ขอบพระคุณมูลนิธิหนังไทยมาก ๆที่จัดงานฉายหนังในโปรแกรม JIT’S WISH LIST มันคือ “ฝันที่เป็นจริง” สำหรับผมมากๆครับที่ได้ดูหน ังในโปรแกรมเหล่านี้อีกครั้ ง
เพราะมันเป็นหนังที่ผมชอบสุ ดๆเมื่อได้ดูเมื่อ 15-20 ปีก่อน
แต่ไม่มีโอกาสได้ดูหนังเหล่ านี้อีกเลย และไม่รู้ว่าจะหาดูได้อย่าง ไรอีกด้วย
เพราะผมไม่รู้จักผู้กำกับหน ัง 7 เรื่องนี้เป็นการส่วนตัว
ยกเว้นคุณมานัสศักดิ์ ดอกไม้ แต่คุณมานัสศักดิ์ก็ไม่มีหน ังเรื่อง “มารเกาะกุมนครหลวง” เก็บไว้กับตัวเอง (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด) เพราะฉะนั้นหนัง 7 เรื่องนี้ก็เลยเป็นอะไรที่ฝ ังใจผมมาตลอดในช่วง 15-20 ปีที่ผ่านมา เพราะมันเป็นหนังที่เราอยาก ดูอีกรอบ แต่ไม่มีโอกาสได้ดู
และมันก็เป็นหนังที่แทบไม่ม ีคนพูดถึงเลยด้วย
ขอบพระคุณผู้ชมทุกท่านมากๆค รับที่มาดูหนังในโปรแกรม
JIT’S WISH LIST ในวันอาทิตย์ ถ้าหากท่านเกลียดหนังเรื่อง ไหน
ก็เขียนถึงได้ตามสบายนะครับ เพราะผมไม่ใช่ผู้กำกับหนังเ รื่องนั้น 555
และผมคัดเลือกหนังตาม “รสนิยมส่วนตัว” ของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งย่อมไม่ตรงกับคนอื่นๆ อย่างแน่นอน ผมไม่ได้ยึด “มาตรฐานสากล” ใดๆทั้งสิ้นในการคัดเลือกหน ังในโปรแกรม
เพราะผมไม่ได้ไปดูหนังแต่ละ เรื่องเพื่อดูว่า “หนังเรื่องนั้นผ่านมาตรฐาน สากลทางศิลปะภาพยนตร์หรือไม ่”
ผมไปดูหนังเพื่อดูว่าหนังเร ื่องนั้นจะให้ความสุขแก่ผมไ ด้หรือไม่
เพราะฉะนั้นพอผมต้องเลือกหน ังในโปรแกรม ผมก็คัดเลือกตามเกณฑ์นี้ด้ว ยเช่นกัน
นั่นก็คือว่า มันเป็นหนังที่ให้ความสุขสุ ดๆกับผมเป็นการส่วนตัว
ส่วนเรื่องที่ว่ามันจะผ่านม าตรฐานสากลทางศิลปะภาพยนตร์ หรือมาตรฐานใดๆหรือไม่นั้น
ผมไม่เคยแคร์ เพราะผมไม่ได้มีชีวิตอยู่เพ ื่อดู “หนังที่ผ่านมาตรฐานสากล”
ผมมีชีวิตอยู่เพื่อดู “หนังที่ให้ความสุขแก่ผม”
555
พอได้ดูหนังในโปรแกรมนี้ ก็เลยทำให้รู้สึกว่า จริงๆแล้วรสนิยมของตัวเองอา จจะเปลี่ยนแปลงไปน้อยมากในช ่วง
20 ปีที่ผ่านมา แต่ “หนังที่ตอบสนองรสนิยมของตั วผมเอง”
มีเพิ่มขึ้นเยอะ เพราะพอดู SIAM SQUARE (1998, Chararai
Sutthibutr) แล้วก็พบว่า มันมีความคล้ายคลึงกับหนังข องคุณ Teeranit
Siangsanoh มากๆ (ถ้าตัดพฤติกรรมของตัวละครใ นตอนจบของ SIAM
SQUARE ออกไป) เพราะฉะนั้นหนังอย่าง SIAM SQUARE ที่เคยเป็นสิ่งที่หายากมากๆ ในวงการหนังไทยในช่วงปลายทศ วรรษ 1990
ก็ไม่ใช่ของที่หายากแล้วในย ุคปัจจุบัน
ความกระหายอยากหนังประเภทนี ้ของผมที่แทบไม่เคยได้รับกา ร satisfied
เมื่อ 20 ปีก่อน ก็ได้รับการตอบสนองแล้วในยุ คปัจจุบันด้วยหนังหลายสิบเร ื่องของคุณ
Teeranit Siangsanoh และ The Underground Office
ส่วนหนังเรื่อง “มหานคร: สังหารหมู่” (2001, Montree Saelo) ก็ทำให้ผมรู้สึกคล้ายๆกัน ผมชอบมากที่หนังเรื่องนี้ถ่ ายทอดความสุขของการไปเที่ยว กับเพื่อนๆ
ออกมาอย่างซื่อตรง โดยไม่ต้องสร้าง conflict ไม่ต้องสร้างเนื้อเรื่องอะไ รให้มันวุ่นวายโดยไม่จำเป็น ซึ่งหนังแบบนี้ก็เคยเป็นสิ่ งที่หายากมากๆในวงการหนังไท ยเมื่อ 15
ปีก่อนเช่นกัน แต่หลังจากนั้นก็มีคนทำหนัง แบบนี้ออกมาบ้างเป็นครั้งคร าว
อย่างเช่นเรื่อง “วังยืนหาบ” (2008, Sompong Soda) ที่บันทึกภาพผู้ชายกลุ่มหนึ ่งไปเที่ยวน้ำตก,ลำธารตลอดค วามยาวราว
30-40 นาทีของหนัง, หนังเรื่อง WALK
TO PHUKET (2010, Tanaporn Sae-low) ที่บันทึกภาพชายหนุ่มสองคนไ ปเที่ยวภูเก็ต
(ถ้าจำไม่ผิด), IN TRAIN (2011, Boripat Plaikaew, 83min) ที่บันทึกภาพการเดินทางของเ กย์กลุ่มหนึ่ง
และ TEN YEARS (2014, Chawagarn Amsomkid) ที่บันทึกภาพการไปเที่ยวต่า งจังหวัดกับเพื่อนๆได้น่าเบ ื่อมาก
แต่พอเจอ monologue ที่บ้าคลั่งมากในช่วง 20 นาทีสุดท้ายของหนัง เราก็ให้อภัยหนังเรื่องนี้ไ ด้ในทันที
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็มีผู้กำกับอย่างคุณ Theeraphat Ngathong และเพื่อนๆของเขา ที่ทำหนังแบบนี้ออกมาหลายเร ื่องด้วย อย่างเช่นเรื่อง ALL OF US: PART
8 MEDICAL ENTRANCE EXAMS AT RATCHABURI (2014, Theeraphat Ngathong) และ MY PRANBURI CAMP (2012, Thossaporn Khamenkit) ที่บันทึกภาพการไปเที่ยวกับ เพื่อนๆ
ซึ่งเป็นหนังที่ผมชอบในระดั บปานกลาง แต่หนังที่ผมชอบมากที่สุดใน กลุ่มนี้ของคุณ
Theeraphat คือเรื่อง “เมื่อเราลอบผ่านปราการสวรร ค์และถูกผู้พิทักษ์ไล่ล่า”
(WHEN WE SNEAKED THROUGH THE HEAVEN FORTRESS AND WERE CHASED BY THE GUARDIAN) ที่บันทึกภาพความสุขขณะเล่น ที่สระน้ำกับเพื่อนๆ
เพราะฉะนั้น พอผมได้ดู SIAM SQUARE กับ มหานคร:สังหารหมู่ ผมก็เลยตระหนักว่า จริงๆแล้วรสนิยมในการดูหนัง ของผมอาจจะเปลี่ยนแปลงไปน้อ ยมากในช่วง 20
ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือก ารที่เมืองไทยมีผู้กำกับหนั งอย่าง
Teeranit Siangsanoh และ Theeraphat Ngathong ถือกำเนิดขึ้นมา และทำให้หนังไทยกลุ่มที่เคย หายากเมื่อ 15-20 ปีก่อน ไม่ใช่หนังไทยกลุ่มที่หายาก อีกต่อไป
ความรู้สึกอื่นๆที่มีต่อหนั งในโปรแกรม
JIT’S WISH LIST
1.SIAM SQUARE (1998, Chanarai Sutthibutr)
ในขณะที่ “สไตล์หนังที่ผมชอบ” แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยใ นช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
สิ่งที่เปลียนแปลงไปมากก็คื อความรู้สึกที่มีต่อตอนจบขอ งหนังเรื่องนี้
คือเมื่อ 18 ปีก่อน ผมไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ อะไรกับตอนจบของหนัง
แต่พอดูรอบนี้แล้วรู้สึกเหม ือนกับว่ามันมีอะไรบางอย่าง ไม่ถูกต้องในตอนจบ
ท่าทีที่ตัวละครในเรื่องทำก ับคนจนในตอนจบ มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วห รือไม่
ความตะขิดตะขวงใจที่มีต่อตอ นจบของหนังในการดูรอบนี้
บางทีมันแสดงให้เห็นว่าทัศน คติทางสังคมของเราเปลี่ยนแป ลงไปมากในช่วง 18
ปีที่ผ่านมา
2.TOUGH RULE…COOL KIDS (1999, Sriwattana Wedreungvit)
จำได้ว่าตอนดูรอบแรกในปี 1999 เราฟินมากๆกับการเห็นตัวละค รลุกขึ้นมาผัดกับข้าวในห้อง สอบ
และนั่งสมาธิใต้กลดในห้องสอ บ เราก็เลยอยากดูมันอีกรอบมาก ๆ
และพอได้ดูอีกรอบ เราก็รู้สึกฟินอีกครั้ง
อีกสิ่งที่ดีมากๆในหนังเรื่ องนี้
ก็คือการนำเสนอนิตยสาร HEAT MEN คือตอนที่ผมดูหนังเรื่องนี้ ในปี
1999 นิตยสารนี้ถือเป็น “ของธรรมดา”
แต่พอมาดูในยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคที่นิตยสารนี้หา ยสาบสูญไปนานมากแล้ว
หนังเรื่องนี้ก็เลยมีคุณค่า ในการช่วยบันทึกสิ่งที่หายส าบสูญไปแล้วด้วย
สำหรับเราแล้ว หนังเรื่องนี้กับ “เป็นเรื่อง 100%” และ HIGHWAY-SATOR ถือเป็นหนัง cult คือมันเป็นหนังบ้าๆบอๆที่อา จไม่มีคุณค่าทางศิลปะอะไร
แต่ความบ้าๆบอๆของมันตอบสนอ งผู้ชมบางคนได้ดีมากๆ หรือทำให้ผู้ชมบางคน
(อย่างน้อยก็เราหนึ่งคน) ที่คลั่งไคล้มันมากๆ
3.เป็นเรื่อง 100% (2000, ทวีลาภ แซ่อุ้ย)
ความ cult หรือความประสาทแดกของหนังเร ื่องนี้
มีบางจุดที่ทำให้นึกถึงหนัง cult ในยุคนั้นของคุณกุลชาติ จิตขจรวานิช
และหนัง cult ของกลุ่มยอดเซียนซักแห้ง แต่เราว่า “เป็นเรื่อง 100%” เข้าทางเรามากกว่าหนังของคุ ณกุลชาติและกลุ่มยอดเซียนซั กแห้งในแง่ที่ว่า
มันมีตัวละครหญิงที่เข้าทาง เรา หรือมันไม่ค่อย macho มากนัก
และอารมณ์ขันของ เป็นเรื่อง 100% ตรงกับอารมณ์ขันของเรามากกว ่า
เรื่อง sense of humour นี่มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวจร ิงๆ เพราะแต่ละคนจะหัวเราะกับสิ ่งที่ไม่เหมือนกัน
ผมเองโดยปกติแล้วก็ไม่ชอบหน ังตลก เพราะหนังที่คนอื่นว่าตลกกั น
หลายเรื่องมักไม่ทำให้ผมรู้ สึกตลก และหนังที่ผมรู้สึกตลกมากๆ
ก็อาจจะเป็นหนังที่หลายคนรั งเกียจ
สาเหตุหลักที่ทำให้ผมรู้สึก อยากดู
TROUBLE 100% อีกรอบอย่างมากๆ เพราะผมฝังใจกับฉาก “อาชญากรสาวโดนตบด้วยตีน” อย่างมากๆ คือฉาก “การตบด้วยตีน” นี่เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น มาก่อนในหนังยุคนั้นน่ะ
เพราะฉะนั้นพอผมได้ดูฉาก “อาชญากรสาวโดนตบด้วยตีน” ในหนังเรื่องนี้ในปี 2000 มันก็เลยเป็นอะไรที่ฟินมากๆ ฝังใจมากๆ และทำให้อยากดูอีก
อีกจุดที่ทำให้ TROUBLE 100% เข้าทางผมมากๆ เพราะผมมักจะชอบหนังที่มีตั วละครประกอบอิทธิฤทธิ์สูงหล ายๆตัว
(แบบหนังของ Pedro Almodovar) และหนังเรื่องนี้ก็เข้าทางผ มในจุดนี้
ทั้งตัวละคร “หนุ่มที่เอากางเกงในมาปิดห น้า”, “ขอทานที่พูดกับกล้องและตีล ังกาไปมา” และที่สำคัญที่สุดคือตัวละค ร
“สาวกระโดดสะพานลอย”
คือตัวละครสาวกระโดดสะพานลอ ยนี่คือตัวละครแบบที่ตรงกับ จินตนาการของผมเลยน่ะ
คือถ้าหากผมจะสร้างหนังสักเ รื่อง ตัวละครแบบนี้นี่แหละที่จะม ีชีวิตรอดอยู่ในหนังของผมได ้
สิ่งที่ผมประทับใจในตัวละคร สาวกระโดดสะพานลอย
ก็คือ
3.1 เธอเลือกกระโดดจากสะพานลอย แทนที่จะยอมให้อาชญากรสาวมา ขวางทางเธอ
3.2 เธอกระโดดจากสะพานลอย แต่เธอไม่ตาย
3.3 เธอไม่ตาย เพราะเธอกินเมนทอส
3.4 แต่เธอเป็นโรคบ้าผู้ชาย เธอมัวแต่มองชายหนุ่มในถนน จนหัวโขกเสา
3.5 เธอสื่อสารกับเพือนร่วมงาน/ เจ้านาย
เป็นตัวเลขฐานสอง 10110110111 อะไรประเภทนี้
แทนที่จะพูดเป็นภาษามนุษย์ (ถ้าเราเข้าใจไม่ผิดนะ)
แต่น่าเสียดาย ที่สำหรับเรานั้น TROUBLE 100% มันมาถึงจุดไคลแมกซ์ หรือมันมาพีคเอาช่วงกลางเรื ่อง
เมื่อตัวละครสาวกระโดดสะพาน ลอยปรากฏออกมาน่ะ แต่ครึ่งเรื่องหลัง
หนังมันพยายามจะทำตัวมีสาระ มีธีม มีประเด็น ความสนุกของหนังก็เลยลดลงไป มาก
สาเหตุที่เราไม่ค่อยชอบครึ่ งเรื่องหลังของ
TROUBLE 100% มันเป็นเพราะรสนิยมส่วนตัวข องเราด้วยแหละ
เพราะเรามักจะพบว่า หนังหลายๆเรื่องที่เราดูนั้ น เราไม่ชอบ “ประเด็น”, “ธีม”, “สาระ”,
“เนื้อเรื่อง” ของมัน เรามักจะพบว่า “เนื้อเรื่อง” และ “ประเด็น”
ของหนัง ขัดขวางความสุขที่เราควรจะไ ด้รับจากหนังเรื่องนั้น
แต่ถ้าหากหนังเรื่องนั้นปลด ปล่อยตัวเองออกจาก “เนื้อเรื่อง”
และ “ประเด็น” และนำเสนอความเสียสติของตัว เองไปเรื่อยๆ
มันอาจจะเข้าทางเรามากกว่า
แต่อันนี้เป็นเรื่องของรสนิ ยมส่วนตัวนะ
แน่นอนว่าผู้ชมคนอื่นๆอาจจะ ชอบหนังที่ “เนื้อเรื่อง”
และ “ประเด็น” แต่สำหรับเราแล้ว
หนังอย่าง TROUBLE 100% เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เ รารู้ตัวดีว่า
เรามีความสุขกับความประสาทแ ดกของหนังมากๆ จน “สาระ”
หรือ “ประเด็น” ของหนังมาทำลายความสุขนั้นไ ป
แต่ในอีกแง่หนึ่ง ผู้กำกับที่เราชื่นชอบสุดๆ ก็คือผู้กำกับที่สามารถนำเส นอ “ประเด็น” ได้โดยไม่ไปลดทอนพลังความปร ะสาทแดกของหนังนะ
ซึ่งผู้กำกับที่ทำหนังที่ปร ะสาทแดกมากๆ แต่ก็ดูเหมือนจะนำเสนอประเด ็นได้ดีมากๆในขณะเดียวกัน
ก็มีอย่างเช่น Christoph Schlingensief, Ulrike Ottinger, Pedro Almodovar หรือหนังอย่าง DAISIES (1966) ของ Vera
Chytilova
พอเปรียบเทียบกับหนังเรื่อง อื่นๆใน
JIT’S WISH LIST แล้ว เราว่า TROUBLE 100% เป็นหนังที่ “เล่าเรื่อง” มากที่สุดแล้วนะ
แต่เราก็ชอบที่โครงสร้างการ เล่าเรื่องของมันเป็นแนว THE PHANTOM OF
LIBERTY (1974, Luis Buñuel) + LA RONDE (1950, Max Ophuls) ที่เล่าเรื่องของตัวละครที่ ต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ
แทนที่จะใช้โครงสร้างการเล่ าเรื่องแบบหนังทั่วไป
เราว่าตัวละครผู้ร้ายในหนัง ที่เป็นกะเทย+ทอม
มันน่าสนใจดีด้วย ในแง่หนึ่งมัน politically uncorrect แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็
anti-stereotype หรือเปล่า เพราะปกติแล้วตัวละครนักเลง รีดไถเงินแบบนี้
มักจะเป็นชาย straight กุ๊ยๆ
4.WHEN KOSIT WENT TO DEATH (2001, Kosit Juntaratip)
ดีใจสุดๆที่หลายคนชอบหนังเร ื่องนี้มากๆ
เหมือนทุกฉาก, ทุกซีน, ทุกเฟรมภาพ
มันออกแบบมาดีมากน่ะ
ฉากที่ชอบที่สุดในการดูรอบส อง
ก็คือฉากที่โฆษิตพูดว่า “โฆษิตตายแล้วครับ” แล้วแม่ก็ตอบว่า “ดีแล้ว” แล้วก็เฉไฉไปคุยเรื่องอื่นๆ แทน
เรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ หนักมาก คลาสสิคมาก ที่แม่ตอบแบบนี้
5.มหานคร:สังหารหมู่ (2001, Montree Saelo)
เปิดฉากมาตอนแรกนึกว่าจะเป็ นหนังอนุรักษ์ความสะอาด
ด่ากรุงเทพ ด่ารถติด ด่าประชากรแออัด ชนบทดีงาม บลา บลา บลา
แต่ไปๆมาๆปรากฏว่าผิดคาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแล้ว
เหมือนหนังหาจุดที่สมดุลได้ ดี
ระหว่าง “การพยายามทำให้คนดูรู้จักต ัวละคร” กับ “การกีดกันคนดูออกจากตัวละค ร” นะ เพราะเราว่าหนังกลุ่มที่บัน ทึก “ช่วงเวลาอันน่าจดจำระหว่าง เพื่อนๆ”
โดยเฉพาะหนังที่กึ่งๆสารคดี กึ่งๆ home video แบบนี้ หลายเรื่องมักประสบปัญหาที่ “ตัวละคร/ subjects ในหนัง สนิทกันมากๆ
คุยกันเรื่องส่วนตัวมากๆ” ซึ่งคนดูหลายๆคนไม่รู้เรื่องส่วนตัวนั ้นด้วย
และพอตัวละครในหนังคุยกันแต ่เรื่องที่เฉพาะกลุ่มมากๆ
บางทีคนดูก็เลยรู้สึกเหมือน ถูกกีดกันออกจากกลุ่มตัวละค รไปเลย
และเราว่า METROPOLIS: MASSACRE นี้ หาจุดที่สมดุลได้ดี คือหนังมันก็ไม่ได้พยายามทำ ให้เรารู้จักว่าใครเป็นใครเ ลยนะ
หนังมันพาเรากระโจนเข้าไปอย ู่กลางวงเพื่อนนั้นเลย เพื่อนๆแต่ละคนคุยกันอย่างส นิทสนมโดยไม่สนใจคนดูเลยว่า จะเข้าใจอะไรไหม
แต่หนังมันนำเสนอการเล่นสนุ กในป่าในแบบที่เรามีอารมณ์ร ่วมไปด้วยได้
และหนังนำเสนอ “ฉากคุยกันเรื่องกล้อง” ซึ่งเป็นบทสนทนาที่ไม่กีดกั นคนดูมากเกินไป
เราก็เลยมองว่า หนังเรื่องนี้นำเสนอ moment แห่งความสุขระหว่างเพื่อนได ้ดีมากๆสำหรับเรา
มันเป็น moment ที่แสดงให้เห็นว่าเพื่อนๆกล ุ่มนี้สนิทกันจริงๆ
และ “คนนอก” อย่างเราก็เข้าไปสัมผัสกับม ันได้ด้วย
6.มารเกาะกุมนครหลวง (2001, Manutsak Dokmai)
อย่าถามเราว่าชื่อหนังเรื่อ งนี้แปลว่าอะไร
อย่าถามเราว่าหนังเรื่องนี้ เกี่ยวกับอะไร
อย่าถามเราว่าเกิดอะไรขึ้นบ ้างในหนังเรื่องนี้
เพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกัน เรารู้แต่ว่าเรามีความสุขสุ ดๆที่ได้ดูอะไรแบบนี้ จบ
7.HIGHWAY-SATOR (2003, Suwit Maprajuab)
ตายแล้ว ทำไมเราจำผิดว่าหนังเรื่องน ี้เกี่ยวกับรถตุ๊กๆ
แต่ก็เอาเถอะนะ มันเป็นหนังความยาว 5 นาทีที่เราได้ดูเมื่อ 13
ปีก่อน ความทรงจำของเรามันก็คงต้อง มีผิดพลาดบ้าง 555
เราเดาว่าสาเหตุที่ทำให้เรา ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ
อาจจะเป็นเพราะว่า เราชอบหนังกลุ่มที่ “ตัวละครทำอะไร nonsense
สุดๆไปเรื่อยๆ แล้วก็ตายห่าไปเลย” โดยที่หนังไม่ต้องสั่งสอนหร ือให้สาระอะไรกับคนดูน่ะ
ซึ่งหนังในกลุ่มนี้ก็มีเช่น เรื่อง
7.1 BLOW UP MY TOWN (1968, Chantal Akerman) ที่นางเอกเป็นเด็กสาววัยรุ่ นที่ทำอะไรบ้าๆบอๆในห้องครั วไปเรื่อยๆ
แล้วก็ฆ่าตัวตาย
7.2 TIME UP (2012, Jiraporn Saelee) ที่นางเอกเป็นเด็กสาววัยรุ่ นที่แดกอาหารไปเรื่อยๆ
แล้วก็ตายห่าไปเลย
7.3 CRADLE (2013, Tidathip Sanchart) ที่นางเอกเป็นเด็กสาววัยรุ่ นที่ไกวเปลให้เพื่อนจนเพื่อ นตายไปเลย
เราว่า HIGHWAY-SATOR ทำให้เรารู้สึกฟินคล้ายๆกับ หนังกลุ่มข้างต้น
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำ ไม แต่เวลาดูหนังกลุ่มนี้มันให ้ความรู้สึก liberate
อะไรบางอย่าง มันเป็นอารมณ์ขันแบบที่เข้า ทางเราด้วยน่ะ
อีกอย่างที่เราชอบมากๆใน HIGHWAY-SATOR คือ “รถบุโรทั่ง” ที่ใช้ในหนัง คือเราไม่รู้ว่ามันทำจากวัส ดุอะไร เราสงสัยมากๆ มันดูเหมือนรถกระดาษมากๆ
แต่มันก็เหมือนแล่นในถนนจริ งๆ เราก็เลยงงๆว่าหนังเรื่องนี ้ถ่ายทำยังไง
และรถในหนังทำจากกระดาษหรือ วัสดุอะไร
เราว่าเราชอบอะไรแบบนี้ด้วย แหละ
นั่นก็คือ vehicles ที่ปรากฏในหนัง
และทำให้คนดูรู้สึกตัวอยู่ต ลอดเวลาว่า “กำลังดูหนัง”
เพราะรถบุโรทั่งใน HIGHWAY-SATOR มันเป็นรถที่แล่นไม่ได้ในคว ามเป็นจริงอยู่แล้ว
แต่ “ภาพยนตร์” ทำให้มันแล่นได้
เพราะนี่คือ fictional world ที่เรากำหนดให้อะไรก็เกิดขึ ้นได้
และมันทำให้เรานึกถึงหนังอี กสองเรื่องที่เราชอบสุดๆด้ว ย ซึ่งก็คือ “ฝัน-เรียม” (2006, ลัดดาวัลย์ สืบเพ็ง)
ที่มีฉากตัวละครพายเรือบนบก คือคนในความเป็นจริงมันพายเ รือบนบกไม่ได้อยู่แล้ว
แต่พอตัวละครใน “ฝัน-เรียม” พายเรือบนบกอย่างเอาจริงเอา จัง
เราก็พบว่ามันเป็น sense of humour ที่เข้าทางเราอย่างสุดๆ
ส่วนหนังอีกเรื่องคือ THE GREAT LOVE (1969, Pierre Étaix) ที่ตัวละครเดินทางบนท้องถนน โดยใช้
“เตียง” เป็นยานพาหนะ
ขอบพระคุณผู้ชมทุกท่านมากๆค
พอได้ดูหนังในโปรแกรมนี้ ก็เลยทำให้รู้สึกว่า จริงๆแล้วรสนิยมของตัวเองอา
ส่วนหนังเรื่อง “มหานคร: สังหารหมู่” (2001, Montree Saelo) ก็ทำให้ผมรู้สึกคล้ายๆกัน ผมชอบมากที่หนังเรื่องนี้ถ่
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็มีผู้กำกับอย่างคุณ Theeraphat Ngathong และเพื่อนๆของเขา ที่ทำหนังแบบนี้ออกมาหลายเร
เพราะฉะนั้น พอผมได้ดู SIAM SQUARE กับ มหานคร:สังหารหมู่ ผมก็เลยตระหนักว่า จริงๆแล้วรสนิยมในการดูหนัง
ความรู้สึกอื่นๆที่มีต่อหนั
1.SIAM SQUARE (1998, Chanarai Sutthibutr)
ในขณะที่ “สไตล์หนังที่ผมชอบ” แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยใ
2.TOUGH RULE…COOL KIDS (1999, Sriwattana Wedreungvit)
จำได้ว่าตอนดูรอบแรกในปี 1999 เราฟินมากๆกับการเห็นตัวละค
อีกสิ่งที่ดีมากๆในหนังเรื่
สำหรับเราแล้ว หนังเรื่องนี้กับ “เป็นเรื่อง 100%” และ HIGHWAY-SATOR ถือเป็นหนัง cult คือมันเป็นหนังบ้าๆบอๆที่อา
3.เป็นเรื่อง 100% (2000, ทวีลาภ แซ่อุ้ย)
ความ cult หรือความประสาทแดกของหนังเร
เรื่อง sense of humour นี่มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวจร
สาเหตุหลักที่ทำให้ผมรู้สึก
อีกจุดที่ทำให้ TROUBLE 100% เข้าทางผมมากๆ เพราะผมมักจะชอบหนังที่มีตั
คือตัวละครสาวกระโดดสะพานลอ
สิ่งที่ผมประทับใจในตัวละคร
3.1 เธอเลือกกระโดดจากสะพานลอย แทนที่จะยอมให้อาชญากรสาวมา
3.2 เธอกระโดดจากสะพานลอย แต่เธอไม่ตาย
3.3 เธอไม่ตาย เพราะเธอกินเมนทอส
3.4 แต่เธอเป็นโรคบ้าผู้ชาย เธอมัวแต่มองชายหนุ่มในถนน จนหัวโขกเสา
3.5 เธอสื่อสารกับเพือนร่วมงาน/
แต่น่าเสียดาย ที่สำหรับเรานั้น TROUBLE 100% มันมาถึงจุดไคลแมกซ์ หรือมันมาพีคเอาช่วงกลางเรื
สาเหตุที่เราไม่ค่อยชอบครึ่
แต่อันนี้เป็นเรื่องของรสนิ
แต่ในอีกแง่หนึ่ง ผู้กำกับที่เราชื่นชอบสุดๆ ก็คือผู้กำกับที่สามารถนำเส
พอเปรียบเทียบกับหนังเรื่อง
เราว่าตัวละครผู้ร้ายในหนัง
4.WHEN KOSIT WENT TO DEATH (2001, Kosit Juntaratip)
ดีใจสุดๆที่หลายคนชอบหนังเร
ฉากที่ชอบที่สุดในการดูรอบส
5.มหานคร:สังหารหมู่ (2001, Montree Saelo)
เปิดฉากมาตอนแรกนึกว่าจะเป็
เหมือนหนังหาจุดที่สมดุลได้
และเราว่า METROPOLIS: MASSACRE นี้ หาจุดที่สมดุลได้ดี คือหนังมันก็ไม่ได้พยายามทำ
6.มารเกาะกุมนครหลวง (2001, Manutsak Dokmai)
อย่าถามเราว่าชื่อหนังเรื่อ
อย่าถามเราว่าหนังเรื่องนี้
อย่าถามเราว่าเกิดอะไรขึ้นบ
เพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกัน เรารู้แต่ว่าเรามีความสุขสุ
7.HIGHWAY-SATOR (2003, Suwit Maprajuab)
ตายแล้ว ทำไมเราจำผิดว่าหนังเรื่องน
เราเดาว่าสาเหตุที่ทำให้เรา
7.1 BLOW UP MY TOWN (1968, Chantal Akerman) ที่นางเอกเป็นเด็กสาววัยรุ่
7.2 TIME UP (2012, Jiraporn Saelee) ที่นางเอกเป็นเด็กสาววัยรุ่
7.3 CRADLE (2013, Tidathip Sanchart) ที่นางเอกเป็นเด็กสาววัยรุ่
เราว่า HIGHWAY-SATOR ทำให้เรารู้สึกฟินคล้ายๆกับ
อีกอย่างที่เราชอบมากๆใน HIGHWAY-SATOR คือ “รถบุโรทั่ง” ที่ใช้ในหนัง คือเราไม่รู้ว่ามันทำจากวัส
เราว่าเราชอบอะไรแบบนี้ด้วย
No comments:
Post a Comment