Saturday, August 13, 2016

WHEN THE SUN GOES DOWN (2016, Nichapat Sarapan, 31min, A+30)

WHEN THE SUN GOES DOWN (2016, Nichapat Sarapan, 31min, A+30)
ขอให้เราพบกันเมื่อตะวันแดง

1.เราไม่ได้อ่านเรื่องย่อก่อนที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นตอนที่ดู เราก็เลยไม่แน่ใจว่า ผู้ชายในเรื่องเป็นพ่อนางเอกจริงๆหรือเปล่า หรือนางเอกเป็นบ้าไปเอง หรือพ่อนางเอกตายไปแล้ว หรือว่าอะไรกันแน่

2.จริงๆแล้วตอนที่ดู เราจะไม่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันทรงพลังหรือมันสนุกหรือซาบซึ้งนะ คือรู้สึกว่ามันดีในระดับนึงน่ะ แต่มันไม่ใช่หนังประเภทที่ก่อให้เกิดอารมณ์รุนแรงในขณะที่ได้ดู

3.แต่สาเหตุที่ชอบสุดๆในระดับ A+30 เป็นเพราะว่า ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้เข้าใจหนังเรื่องนี้อย่างแท้จริง แต่หนังเรื่องนี้มันทิ้งอะไรบางอย่างค้างคาในใจเราให้เรานำไปคิดต่อน่ะ และเราก็คิดถึง “ความปลงตก” หลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้

คือเราไม่เข้าใจหรอกนะว่าหนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่ออะไร แต่เราชอบที่ในที่สุดแล้ว นางเอกก็เลิกคิดที่จะติดต่อกับพ่อ และทิ้งดอกไม้ไปน่ะ มันเหมือนกับว่านางเอกเคยพยายามจะยื้อทั้งสองอย่างเอาไว้ หรือเคยมองว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิต ถ้าหากเราสามารถยึดกุมสองสิ่งนี้เอาไว้ได้ มันจะทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์มากขึ้น มีความสุขมากขึ้น แต่ในที่สุดนางเอกก็ตัดสินใจทิ้งสองสิ่งนี้ออกไปจากชีวิต เธอพบแล้วว่า ดอกไม้มันอาจจะทำให้เธอสุขใจ แต่ไม่ใช่สุขกาย และในบางครั้งเราก็ไม่สามารถเก็บทุกอย่างที่เราชอบเอาไว้ในชีวิตเราได้ เราจำเป็นต้องเลือกตัดบางอย่างทิ้งไปจากชีวิต เพราะถึงแม้ใจเราจะชอบมัน การทิ้งมันไปจากชีวิตก็จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้ง่ายขึ้น หรือรอดชีวิตได้ต่อไป

ตัวละครพ่อในหนังเรื่องนี้ก็คล้ายๆกัน เราชอบที่นางเอกตัดใจจากพ่อได้ เธอพบแล้วว่าพ่อไม่จำเป็นกับชีวิตเธออีกต่อไป


เราว่าอะไรแบบนี้มันคือความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์นะ ชีวิตคนเราหลายครั้งมันผูกพันกับบางสิ่งและบางคนมากเกินไปน่ะ และในบางทีเราก็หลงนึกไปว่าถ้าหากขาดมันไปหรือถ้าหากขาดเขาไป เราต้องตายแน่ๆ หรือเราต้องทุกข์ทรมานมากแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ถ้าหากเราปลงตก ทำใจยอมรับคาวามเป็นจริงได้ เราอาจจะพบว่าถ้าหากเราตัดบางสิ่งที่เราชอบหรือบางคนออกไปจากชีวิตเรา ชีวิตเราอาจจะมีความสุขมากขึ้นก็ได้

No comments: