WHEN THE SUN GOES DOWN (2016, Nichapat Sarapan, 31min, A+30)
ขอให้เราพบกันเมื่อตะวันแดง
1.เราไม่ได้อ่านเรื่องย่อก่อนที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้
เพราะฉะนั้นตอนที่ดู เราก็เลยไม่แน่ใจว่า
ผู้ชายในเรื่องเป็นพ่อนางเอกจริงๆหรือเปล่า หรือนางเอกเป็นบ้าไปเอง
หรือพ่อนางเอกตายไปแล้ว หรือว่าอะไรกันแน่
2.จริงๆแล้วตอนที่ดู เราจะไม่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันทรงพลังหรือมันสนุกหรือซาบซึ้งนะ
คือรู้สึกว่ามันดีในระดับนึงน่ะ
แต่มันไม่ใช่หนังประเภทที่ก่อให้เกิดอารมณ์รุนแรงในขณะที่ได้ดู
3.แต่สาเหตุที่ชอบสุดๆในระดับ A+30 เป็นเพราะว่า
ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้เข้าใจหนังเรื่องนี้อย่างแท้จริง แต่หนังเรื่องนี้มันทิ้งอะไรบางอย่างค้างคาในใจเราให้เรานำไปคิดต่อน่ะ
และเราก็คิดถึง “ความปลงตก” หลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้
คือเราไม่เข้าใจหรอกนะว่าหนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่ออะไร
แต่เราชอบที่ในที่สุดแล้ว นางเอกก็เลิกคิดที่จะติดต่อกับพ่อ และทิ้งดอกไม้ไปน่ะ
มันเหมือนกับว่านางเอกเคยพยายามจะยื้อทั้งสองอย่างเอาไว้ หรือเคยมองว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิต
ถ้าหากเราสามารถยึดกุมสองสิ่งนี้เอาไว้ได้ มันจะทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์มากขึ้น
มีความสุขมากขึ้น แต่ในที่สุดนางเอกก็ตัดสินใจทิ้งสองสิ่งนี้ออกไปจากชีวิต
เธอพบแล้วว่า ดอกไม้มันอาจจะทำให้เธอสุขใจ แต่ไม่ใช่สุขกาย และในบางครั้งเราก็ไม่สามารถเก็บทุกอย่างที่เราชอบเอาไว้ในชีวิตเราได้
เราจำเป็นต้องเลือกตัดบางอย่างทิ้งไปจากชีวิต เพราะถึงแม้ใจเราจะชอบมัน
การทิ้งมันไปจากชีวิตก็จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้ง่ายขึ้น หรือรอดชีวิตได้ต่อไป
ตัวละครพ่อในหนังเรื่องนี้ก็คล้ายๆกัน เราชอบที่นางเอกตัดใจจากพ่อได้
เธอพบแล้วว่าพ่อไม่จำเป็นกับชีวิตเธออีกต่อไป
เราว่าอะไรแบบนี้มันคือความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์นะ
ชีวิตคนเราหลายครั้งมันผูกพันกับบางสิ่งและบางคนมากเกินไปน่ะ
และในบางทีเราก็หลงนึกไปว่าถ้าหากขาดมันไปหรือถ้าหากขาดเขาไป เราต้องตายแน่ๆ
หรือเราต้องทุกข์ทรมานมากแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ถ้าหากเราปลงตก
ทำใจยอมรับคาวามเป็นจริงได้ เราอาจจะพบว่าถ้าหากเราตัดบางสิ่งที่เราชอบหรือบางคนออกไปจากชีวิตเรา
ชีวิตเราอาจจะมีความสุขมากขึ้นก็ได้
No comments:
Post a Comment