ALONG THE SHORE, UNDER THE DYING SUN (2016, Natchanon Vana, 54min,
A+30)
สิ้นแสงสุรีย์
1.จริงๆแล้วไม่ค่อยกล้าเขียนถึงหนังเรื่องนี้
เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อินกับหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และเรามองว่ามันไม่ใช่ความผิดของหนังแต่อย่างใด
เพราะความอินไม่อินมันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของผู้ชมแต่ละคนด้วย
และเราก็ดีใจมากๆที่ผู้ชมคนอื่นๆอินหรือชื่นชอบหนังเรื่องนี้มากกว่าเราเยอะ
อย่างเช่นคุณ Korn Kanogkekarin เราชอบสิ่งที่คุณ Korn พูด/เขียนถึงหนังเรื่องนี้อย่างมากๆ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบตัวละครนางเอกกับสุวรรณี
สุคนธา
2.ปัจจัยนึงที่ทำให้เราไม่อินกับหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่อาจจะเป็นเพราะห้องฉายหนังด้วย
คือหนังประมาณ 60% ที่ฉายในงานมาราธอนมีปัญหาเรื่องฟังเสียงบทสนทนาของตัวละครไม่ออก
ซึ่งปัญหานึงอาจจะเป็นเพราะการมิกซ์เสียงของหนังไม่เข้ากับระบบเสียงของห้องฉาย
และหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังที่ประสบปัญหานี้
คือเรามองว่าในหนังเรื่องนี้นั้น ตัวละครมันมี “อดีต” เยอะมากน่ะ
และเราจะเข้าใจอดีตของตัวละครได้ก็จากบทสนทนาของตัวละคร แต่พอเราฟังไม่ออกว่าตัวละครคุยอะไรกันบ้างในหลายๆฉาก
เราก็เลย lost ไปเลย ไม่รู้ว่าตัวละครมันมีอดีตมีความเป็นมาอะไรยังไง
เราจับได้แค่ว่าตัวละครพระเอกคงป่วย และกลับมาประเทศไทย เจอกับภรรยาเก่า รำลึกความหลังกัน
พระเอกไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากนัก เราพอจับได้คร่าวๆแค่นี้เท่านั้น
3.คือช่วงแรกๆของหนังนี่เราจูนไม่ติดเลยนะ ซึ่งปัญหานึงเป็นเพราะเรื่องเสียงบทสนทนาด้วยแหละ
ช่วงแรกๆเราก็เลยได้แต่มองว่าภาพมันสวยงามมาก องค์ประกอบทุกอย่างมันดีงามมาก
แต่เราไม่สามารถเอาอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปสัมผัสกับตัวละครได้
เราเพิ่งจูนอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองให้เข้ากับหนังได้ก็เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเรื่องแล้ว
เมื่อมีฉากพระเอกนอนหลับ แล้วเมียเก่า (ที่รับบทโดยคุณ Beatrix) มานั่งมอง
คือฉากนี้มันไม่ต้องพึ่งบทสนทนาด้วยไง แล้วมันเป็นฉากที่ค่อนข้างนิ่งๆนานๆ
เราก็เลยเริ่มจูนตัวเองให้เข้ากับหนังได้ในฉากนี้
และหลังจากนั้นเราก็ดูหนังเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมมากขึ้น
4.แต่เราก็ไม่ได้อินกับมันแบบสุดๆนะ ซึ่งเป็นเพราะประสบการณ์ชีวิตด้วยแหละ
คือถึงแม้เราจะมีอายุใกล้เคียงกับตัวละครในเรื่อง แต่เราก็ไม่เคยมีคนรัก
ไม่มีอดีตรัก และเรา “ไม่มีความผูกพันกับบ้าน” ด้วย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเก่า บ้านใหม่
เราไม่มีความผูกพันกับบ้านหลังไหนๆในชีวิตเราเองเลย
ประสบการณ์ชีวิตที่เราอาจจะพอมีใกล้เคียงกับพระเอกก็คงเป็นเรื่องชีวิตที่ไม่ประสบความสำเร็จ
และความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วย หรือความรู้สึกที่ว่าตัวเองอาจจะใกล้ตายแล้วก็ได้
แล้วพยายามรำลึกถึงอดีตก่อนตาย แต่ถึงแม้เราจะมีจุดที่ใกล้เคียงกับพระเอกในจุดนี้
แต่เราก็พบว่าหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอินกับจุดนี้นะ
มันมีหนังเรื่องอื่นๆที่ทำให้เรารู้สึกอินกว่า อย่างเช่น WE ARE YOUR FRIENDS (2015, Max
Joseph) และ SPA NIGHT (2016, Andrew Ahn) ที่ตัวละครพระเอกของหนังสองเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างรุนแรง
และ “จมปลัก” ไปไหนไม่ได้ ได้แต่อาศัยอยู่ในเมืองเมืองเดียวไปตลอดชีวิต
ซึ่งจุดนี้เราจะอินกับพระเอกในหนังสองเรื่องนี้มากๆ แต่ตัวละครพระเอกใน “สิ้นแสงสุรีย์”
ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากนัก แต่เขาก็ไม่ได้จมปลักน่ะ
เขาเหมือนเคยเดินทางท่องเที่ยวไปแล้วหลายประเทศ
มันก็เลยเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ประสบการณ์ชีวิตของเรากับพระเอกใน “สิ้นแสงสุรีย์”
มันห่างจากกันมากๆ
ส่วนเรื่องการทบทวนชีวิตของตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองป่วยนั้น
เราก็พบว่าหนังอย่าง LE FEU FOLLET (1963, Louis Malle) และ THE
FAREWELL – BERTOLT BRECHT’S LAST SUMMER (2000, Jan Schütte) ก็ทำให้เราอินมากกว่านะ
5.แต่เราก็ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30 นะ
เพราะเรามองว่าการที่เราไม่อินกับหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ
มันไม่ใช่ความผิดของหนังน่ะ มันเป็นเพราะประสบการณ์ชีวิตของตัวเราเองมากกว่า และเราก็มองว่าทุกอย่างในหนังเรื่องนี้มันงดงามมากๆ
มันละเอียดอ่อนนุ่มนวลมากๆ และหนังเรื่องนี้ก็คิดอดีตของตัวละครออกมาได้ดีมากๆ
เรารู้สึกได้จริงๆว่าตัวละครในหนังเรื่องนี้มันเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตมานานแล้วก่อนที่หนังจะเริ่ม
อย่างไรก็ดี จุดที่เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมมากที่สุดในหนังเรื่องนี้
กลับเป็นฉาก “สิ่งของ” คือมันจะมีหลายๆช็อตในหนังเรื่องนี้ที่เป็นการจับภาพสิ่งของต่างๆในบ้าน
และเราพบว่าช็อตเหล่านี้มันกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกเราได้อย่างรุนแรงมากกว่าฉากตัวละครคุยกันในหนังเรื่องนี้
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร คือพอเรามองสิ่งของต่างๆในหนังเรื่องนี้ มันกระตุ้นให้เราจินตนาการถึงอดีตน่ะ
ถึงชีวิตที่เคยดำเนินไปในบ้านหลังนี้ในอดีต
อีกช็อตที่เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมด้วยมากๆคือช็อตทะเล
เราว่าซีนต่างๆที่ถ่ายที่ทะเลในหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีมากๆ
6.อีกจุดที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ ก็คือว่า
มันเป็นหนังไทยไม่กี่เรื่อง ที่นำเสนอตัวละครวัยกลางคนได้อย่างเป็นมนุษย์มากๆ
และเป็น romantic being ในตัวมันเอง แทนที่จะมีสถานะเป็น “คุณพ่ออัลไซเมอร์”,
“คุณพ่อโรคมะเร็งที่ลูกๆต้องดูแล” หรือ “คุณพ่อจอมบงการชีวิตลูกๆ” แบบที่มักพบในหนังเรื่องอื่นๆน่ะ
คือเราแทบนึกไม่ออกเลยนะว่า
มันมีหนังไทยเรื่องไหนที่นำเสนอตัวละครวัยกลางคนได้แบบนี้
คือเราว่ามันคงมีเยอะแหละในทศวรรษ 1970-1980 เพราะยุคนั้นมีการสร้างหนังชีวิตเยอะ แต่พอเข้าทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา หนังโรแมนติก/ดราม่าที่มีตัวละครเอกอยู่ในวัยกลางคนก็แทบไม่มีเลย
แม้แต่ในวงการหนังสั้นไทยก็ด้วย
เพราะนักสร้างหนังสั้นส่วนใหญ่ก็ทำหนังรักนักศึกษาเป็นหลัก
ตัวละครวัยกลางคนมักจะมีสถานะเป็นแค่ “พ่อ” “แม่” เท่านั้น
แต่ตัวละครพระเอก/นางเอกแบบนี้แทบไม่เจอในหนังไทยในยุค 20 ปีที่ผ่านมาเลย เราก็เลยชอบมากที่หนังเรื่องนี้มันฉีกออกมาจากหนังไทยโดยทั่วไปในยุคปัจจุบัน
7.ถ้าจะให้ฉายหนังเรื่องไหนควบกับหนังเรื่องนี้ เราก็คงเลือก THE THINGS OF LIFE (1969, Claude
Sautet) เพราะทั้ง THE THINGS OF LIFE และ ALONG
THE SHORE, UNDER THE DYING SUN นำเสนอชีวิตรักของชายวัยกลางคนเหมือนกัน
และเน้นนำเสนอฉากแบบกิจวัตรประจำวัน หรือกิจกรรมที่ไม่มีอารมณ์ดราม่ารุนแรงเหมือนกัน
เหมือนหนังสองเรื่องนี้นำเสนอกิจกรรมของชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนเป็นกิจกรรมธรรมดาๆ
แต่จริงๆแล้วมันมีความงดงามเศร้าสร้อยบางอย่างแฝงอยู่ในกิจกรรมธรรมดาๆนั้น
อย่างไรก็ดี เราชอบ THE THINGS OF LIFE มากกว่า ALONG
THE SHORE, UNDER THE DYING SUN นะ
คือเราเห็นด้วยกับนักวิจารณ์ที่เขียนถึง THE THINGS OF LIFE ว่า
หนังฝรั่งเศสเรื่องนี้นั้นสามารถ “extract a whole lifetime of meaning
from a simple gesture like lighting a cigarette” น่ะ และเราว่า ALONG
THE SHORE, UNDER THE DYING SUN ยังไปไม่ถึงจุดนั้น
หนังเรื่องนี้มันยังไม่ถึงขั้นเทพแบบหนังของ Claude Sautet มันยังไม่ถึงขั้นที่สามารถ
“ถ่ายทอดความหมายของชีวิตทั้งชีวิตผ่านทาง gesture ธรรมดาอย่างเช่นการจุดบุหรี่สูบ”
ได้ แต่ถ้าหากเทียบกับหนังไทยด้วยกันเองแล้ว เราว่า “สิ้นแสงสุรีย์”
ทำได้ใกล้เคียงที่สุดแล้วล่ะ อีกนิดเดียว มันก็จะไปถึง “ขั้นเทพ” ได้แล้ว
No comments:
Post a Comment