Wednesday, August 24, 2016

Thai Films I saw on Saturday, July 23, 2016

Thai Films I saw on Saturday, July 23, 2016

1.There’s Nothing in the Beginning (พัฒนพล สุธาพร, 2016, A+30)

ติดอันดับประจำปีนี้แน่นอน เผลอๆติดอันดับหนึ่งหนังสั้fiction ที่ชอบที่สุดในปีนี่ ดูแล้วรู้สึกว่ามันงดงามสุดๆ และรู้สึกว่ามันมีความเป็นกวีในแบบที่จูนติดกับเราพอดี

เราว่าหนังเรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกถึงความว่างโหวงในจิตวิญญาณของตัวละครในแบบที่คล้ายกับหนังอย่าง LA NOTTE (1961) และ THE ECLIPSE (1962) ของ Michelangelo Antonioni คือพระเอกหนังเรื่องนี้เป็นหนุ่มหล่อ, รวย, แวดล้อมด้วยเพื่อนรวยๆเก๋ๆ และได้มีอะไรกับสาวที่ตัวเองชอบ แต่มันก็ดูเหมือนมีความว่างโหวงบางอย่างในจิตวิญญาณของเขา ซึ่งจริงๆแล้วเราอาจจะจินตนาการไปเอง มันอาจจะไม่ได้เป็นความตั้งใจของผู้กำกับก็ได้

คือจริงๆแล้วเราว่าหนังเรื่องนี้, หนังหลายๆเรื่องของ Natchanon Vana, หนังเรื่อง AMSTERDAM (2016, Dith Tanasetvilai + Muangthai Jirawongnirandon), BANGKOK TAXI (2016, Pisuth Penkul), 606 (2016, Peerapat Uepunrungsri) และ BUA (2016, Nattapol Pawangthut, A+30) มันมีจุดร่วมบางอย่างที่เราชอบมากนะ นั่นก็คือการถ่ายทอดความรู้สึกข้างในตัวละครออกมาได้อย่างรุนแรงผ่านทางบรรยากาศสวยเศร้าหลอนน่ะ และเรารู้สึกว่ามันมีความเป็น poetic อยู่ในหนังกลุ่มนี้ด้วย คือในขณะที่ผู้กำกับหนังส่วนใหญ่จะเน้น เนื้อเรื่องเราว่าผู้กำกับกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับ บรรยากาศมากๆ และสร้างบรรยากาศในหนังของตัวเองได้อย่างทรงพลังสุดๆ และบรรยากาศของหนังก็สะท้อนจิตวิญญาณ, อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้อย่างรุนแรงเช่นกัน

เราว่าผู้กำกับหนังกลุ่มนี้น่าสนใจมากๆทีเดียว เราขอปวารณาตัวเป็นแฟนผลงานของผู้กำกับกลุ่มนี้ค่ะ และหวังว่าพวกเขาจะสร้างหนังใหม่ๆออกมาอีก

2.The Dream (ชลธี สวนรักษา, 2016, A+30)

เป็นหนังย้อนเวลาที่คิดพล็อตออกมาได้ดีมากๆ

3.Time Out of Mind (สิทธิวัชร์ ทิพย์ธนโอฬาร, 2016, A+30)

เป็นหนังย้อนเวลาที่คิดพล็อตออกมาได้ดีมากๆ เช่นเดียวกัน

4.The Emerald Ignites (รัชชัย เขียวงามดี, 2016, A+30)

อยากให้มันพัฒนาไปกลายเป็นละครทีวีแบบ SUKEBAN DEKA หรือ สิงห์สาวนักสืบที่ตัวเอกต้องไปสืบคดีพิศวงในโรงเรียนมัธยมต่างๆ และต้องรับมือกับผู้ร้ายที่มีอิทธิฤทธิ์แตกต่างกันไปในแต่ละตอน

5.THE MYTH OF LIBERTY (2016, Theeraphat Ngathong, A+30)

6.The Rebirth (ธีรยุทธ์ วีระคำ, 2015, documentary, A+30)

7.The River (กฤตธี สังข์ฉาย, 2016, documentary, A+25 )
เราไม่เคยรู้ประเด็นขัดแย้งเรื่องนี้มาก่อนเลย เราก็เลยชอบมากที่หนังเรื่องนี้พูดถึงปัญหาสังคมที่เราไม่เคยรู้มาก่อน

8.The Room (การันตร์ วงศ์ปราการสันติ, 2015, A+25)

ชอบมากที่หนังเรื่องนี้หยิบเอาปัญหาเล็กๆขึ้นมาและทำให้มันเป็นเรื่องที่รุนแรงได้ คือปัญหามันเริ่มต้นจากเรื่องที่ดูเหมือนขี้ปะติ๋วมากๆ คือเรื่องจะวางทีวีไว้ตรงไหนในห้องนอน แต่มันก็ลุกลามไปกลายเป็นอะไรที่รุนแรงในที่สุด

มันทำให้เรานึกถึงธรรมชาติของอารมณ์โกรธ โทสะ ความขุ่นแค้น ขัดเคืองไม่พอใจของมนุษย์น่ะ ซึ่งหลายๆครั้งมันเป็นแบบนี้ มันเริ่มจากอะไรเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าหากเราไม่รีบดับอารมณ์โกรธในใจเรา มันก็จะไปสะกิดเอาความขุ่นหมองบางอย่างในใจที่หมักหมมไว้นานแล้ว และกลายเป็นระเบิดทางอารมณ์ขึ้นมาได้

9.The Cycle of Pim (บวรลักษณ์ สมรูป, 2016, A+20)

ชอบที่หนังสะท้อน อคติต่างๆในใจคนออกมาได้ดี

10.คำหวาน | Turn around Day (อภิสิทธิ์ ว่องไวตระการ, 2015, A+20)

11.Time เวลาที่หายไป (อนวรรษ พรมแจ้, 2015, A+15)

12.ก้อนหินหลังบ้าน | The Richness Stone (สุกฤษฎิ์ วัฒนาพงษากุล, 2016, A+15)

13.The Hustle Filmmaker (กันตพล ดวงดี, 2015, A+15)

14.The Radio (ณัฏฐ์ธร กังวาลไกล, 2016, A+15)

15.The World May Never Know (โตคิณ ทีฆานันท์, 2015, A+10)

16.The Forward Letters จดหมายลูกโซ่ (ณิชากร พิพัฒน์ผดุงศิลป์, 2015, A+10)

17.They Gave Me the Fish Eyes (ณัฐพล เนตรณรงค์, 2016, A+5)

18.Truth…ที่จริงกว่า (ณัฐพล กลิ่นอุบล, 2016, A+)

19.The Leader ช้างหนี ชะนีล้ม (Kanyawee Onsalung, 2015, A)
จริงๆแล้วมันอาจจะเป็นหนังที่ดีมากก็ได้นะ แต่เราดูแล้วตีความมันไม่ออกน่ะ ก็เลยงงๆ

20.The Way ทางเลือก (สิรภพ ขันธศักดิ์, 2016, A)

21.Throw (กิตติธัช แซ่อุ่ย, 2016, A)

22.Trash จิต(กึ่ง)สำนึก (กุลธิดา ประจำที่, 2016, A)

23.The Orbit..เพราะเธอคือคนที่ใช่ (พาทิศ หริจันทนะวงศ์, 2016, A)

24.The Illusion (ทัศน์พล เดชวัฒนสิริกุล, 2015, A-)

25.The Hope (รพีศิลป์ รัตนบ้านกรวย, 2016, A-)

No comments: