolders, France, A+30)
1.หลังจาก Olivier Smolders มีหนังติดอันดับประจำปีของเราไปแล้วจาก THE SHADOW’S SHARE (2014) เขาก็อาจจะมีหนังติดอันดับประจำปีของเราอีกเป็นปีที่สองติดต่อกันด้วย THE GOLDEN LEGEND สิ่งที่เราชอบในหนังของเขาทั้งสองเรื่องนี้ก็คือ ความสยองขวัญของมันน่ะ ซึ่งเป็นความสยองขวัญในแบบที่เราไม่ค่อยพบในหนัง horror ทั่วไปด้วย แต่อาจจะพบได้ในหนังสั้นอย่าง A STORY FOR THE MODLINS (2012, Sergio Oksman, Spain, documentary) ที่สร้างความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจเราได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างจากหนังสยองขวัญทั่วไป

2.ใน THE GOLDEN LEGEND นั้น เราได้ฟังชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเล่นเป็นคนโรคจิต เปิดหนังสือ scrap book ของเขาให้เราดู โดยหนังสือ scrap book นี้เป็นการตัดแปะภาพที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงภาพถ่ายของฆาตกรโรคจิต, ภาพวาดใบหน้าของฆาตกรโรคจิต และภาพวาดจากหนังสือโบราณ ในขณะที่ชายคนนี้พร่ำพูดถึงฆาตกรโรคจิตที่มีตัวตนจริงหลายๆคนในอดีต และเรื่องราวน่ากลัวต่างๆมากมายที่เราจำได้ไม่หมด อย่างเช่นเรื่องราวของการสังหารนักบุญบางคนในอดีตอย่างโหดเหี้ยม, เรื่องราวของคนที่ทรมานตัวเองบนเสาสูงกลางเมือง โดยเขาเล่าเรื่องนี้ในแบบ กระแสสำนึกเรื่องราวของฆาตกรโรคจิตแต่ละคนไหลเลื่อนเข้าหากัน และในบางครั้งเขาก็เล่าเรื่องของฆาตกรโรคจิตในเยอรมนี แต่ภาพที่เราเห็นในหนังเป็นใบหน้าของฆาตกรโรคจิตในฝรั่งเศส

3.การเล่าเรื่องแบบคนบ้าในหนังเรื่องนี้มันน่ากลัวมาก และ monologue ของตัวละครในเรื่องนี้มันเหมือนคนบ้าจริงๆ เพราะเราเคยดูวิดีโอชุด THE INSANE (2006, Araya Rasdjarmrearnsook) ที่เป็นการสัมภาษณ์ผู้หญิงบ้าราว 11 คน และเราก็พบว่าลักษณะของ monologue ใน THE GOLDEN LEGEND มันเหมือนกับใน THE INSANE มากๆ คือเหมือนกันในแง่ โครงสร้างนะ มันเป็นการเล่าเรื่องแบบที่ การเชื่อมโยงแต่ละประโยคเข้าด้วยกันมันวิปริตผิดเพี้ยนไปหมดน่ะ คือเราอาจจะฟังแต่ละประโยครู้เรื่อง แต่หลายๆครั้ง topic ที่พูดมันกระโดดข้ามไปข้ามมาในแบบที่เชื่อมโยงไม่ได้ด้วยเหตุผลอีกต่อไป เราก็เลยทึ่งมากๆที่ THE GOLDEN LEGEND สามารถจำลองลักษณะการพูดของคนบ้าออกมาได้เหมือนจริงมากๆ

แต่ประเด็นที่ตัวละครใน THE GOLDEN LEGEND พูดไม่ได้เหมือนกับใน THE INSANE นะ เพราะคนบ้าจริงๆใน THE INSANE ไม่ได้พูดถึงฆาตกรโรคจิต แต่ส่วนใหญ่แล้วจะพูดถึงชีวิตตัวเองในแบบที่พิสดาร

4.นอกจาก monologue ใน THE GOLDEN LEGEND จะน่าสนใจในแง่วิธีการพูดแล้ว ประเด็นที่มันพูดก็น่ากลัวมากๆด้วย คือการพูดถึงฆาตกรโรคจิตที่มีตัวตนจริงหลายคนในอดีต และเรื่องราวเฮี้ยนๆน่ากลัวๆที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต อย่างเช่นตำนานนักบุญในศาสนา มันเป็นอะไรที่สร้างความกลัวแก่เราได้มากกว่าการดูหนังสยองขวัญน่ะ เพราะเวลาเราดูหนังสยองขวัญ เรารู้ว่ามันเป็นเรื่องแต่งที่จงใจให้เรากลัว เราก็เลย treat มันเป็น ความน่ากลัวภายนอกตัวเรา

แต่เวลาที่เราดู THE GOLDEN LEGEND แล้วฟังคนโรคจิตพูดถึง ความโรคจิตของมนุษย์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีตมันเหมือนกับการที่เราได้ลองก้าวเดินเข้าไปสำรวจจิตใจมนุษย์จริงๆน่ะ และก็พบว่าจิตใจมนุษย์จริงๆนี่มันน่ากลัวยิ่งกว่าบ้านผีสิงเสียอีก

เปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่า การดูหนังสยองขวัญโดยทั่วไปเหมือนกับการไปเที่ยวบ้านผีสิงน่ะ มันสนุกตื่นเต้นน่าหวาดกลัว แต่จบแล้วก็จบกัน เที่ยวบ้านผีสิงเสร็จเราก็ไปเที่ยวซาวน่าต่อได้อย่างไม่มีอะไรติดค้างในใจ

แต่การดู THE GOLDEN LEGEND มันเหมือนกับการเปิดเปลือยให้เห็นซอกหลืบเร้นลับที่อาจจะซ่อนอยู่ในจิตใจมนุษย์แต่ละคนน่ะ เพราะฉะนั้นพอดูหนังเรื่องนี้จบแล้วเราจะรู้สึกเหมือนกับว่ามันยังไม่จบ เพราะมันทำให้เราตระหนักถึงมิติมืดอะไรบางอย่างที่ซ้อนทับอยู่กับโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่ประจำวันในทุกวันนี้ มันเหมือนกับไม่ได้ทำให้เรากลัว อะไรข้างนอกแต่กลัว อะไรข้างในกลัวสิ่งที่อยู่ข้างในใจมนุษย์แต่ละคน

5.งานด้านภาพของหนังเรื่องนี้สุดตีนมากๆ ถูกใจเรามากๆ เพราะมันเป็นการถ่าย scrap book ที่รวบรวมภาพต่างๆหลากหลายมาไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะภาพประกอบหนังสือแบบโบราณ ซึ่งมันหลอนมากๆสำหรับเรา

คือเวลาเราเปิดดูหนังสือภาษาอังกฤษโบราณๆ แล้วเห็นภาพประกอบหนังสือพวกนี้ เรามักจะชอบ+กลัวมันในขณะเดียวกันน่ะ คือเราว่ามันมีเสน่ห์แบบหลอนๆดี เหมือนกับว่าแต่ละภาพอาจจะมีคำสาปแม่มดแฝงอยู่ อะไรทำนองนี้ แต่เราก็ไม่ได้กลัวมันมากนัก เพราะเรารู้ว่าภาพเหล่านี้ถูกใช้ประกอบเนื้อหาอะไรในหนังสือแต่ละเล่ม ภาพเหล่านี้มันมีที่มาที่ไปยังไง มันมีเหตุผลในการดำรงอยู่ของมันในหนังสือเล่มนั้น

แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ภาพเหล่านี้ถูกตัดออกมาจากหนังสือดั้งเดิมของมัน เพราะฉะนั้นพลังความหลอนของมันก็เลยเปล่งออกมาอย่างเด่นชัด เพราะมันไม่ได้ถูกกำกับควบคุมด้วยเนื้อหาในหนังสือดั้งเดิมของมันอีกต่อไป และในหลายๆครั้งมันก็ไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งที่ตัวละครใน THE GOLDEN LEGEND พูดอยู่ด้วย


เราก็เลยชอบมากที่หนังเรื่องนี้ใช้ศักยภาพความหลอนของภาพวาดแบบโบราณได้อย่างเต็มที่

No comments: