Monday, August 01, 2016

PARTAGE DE MIDI (2011, Claude Mouriéras, France, A+30)

PARTAGE DE MIDI (2011, Claude Mouriéras, France, A+30)

1.ชอบ concept ของหนังเรื่องนี้มากๆ มันเป็นการนำเอาบทประพันธ์ของ Paul Claudel (1868-1955) มาสร้างเป็นหนังในแบบที่ minimal มากๆ

ดู concept ของหนังเรื่องนี้แล้วจะนึกถึง THE FALSE SERVANT (2000, Benoît Jacquot) ผสมกับ DOGVILLE (2003, Lars von Trier) เพราะมันเหมือนเป็นการนำเอาบทละครเวทีมาจัดแสดงในแบบ minimal ไม่เน้นความสมจริงของฉาก และหนังเรื่องนี้ไม่เน้นความสมจริงของเครื่องแต่งกายด้วย หนังใช้เพียงแค่ “บทสนทนา” และ “การแสดง” เป็นหลักเท่านั้น โดยแทบไม่ต้องพึ่งพาองค์ประกอบอื่นใดอีกเลย

2.หนังเล่าเรื่องของรัก 4 เส้า ระหว่างหญิงหนึ่งคน (Marina Hands) กับชายอีกสามคน คนหนึ่งเป็นสามีของเธอ อีกคนเป็นชู้รัก (Eric Ruf) เป็นชายหนุ่มที่เธอพยายามตามจีบจนได้เขามาเป็นชู้ในที่สุด ส่วนคนที่สามเป็นชายอ้วนที่ดูเหมือนชอบเธอมานานแล้ว และได้เธอไปในองก์ที่สาม

3.บทสนทนาของตัวละครในหนังเรื่องนี้ก็น่าสนใจมาก มันดูเหมือนไม่ใช่สิ่งที่คนจะพูดกันจริงๆ มันไม่ได้เหมือนบทละครของ Marivaux ใน THE FALSE SERVANT ที่ดูใกล้เคียงกับคนพูดกันจริงๆ หรือแม้แต่บทละครของเชคสเปียร์ ก็ดูเหมือนคนพูดกันจริงๆมากกว่าในหนังเรื่องนี้

ส่วนบทสนทนาของตัวละครในหนังเรื่องนี้ มันดูเหมือนเป็นการพร่ำรำพันความในใจออกมา มันดูเหมือนมีลักษณะของ Marguerite Duras อยู่ด้วย นั่นก็คือมีความเหวอๆ เหนือจริงอยู่ด้วย มันดูเหมือนเป็นการสื่อสารทั้งทางปากและทางโทรจิตไปด้วยในขณะเดียวกัน เพราะคนจริงๆโดยทั่วไปไม่น่าจะพูดความในใจกันออกมามากขนาดนี้

แต่พอดูไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มรับวิธีการสื่อสารกันของตัวละครในหนังเรื่องนี้ได้มากขึ้นนะ คือช่วงแรกเราจะรู้สึกว่ามันเหนือจริงมาก แต่พอดูไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้สึกว่า นี่คงเป็นการสื่อสารกันจริงๆของตัวละครในมิติของหนังเรื่องนี้น่ะแหละ

4.การใช้ฉากก็น่าสนใจดี หนังเรื่องนี้ไม่ได้ใช้ฉากเป็นโรงละครเปล่าแบบ THE FALSE SERVANT, ไม่ได้ใช้ฉากเป็นเวทีโล่งแบบ DOGVILLE และไม่ได้ใช้ฉากที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องแบบ THE SCREEN ILLUSION (L’ILLUSION COMIQUE) (2010, Mathieu Amalric) แต่ใช้ฉากเป็นโรงงานร้าง ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องแบบตรงไปตรงมา แต่กลับออกมาดูดีและไม่ขัดกับอารมณ์ของเรื่องแต่อย่างใด

5.เนื้อเรื่องขององก์3 กระโดดไปไกลมาก เหมือนมี ellipsis ใหญ่มากเกิดขึ้นระหว่างองก์สองกับองก์สาม เหมือนองก์สองตัวละครเป็นชู้กันอยู่ดีๆ พอองก์สามก็กลายเป็นเหตุการณ์จลาจล/สังหารหมู่ชาวต่างชาติอะไรสักอย่างในเมืองจีนเลย

6.ดูช่วงแรกๆจะทึ่งกับ concept ของเรื่องมากนะ แต่พอดูจนถึงช่วงท้ายก็จะพบว่า มันอาจจะมีแค่ไอเดียเก๋ๆไอเดียเดียวนี่แหละ ไม่ได้มีไอเดียแปลกใหม่แพรวพราวอะไรมากมาย แต่แค่ไอเดียเดียวนี่ก็เจ๋งเป้งมากแล้ว


7.สรุปว่า Claude Mouriéras เป็นผู้กำกับที่น่าจับตามองมากๆ เราเคยดูหนังเรื่อง TELL ME I’M DREAMING (1998) ของเขา ซึ่งใช้ได้พอประมาณ และก็เคยดูเรื่อง EVERYTHING’S FINE, WE’RE LEAVING (2000) ของเขา ซึ่งดีงามมากๆ ชอบสุดๆ ส่วน PARTAGE DE MIDI นี้เราก็ชอบสุดๆเหมือนกัน

No comments: