Monday, August 15, 2016

Thai Films I saw on Wednesday, 20 July, 2016

Thai Films I saw on Wednesday, 20 July, 2016

1.Isolate (ภาษิต พร้อมนำพล, 2016, A+30)

ชอบตัวละครที่มีเพื่อนในจินตนาการแบบนี้มากๆ เราเข้าใจตัวละครแบบนี้ดี เราชอบมากพอๆกับหนังเรื่อง ขอให้น้ำแข็งละลาย” LONG FOR (2014, Pawinee Sattawatsakul) ที่นำเสนอตัวละครแบบเดียวกั 

ชอบมากๆด้วยที่ ISOLATE ไม่ได้เก็บเอาเรื่อง เพื่อนในจินตนาการมาใช้เป็น twist หักมุม แต่บอกคนดูตั้งแต่ฉากแรกๆเลยว่าตัวละครตัวใดตัวหนึงในสองตัวนี้เป็นเพื่อนในจินตนาการ

2.If ถ้าวันตายของเรามาโดยไม่รู้ตัว (ธัญเทพ เอื้อวิทยา, 2016, A+30)

ชอบมากๆที่หนังเรื่องนี้เอาฟุตเตจของหนังรักนักศึกษาธรรมดาที่น่าเบื่อมากๆ มาดัดแปลงใหม่ให้กลายเป็นหนังไซไฟทริลเลอร์ เราว่าไอเดียนี้มันเจ๋งมากๆ ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง L’EXPERIENCE PREHISTORIQUE (2004, Christelle Lheureux) ที่สร้างหนังที่เล่าเรื่องไม่เหมือนกันประมาณ 10 เรื่อง ทั้งๆที่ 10 เรื่องนั้นใช้ภาพฟุตเตจเดียวกันหมด

3.Last Zombie (บวรลักษณ์ สมรูป, 2015, A+30)

ชอบมากๆที่มีหนังซอมบี้ที่ให้อารมณ์เหงาๆราวกับหนัง Wong Kar-wai คือก่อนหน้านี้เราเคยดูหนังซอมบี้แนวโรแมนติกมาแล้วเรื่อง I, ZOMBIE: THE CHRONICLE OF PAINS (1998, Andrew Parkinson) แต่อันนั้นยังเป็นหนังเล่าเรื่องแบบปกติ ในขณะที่ LAST ZOMBIE มีความเป็นหนังบรรยากาศอยู่ด้วย ซึ่งปกติแล้วเรามักจะเจอลักษณะแบบนี้ในหนังอาร์ทนิ่งช้า เราก็เลยชอบ LAST ZOMBIE มากๆที่มันมีการเอาลักษณะต่างๆที่ไม่น่าจะอยู่ในหนังซอมบี้มาใส่ในหนังซอมบี้

4.Last Year in a Refugee Camp (ดาโพ มรดกพนา, 2016, A+30)

หนังดีมากๆ แต่สาเหตุที่มันอยู่อันดับ 4 ของลิสท์นี้เป็นเพียงเพราะว่า เราเคยดูหนังดีๆในประเด็นคล้ายๆกันนี้มาแล้วหลายเรื่องในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาน่ะ เพราะฉะนั้นเราก็เลยเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่า ภาพความทรงจำที่อยู่ในหัวเราเกี่ยวกับเด็กในค่ายผู้อพยพ หรือเด็กๆชาวเขานั้น แต่ละภาพมันมาจากหนังเรื่องไหนที่เราได้ดูกันแน่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แต่เราก็เข้าใจนะว่า สาเหตุที่มันมีหนังคล้ายๆกันออกมาหลายเรื่อง มันเป็นเพราะว่าปัญหาพวกนี้มันไม่ได้รับการแก้ไขสักที ทั้งปัญหามากมายในทางกฎหมาย และปัญหาความยากจน ก็เลยเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่มันจะมีหนังที่เล่าเรื่องคล้ายๆกันออกมาหลายเรื่อง จนกว่าปัญหาเหล่านี้จะได้รับการแก้ไข

5.Last Film (กานต์ชนิต โพธิ์สวัสดิ์, 2016, A+30)

ชอบการผสมผสานสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันในหนังเรื่องนี้ ทั้งซีนที่ถ่ายเพื่อนๆในแบบที่คล้ายๆ video diary และการถ่ายหนุ่มรุ่นใหม่ให้ออกมาคล้ายๆอำพล ลำพูนในฟิล์มหนังยุค 1980

6.Hater Gonna Hate (ณัฐชยา พิจารณ์, 2016, A+30)

อันนี้ไม่ใช่หนังดี แต่เป็นหนังที่เราชอบสุดๆในแบบหนังคัลท์ มันเล่าเรื่องของหญิงสาวที่สามารถฆ่าคนได้ด้วยการเข้าฝันคนๆนั้น ซึ่งเราว่าไอเดียนี้มันเจ๋งสุดๆ และสามารถเอามาดัดแปลงเป็นหนังดีๆได้

7.Ghost Insurance (ธิดาทิพย์ แสนชาติ, 2015, A+30)

หนังส่งเสริมการทำประกันอุบัติเหตุที่ทำออกมาได้ฮามากๆ

8.Friday Doesn't Mean Fineday (ปริชมน จันทร์ศิริ, A+25)

ชอบที่หนังเรื่องนี้เหมือนจะแอบสอดแทรกประเด็นทางการเมืองเข้ามา และชอบที่หนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับกิจวัตรประจำวันต่างๆของนางเอก อย่างเช่นการเล่นกับแมว

9.Hi, Goodbye 2 (ศุภวิชญ์ อุตะมะ, 2016, A+25 )

หนึ่งในหนังที่ ถ่ายผู้ชายได้งดงามถึงอารมณ์ สาแก่ใจผู้ชมอย่างเรามากที่สุดในเทศกาลนี้

10.How to Preserve the Red Wine (ธีรพัฒน์ งาทอง, 2016, A+15)

อันนี้ก็อาจจะไม่ใช่หนังดี แต่ชอบมากเพราะหนังแบบนี้แหละมันคือรสชาติของการดูหนังในเทศกาลมาราธอน มันเหมือนเป็นหนังส่งครูภาษาอังกฤษที่ให้คนมาอ่านบทความเรื่องการเก็บไวน์แดงไปเรื่อยๆ มันเหมือนเป็นหนังสารคดีให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาที่ไว้เปิดในโรงเรียนหรือในรายการสำหรับเด็ก ซึ่งแน่นอนว่า หนังแบบนี้นี่แหละมันคือหนังที่แตกต่างไปจากหนังทั่วไปที่เราได้ดูในโรงใหญ่

อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่ HOW TO PRESERVE THE RED WINE ไม่มีลูกเล่นแพรวพราวแบบหนังเก่าๆของธีรพัฒน์ อย่างเช่นเรื่อง สามัคคีเภทคำฉาลที่เป็น หนังการศึกษาเหมือนกัน แต่ธีรพัฒน์ทำสามัคคีเภทคำฉาลออกมาได้ดีงามมากๆ ราวกับกำกับโดย Jean-Marie Straub

11.In-between (กันต์ชลี วิจักษณ์ไพศาล, 2015, A+25)

หนังเกี่ยวกับโลกหลังความตายที่ซึ้งมากๆ ดูแล้วนึกถึงบรรยากาศที่เราชอบมากในหนังเรื่อง ALWAYS (1989, Steven Spielberg) ที่พูดถึงโลกหลังความตายเหมือนกัน

12.JoB (ฉัตรพล ประสพโชคชัย, 2016, A+25)

ตอนช่วงแรกๆรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้โสมาก มันต้องเป็นหนังตลกที่เราเกลียดมากแน่ๆ แต่ไปๆมาๆเรากลับชอบมากที่หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นลูกค้าเรื่องมาก ทั้งลูกค้างานกราฟฟิก และลูกค้าร้านอาหารที่สั่งกับข้าวพร้อมด้วยรายละเอียดยิบย่อยมากมาย เพราะเราก็มักรำคาญคนเรื่องมากแบบนี้เหมือนกัน

หนังเรื่องนี้ยังเป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ได้รับอิทธิพลจาก FREELANCE (2015, Nawapol Thamrongrattanarit) ด้วย และเราว่ามันน่าสนใจดี ที่ MARY IS HAPPY, MARY IS HAPPY (2013, Nawapol Thamrongrattanarit) ส่งอิทธิพลต่อหนังสั้นราว 50 เรื่อง แต่ THE MASTER (2014, Nawapol Thamrongrattanarit) กับ FREELANCE กลับส่งอิทธิพลต่อหนังสั้นน้อยมากๆ

13.Ghost (วรพจน์ อินเหลา, 2016, A+20, documentary)

เป็นหนัง essay film ที่น่าสนใจมาก หนังถ่ายทอดปัญหาการถางป่าเพื่อปลูกข้าวโพดในภาคเหนือของไทย แต่แทนที่หนังจะทำตัวเป็นหนัง activist NGO อย่างตรงไปตรงมา หนังกลับใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบ fiction เข้ามาผสมอย่างพิสดารด้วย

14.HOT and COLD (พัชรดา กันยามา, 2015,A+15)

หนังคัลท์ที่ฮามากๆ แน่นอนว่าเราไม่เห็นด้วยกับทัศนคติการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยในหนังเรื่องนี้ แต่ความฮาของมันทำให้เราให้อภัยได้

15.Ghost Town เมืองร้างและซากปรัก (เปรมปพันธ ผลิตผลการพิมพ์, 2015, A+15)

ถ้าหนังยาวกว่านี้ มันอาจได้ A+30 ไปแล้ว

16.Idiotic (จินต์จุฑา คงปรัชญา, 2015, A+15)

17.Human (การันตร์ วงศ์ปราการสันติ, 2015, A+10)

เป็นไอเดียหนังไซไฟที่น่าสนใจมากๆ เกี่ยวกับหุ่นยนต์รับจ้างตั้งครรภ์ที่เกิดผูกพันกับเด็กในท้องของตนเอง หนังตั้งคำถามเรื่อง ความเป็นมนุษย์ที่น่าสนใจดี แต่เหมือนมันน่าสนใจแค่ไอเดียของเรื่องน่ะ แต่มันยังขาดเนื้อเรื่องหรือองค์ประกอบอื่นๆที่จะทำให้หนังเรื่องนี้ดูสนุกขึ้นมาได้

18.Happy to Be Child (ศศิเพ็ญพัฒน์ ศาตะมาน/นัทธมน เจริญปัญญาวุฒิ, 2016, A+10)

19.Heart of Sword (ปฏิภาณ บุณฑริก, 2016, A+10)

20.Late (เมธาวี สีทองเพีย, 2016, A+5)

นึกว่าปีนี้จะไม่มีหนังผีห้องน้ำซะแล้ว คือทุกปีในเทศกาลหนังมาราธอนมันจะต้องมีหนังผีห้องน้ำ และนี่ก็คือหนึ่งในหนังผีห้องน้ำไม่กี่เรื่องในปีนี้

21.Leaves (เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์, 2016, A+ )

จริงๆแล้วมันมีองค์ประกอบแบบหนัง Jonas Mekas เลยนะ นั่นก็คือการเรียงร้อยภาพชีวิตต่างๆเข้าด้วยกัน แต่เราว่าหนังเรื่องนี้ขาดความเป็นกวีแบบหนังของ Jonas Mekas น่ะ ภาพต่างๆในหนังเรื่องนี้เลยเหมือนเอามาต่อๆกันโดยไม่ได้ทำให้เรารู้สึกงดงามมากนัก

22.-ism (ศุภกร เสริมทรัพย์, 2016, A+)

23.Hanged Shop (จักรพันธ์ ศรีวิชัย, 2015, A+)

ชอบภาพ ชอบบรรยากาศในหนังเรื่องนี้ แต่รู้สึกว่าหนังพร่ำสอนมากเกินไป คือเรารู้อยู่แล้วล่ะว่าคนเราควรใส่ใจซึ่งกันและกัน เพื่อจะได้ไม่ต้องมีการฆ่าตัวตาย มันเป็นสิ่งที่รู้ๆกันดีอยู่แล้ว

24.Just (ชัยภัทร ลูกบัว, 2015, A)

ประเด็นของหนังเรื่องการเผยแพร่ข้อสอบเป็นประเด็นที่สร้าง dilemma ได้ดีมาก แต่หนังให้อารมณ์เมโลดราม่ามากเกินไป จริงๆแล้วเราอยากให้หนังเรื่องนี้เป็นหนัง feel bad นิ่งๆแบบ Michael Haneke ไปเลย หรือไม่ก็ออกมาในแบบหนังของ Chantana Tiprachart อย่างเรื่อง STATUS น่าจะดีกว่า เราว่าอารมณ์เมโลดราม่าไม่เข้ากับหนังเรื่องนี้

ชอบการเล่นคำว่า JUST ในหนังเรื่องนี้ด้วย เพราะคำว่า JUST ในหนังเรื่องนี้เป็นได้ทั้ง ความยุติธรรมและ เพียงแค่

25.Let It Be (กันทิมา จันทร์มณี, 2016, A) 

26.INTERNe (ภาคิม พูลผล, 2016, A)

27.Leave It Here (Repeat) (ศิวัช วิสุทธิรังษีอุไร, 2016, 44seconds, B+)

งงมาก มันคืออะไรคะ มันสั้นมากค่ะ

28.Gone (ดิษศธร วรรทนธีรัช, 2016, animation, B+)

29.ICU (ณัชพิมพ์ ศุภนิมิตตระกูล, 2015, B+)




No comments: