Thai Films I saw on Tuesday, 19
July, 2016
1.Crack of Emptiness (ปริชมน สุมาลี, 2016, A+30)
เป็นหนึ่งในหนังหลายๆเรื่อง ในเทศกาลนี้ที่ตอนแรกเราจะช อบแค่ในระดับ A+25 เท่านั้น เพราะมันดูมีข้อบกพร่องที่เ ห็นได้ชัด หรือไม่ได้ทำให้อารมณ์เราพุ ่งปรี๊ดสุดขีดในขณะที่ได้ดู แต่พอเวลาผ่านไประยะนึง
เรากลับพบว่า “ความเป็นมนุษย์” ของตัวละครในหนังมันค้างคาอ ยู่ในใจเรามากๆ
เราก็เลยชอบมันสุดๆในระดับ A+30 และลืมข้อบกพร่องต่างๆในหนังเรื่องนี้ไป เลยเมื่อเวลาผ่านไป
ชอบที่หนังเรื่องนี้เหมือนถ ่ายทอดกิจวัตรประจำวันของนา งเอกไปเรื่อยๆ
อย่างเช่นการที่เธอไม่กินผั ก, การที่เธอวาดรูปสีดำ,
การกินคุกกี้กัญชา โดยหนังเหมือนเน้นไปที่ความ ขัดแย้งระหว่างเธอกับแม่
แต่แทนที่หนังจะพูดถึงแต่เร ื่องความขัดแย้งระหว่างนางเ อกกับแม่แบบหนังสั้นทั่วไป
หนังเรื่องนี้กลับนำเสนอกิจ วัตรประจำวันในด้านอื่นๆของ นางเอกด้วย
และเราว่าการทำแบบนี้มันทำใ ห้ตัวละครในหนังดูเป็นมนุษย ์ที่มีเลือดเนื้อชีวิตจิตวิ ญญาณจริงๆมากยิ่งขึ้น
เราว่าถ้าหากหลายๆฉากในหนัง เรื่องนี้ยืดความยาวออกเป็น 3
เท่า มันจะกลายเป็นหนังแบบ Teeranit Siangsanoh ได้ในทันที คือถ้าหากเป็น Teeranit หรือ Fred
Kelemen เขาอาจจะถ่ายนางเอกนั่งเฉยๆ เป็นเวลา 1 นาที แทนที่จะถ่ายนางเอกนั่งเฉยๆ เป็นเวลา 15 วินาทีแบบในหนังเรื่องนี้
อีกสาเหตุที่ทำให้ชอบ CRACKS OF EMPTINESS แบบสุดๆเป็นเพราะว่า เรามักจะชอบหนังเกี่ยวกับ “เด็กสาวที่มีความขึ้งเคียด ในจิตใจ” แบบนี้อยู่แล้วด้วยแหละ
อย่างเช่นเรื่อง RESTLESS (2009, Laurent Perreau)
2.Demos (ดนยา จุฬพุฒิพงษ์, 2016, A+30)
ชอบมากกว่า NIGHTWATCH (2014) ของดนยา ชอบตั้งแต่ฉากเปิดของหนังแล ้ว ที่เหมือนเราเห็นโขดหิน
ก่อนที่จะพบว่าจริงๆแล้วมัน เป็นจระเข้
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือว่ า
เราอยากรู้ว่าถ้าหากมีคนดูห นังที่ไม่ได้มีแนวคิดทางการ เมืองแบบเดียวกับเรา
และไม่รู้จักดนยามาก่อน เวลาที่เขามาดูหนังเรื่องนี ้
เขาจะตีความหนังไปในทิศทางใ ด
เราว่าหนังเรื่องนี้อาจจะเป ็นหนึ่งในหนังการเมืองของไท ยในช่วง
2-3 ปีที่ผ่านมา ที่เปิดกว้างให้ผู้ชมแต่ละค นสามารถตีความเข้าข้างตัวเอ งได้
เพราะหนังไม่ได้บอกทัศนคติข องผู้สร้างโดยตรง และมีความเป็นไปได้สูงที่ผู ้ชมบางคนอาจจะตีความหนังไปไ ปในทิศทางที่ตรงข้ามกันอย่า งสิ้นเชิง
หนังเรื่องนี้มีการนำเสนอสั ตว์เลื้อยคลานเยอะมาก
และมันทำให้นึกถึงพวกภาพวาด ของจิตรกรสลิ่มน่ะ คือจิตรกรสลิ่มหลายคนของไทย ชอบวาดภาพประนามนักการเมือง โดยใส่สัตว์เลื้อยคลานเข้าไ ปในภาพวาดเหล่านั้น
แต่สัตว์เลื้อยคลานในหนังเร ื่อง DEMOS
นี้มีความหมายเดียวกับสัตว์ เลื้อยคลานในภาพวาดของจิตรก รสลิ่มหรือเปล่า
อันนี้เราว่าผู้ชมแต่ละคนต้ องตีความด้วยตนเอง
ชอบ “การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์” ในหนังเรื่องนี้ด้วย
ส่วนหนังการเมืองไทยที่ “เปิดกว้างให้ผู้ชมแต่ละคนต ีความเข้าข้างตัวเอง” ได้นั้น นอกจาก DEMOS แล้ว เราก็นึกถึงหนังเรื่อง DREAMSCAPE
(2015, Wattanapume Laisuwanchai) และ ศิริรัตน์ 4856 (LAST
LIFE WITH THAI DEMOCRACY) ( 2016, Jiraphat Vinagupta)
3.Deadline (ปัญญา ผาสุกโกวิทสิริ/ชานนท์ ตรีเนตร/ไกรสิทธิ์ โภคสวัสดิ์/ธวัชพงศ์ ตั้งสัจจะพจน์, 2015, animation, A+25)
4.Dead Mask (ธฤต อึ้งประเสริฐภรณ์, 2016, A+15)
จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ด ีเท่าไหร่นะ
แต่มันเป็น genre หนังแนวที่เราชอบสุดๆน่ะ นั่นก็คือหนังแนวผู้หญิงบู๊ หรือแนว “สิงห์สาวนักสืบ” คือพล็อตของหนังเรื่องนี้เข ้าทางเรามากๆ
เพราะฉะนั้นถึงแม้ตัวหนังจร ิงๆอาจจะไม่ดี
แต่ขณะที่เราดูหนังเรื่องนี ้ เราก็มีความสุขมากๆ เพราะเราจะจินตนาการตลอดเวล าว่า
ถ้าหากเราสร้างหนังเรื่องนี ้เอง เราจะพัฒนามันไปในทิศทางใด
สรุปว่าเราสนับสนุนให้มีการ สร้างหนังแนวนี้ออกมาค่ะ
เพียงแต่ทำออกมาให้ดีกว่านี ้ เรารู้สึกว่าเราอยากดูหนังแ บบ SUKEBAN
DEKA (1987, Hideo Tanaka), THE HEROIC TRIO (1993, Johnnie To), NAKED WEAPON
(2002, Ching Siu-tung) และ SO CLOSE (2002, Corey Yuen) อีกมากๆ
5.Deadline (นครินทร์ รุ่งทองคำกุล, 2016, A+15)
เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่อ งจากมหาวิทยาลัยสยามที่เราไ ด้ดูในเทศกาลนี้
และเราก็ชอบมากๆ คือถ้าหากเราจำไม่ผิด หนังที่เราเคยดูจากมหาวิทยา ลัยนี้ในปีก่อนๆจะเป็นหนังเ ล่าเรื่องที่พล็อต
cliché มากๆ แต่หนังเรื่องนี้หันมาเล่าเ รื่องเล็กๆใกล้ตัว
และเราว่านี่เป็นการก้าวไปใ นทิศทางที่ถูกต้อง
คือหนังเรื่องนี้เล่าเรื่อง ของบริการไปรษณีย์ไทยที่ห่ว ยแตกมากๆจนทำให้สินค้าของผู ้ใช้บริการเสียหาย
และส่งผลให้พระเอกกับเพื่อน ๆต้องติด F ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิดน่ะ แต่ติด F เพราะความซวยที่เกิดจากความ สะเพร่าของการไปรษณีย์ไทย
ซึ่งเราว่าเรื่องแบบนี้มันจ ริง มันเป็นปัญหาใกล้ตัวในชีวิต ประจำวันที่หนังทั่วไปไม่ค่ อยหยิบยกมาพูดถึง
เราชอบหนังแบบนี้ มากกว่าหนัง crime drama หรือหนังโรแมนติกโง่ๆที่พล็ อตเรื่องซ้ำซากน่ะ
6.Foley (พิชญุตม์ พรมสุวรรณ์, 2015, A+15)
ชอบเรื่องราวการบันทึกเสียง ในหนังเรื่องนี้มากๆ
จริงๆแล้วเราว่าหนังเรื่องน ี้ดูเป็นธรรมชาติดี และน่ารักมากๆ
แต่ความโชคร้ายของมันก็คือว ่า พอดูแล้วเราก็อดนำมันไปเปรี ยบเทียบกับหนังนิเทศจุฬาเรื ่อง
SOMETHING NEVER RUN BACK (น้ำตกไม่ไหลย้อนกลับ) (2016,
Pisalsin Gorsanan, A+20) ไม่ได้น่ะ เพราะหนังเรื่องนั้นก็มีตัว ละครพระเอกนางเอกออกไปบันทึ กเสียงเหมือนกัน
และเราว่า SOMETHING NEVER RUN BACK ทรงพลังทางอารมณ์มากกว่า
เราว่า FOLEY เหมือนถ่ายทอดความโรแมนติกอ อกมาได้แค่ในระดับ
“ปานกลาง” ด้วยนะ
คือดูแล้วเราก็แอบนึกถึงหนั งของ ICT ศิลปากรด้วยเหมือนกัน
เพราะหนัง ICT บางทีมันจะมีตัวละครพระเอกน างเอกคล้ายๆแบบนี้
แต่มันจะมีการถ่ายทอดความรู ้สึก intimate และความโรแมนติกออกมาได้ดีก ว่า
7.First of the Year (Equinox) - Skrillex [UNOFFICIAL] (ปิยมณฑ์ ค้าสม, 2016, A+15)
8.Footstep (พณิดา รัตรสาร, 2016, animation, A+15)
9.คำบอกลาจากสามปีก่อน | Congratulations to Me (ศุภาพิชญ์ จิรัตติกานนท์, 2016, A+15)
10.Footwork (สรารักษ์ กิจสวัสดิ์, 2016, documentary, A+10)
11.Fathophobia พ่อจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ ดขาด
(จิตราพร กาญจนศุภศักดิ์, 2016, A+)
12.Fix (อนวรรษ พรมแจ้, 2015, A+)
13.Dream Catcher (วิทวิน โค้วเจริญ, 2016, A)
อยากให้ดัดแปลงหนังเรื่องนี ้เป็นหนังเกย์ไปเลย
เพราะหนังเรื่องนี้มีเนื้อห าเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่อยาก เรียนหนังสือ
แต่ต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองด ้วยการทำงานเป็นแคชเชียร์ร้ านสะดวกซื้อจนไม่มีเวลาท่อง ตำราเรียน
ชีวิตหนุ่มน้อยคนนี้ลำบากมา ก แต่ต่อมาเขาก็ได้รับการอุปก าระจากผู้ชายคนนึงที่มาซื้อ ของที่ร้าน
จนในที่สุดเขาก็ได้เรียนมหา ลัยและจบออกมาเป็นแพทย์
หนังไม่ได้บอกว่าผู้ชายคนที ่มาอุปการะเลี้ยงดูเขาเป็นเ กย์หรือเปล่า
แต่มันน่าสงสัยมากๆ และมันคงจะดีมากๆถ้าหากดัดแ ปลงหนังเรื่องนี้เป็นหนังเก ย์ไปเลย
หรือมีการจัดตั้งมูลนิธิ “เกย์ให้ทุนการศึกษา” อะไรแบบนี้ขึ้นมา 555
14.Dirty n Beautiful (Sirawich Pukuka, 2015, documentary, A-)
ดูแล้วนึกถึงหนังของ Teeranit Siangsanoh มากๆ ในแง่การดูไม่รู้เรื่อง, การผสมสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน โดยไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันยั งไง
และการคว้าจับบรรยากาศ แต่เหมือนเรายังจูนตัวเองให ้เข้ากับหนังไม่ได้น่ะ
ตอนดูจะแอบสงสัยด้วยนะว่า จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้มันล ้อเลียนหนังอาร์ทหรือเปล่า 555
15.Found (ภูมิรพี ไทยสีหราช, 2016, A-)
1.Crack of Emptiness (ปริชมน สุมาลี, 2016, A+30)
เป็นหนึ่งในหนังหลายๆเรื่อง
ชอบที่หนังเรื่องนี้เหมือนถ
เราว่าถ้าหากหลายๆฉากในหนัง
อีกสาเหตุที่ทำให้ชอบ CRACKS OF EMPTINESS แบบสุดๆเป็นเพราะว่า เรามักจะชอบหนังเกี่ยวกับ “เด็กสาวที่มีความขึ้งเคียด
2.Demos (ดนยา จุฬพุฒิพงษ์, 2016, A+30)
ชอบมากกว่า NIGHTWATCH (2014) ของดนยา ชอบตั้งแต่ฉากเปิดของหนังแล
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือว่
เราว่าหนังเรื่องนี้อาจจะเป
หนังเรื่องนี้มีการนำเสนอสั
แต่สัตว์เลื้อยคลานในหนังเร
ชอบ “การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์”
ส่วนหนังการเมืองไทยที่ “เปิดกว้างให้ผู้ชมแต่ละคนต
3.Deadline (ปัญญา ผาสุกโกวิทสิริ/ชานนท์ ตรีเนตร/ไกรสิทธิ์ โภคสวัสดิ์/ธวัชพงศ์ ตั้งสัจจะพจน์, 2015, animation, A+25)
4.Dead Mask (ธฤต อึ้งประเสริฐภรณ์, 2016, A+15)
จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ด
เพราะฉะนั้นถึงแม้ตัวหนังจร
สรุปว่าเราสนับสนุนให้มีการ
5.Deadline (นครินทร์ รุ่งทองคำกุล, 2016, A+15)
เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่อ
คือหนังเรื่องนี้เล่าเรื่อง
เราชอบหนังแบบนี้ มากกว่าหนัง crime drama หรือหนังโรแมนติกโง่ๆที่พล็
6.Foley (พิชญุตม์ พรมสุวรรณ์, 2015, A+15)
ชอบเรื่องราวการบันทึกเสียง
เราว่า FOLEY เหมือนถ่ายทอดความโรแมนติกอ
7.First of the Year (Equinox) - Skrillex [UNOFFICIAL] (ปิยมณฑ์ ค้าสม, 2016, A+15)
8.Footstep (พณิดา รัตรสาร, 2016, animation, A+15)
9.คำบอกลาจากสามปีก่อน | Congratulations to Me (ศุภาพิชญ์ จิรัตติกานนท์, 2016, A+15)
10.Footwork (สรารักษ์ กิจสวัสดิ์, 2016, documentary, A+10)
11.Fathophobia พ่อจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็
12.Fix (อนวรรษ พรมแจ้, 2015, A+)
13.Dream Catcher (วิทวิน โค้วเจริญ, 2016, A)
อยากให้ดัดแปลงหนังเรื่องนี
หนังไม่ได้บอกว่าผู้ชายคนที
14.Dirty n Beautiful (Sirawich Pukuka, 2015, documentary, A-)
ดูแล้วนึกถึงหนังของ Teeranit Siangsanoh มากๆ ในแง่การดูไม่รู้เรื่อง, การผสมสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน
ตอนดูจะแอบสงสัยด้วยนะว่า จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้มันล
15.Found (ภูมิรพี ไทยสีหราช, 2016, A-)
No comments:
Post a Comment