SONG FROM PHATTALUNG (2017, Boonsong
Nakphoo, A+30)
มหาลัยวัวชน
1.จริงๆก็ไม่รู้จะเขียนอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้
นอกจากว่าดูเพลินๆดี 555 เพียงแต่ว่าหนังผิดไปจากที่เราคาดเดาไว้เล็กน้อย
คือก่อนเข้าไปดู เราได้ยินมาว่ามหาลัยวัวชนมันจะเป็นหนังเมนสตรีม เราก็เลยคาดเดาไว้ก่อนว่ามันจะเป็นหนังแบบ
191 1/2 มือปราบทราบแล้วป่วน (2003, Boonsong Nakphoo) ซึ่งเป็นหนังเมนสตรีมที่เราชอบมากๆ
หรืออย่างน้อยก็จะเป็นหนังที่เล่าเรื่องแบบเร้าอารมณ์อย่าง “กิเลส
ตัณหา ราคะ อุปทาน” (LIFE ACTUALLY) (2005, Boonsong
Nakphoo, 77min)
คือเราว่าตอนที่คุณบุญส่งกำกับ 191
1/2 มือปราบทราบแล้วป่วน กับ “กิเลส ตัณหา ราคะ อุปทาน” น่ะ
มันเป็นอะไรที่เราชอบมากๆ คือมันเป็นหนังที่บันเทิง, ดูสนุก
และผ่านการเขียนบทและการคิดมาอย่างดีน่ะ คือถ้าหากเปรียบเทียบง่ายๆก็อาจจะบอกว่า
191 1/2 มือปราบทราบแล้วป่วน ทำให้เรานึกถึงอย่าง DUMB
AND DUMBER TO (2014, Bobby Farrelly + Peter Farrelly) ที่ดูภายนอกเหมือนเป็นหนังตลกเสียสติ
แต่จริงๆแล้วบทภาพยนตร์มันแน่นมากๆ มันละเอียดมากๆ ส่วน “กิเลส ตัณหา ราคะ อุปทาน”
ทำให้เรานึกถึงหนังเมโลดราม่ายุคเก่าของอิตาลี พวกหนังของ Luchino Visconti
อะไรแบบนี้ ในแง่ที่ว่ามันดูเร้าอารมณ์แบบหนังน้ำเน่า
แต่จริงๆแล้วมันก็ผ่านการคิดหรือผ่านการคัดกรองมาอย่างดีมากเช่นกัน
เพราะฉะนั้นพอคุณบุญส่งหันมาทำหนังอย่าง
“คนจนผู้ยิ่งใหญ่” (2010) และสถานีสี่ภาค (2012) เราก็เลยแอบผิดหวังเล็กน้อย
เพราะถึงแม้เพื่อนๆเราจะชื่นชมหนังสองเรื่องนี้มากๆ
เรากลับรู้สึกไม่ค่อยโดนกับหนังสองเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เรารู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นหนังอาร์ตนิ่งช้าที่ไม่ค่อยโดดเด่นเมื่อเทียบกับหนังอาร์ตนิ่งช้าอีกหลายๆเรื่องของไทยในยุคนั้นน่ะ
(เราจะจูนติดกับหนังของ Uruphong
Raksasat มากกว่า) คือเหมือนกับเราจัดให้ 191 1/2
มือปราบทราบแล้วป่วน อยู่ในอันดับสูงมากเมื่อเทียบกับหนังตลกเมนสตรีมของไทย
แต่เราจัดให้คนจนผู้ยิ่งใหญ่ และสถานีสี่ภาคอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหนังอาร์ตของไทย
แต่พอได้ดู “วังพิกุล” (2014)
เราก็กรี๊ดแตกมากๆ จูนติดมากๆ ชอบสุดๆไปเลย และพอได้ดู “ธุดงควัตร”
(2016) เราก็ชอบสุดๆเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นพอได้ข่าวว่า “มหาลัยวัวชน”
จะมีความเมนสตรีม เราก็เลยนึกว่ามันจะกลับไปเป็นแบบ 191 1/2 มือปราบทราบแล้วป่วน
หรือ “กิเลส ตัณหา ราคะ อุปทาน” หรืออย่างน้อยก็น่าจะเป็นแบบหนังของ John
Carney อย่าง ONCE, BEGIN AGAIN, SING STREET
อะไรทำนองนี้
แต่พอได้ดูจริงๆ
เราก็พบว่ามันผิดคาดเล็กน้อยนะ เรารู้สึกว่าความเมนสตรีมของมันอยู่ในระดับน้อยกว่าคาดน่ะ
คือความเมนสตรีมของมันที่เราเห็นชัดๆก็คือ
1.1 การเคลื่อนกล้องตลอดเวลา
แทนที่จะตั้งกล้องนิ่งๆ
1.2
พล็อตเรื่องส่วนที่มีสาวแสนดีและอดทนมาแอบหลงรักพระเอก
และหวังว่าพระเอกจะเปลี่ยนใจหันมารักตนเองในอนาคต
คือพล็อตส่วนนี้มันทำให้นึกถึงหนัง “นักเรียนไฮสกูล” ยุค 20-30 ปีก่อนมากๆ คือในหนังกลุ่มนี้พระเอกที่เป็น
“เด็กระดับกลางๆ ไม่ใช่นักกีฬารูปหล่อ” มักจะหลงรักสาวสวยในโรงเรียน
แต่พระเอกมักจะมีเพื่อนเป็น “สาวเนิร์ดใส่แว่น” ที่แอบหลงรักพระเอก
และคอยอยู่เคียงข้างพระเอกตลอดเวลา และพอถึงตอนจบ พระเอกก็จะตัดใจจากสาวสวย
และหันมาเห็นคุณค่าของ “สาวเนิร์ดใส่แว่น ที่พอถอดแว่นแล้วจะสวยขึ้นมาในทันที”
ในที่สุด
คือจริงๆแล้วเราไม่ค่อยชอบองค์ประกอบสองอย่างนี้ในหนังเรื่องนี้นะ
ถ้าเราเลือกได้ เราอยากจะให้หนังตั้งกล้องนิ่งๆมากกว่า แต่เราก็เข้าใจแหละว่า
ถ้าหากหนังตั้งกล้องนิ่งๆ ผู้ชมกระแสหลักก็จะเบื่อ
ส่วนพล็อตเรื่องสาวแสนดีผู้แอบหลงรักพระเอกนั้น
เราว่ามันดู “จงใจ” มากเกินไปเล็กน้อยในบางช่วงนะ มันดูเหมือนกับว่าเนื้อเรื่องส่วนนี้เป็น
“พล็อต” ที่ต้องใส่เข้ามาเพื่อให้หนังมีเส้นเรื่องหรือเนื้อเรื่องขึ้นมาบ้างน่ะ
ไม่งั้นหนังมันจะเป็นกิจวัตรประจำวัน+บรรยากาศ แบบหนังอาร์ตมากเกินไป
แต่ก็ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30
อยู่ดีน่ะแหละ คือถึงแม้จะไม่ชอบองค์ประกอบสองอย่างนี้ แต่ก็ “ไม่ชอบเล็กน้อย”
เท่านั้น
ส่วนองค์ประกอบอื่นๆของหนังนั้น
เราว่ามันดูเป็นหนังอินดี้ sundance หรือหนังอินดี้ของยุโรป หรือหนังน่ารักๆของญี่ปุ่นน่ะ แบบหนังอย่าง MY
TOWN (2002, Marek Lechki, Poland) ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มในชนบทโปแลนด์ที่เศรษฐกิจตกต่ำ
หรือหนังอย่าง NO ONE’S ARK (2003, Nobuhiro Yamashita, Japan) ที่เล่าเรื่องของพระเอกกับแฟนสาวที่พยายามหาเงินในชนบท
คือหนังกลุ่มนี้มันไม่ใช่หนังอาร์ตนิ่งช้าที่ดูยาก แต่มันก็ไม่ใช่หนังเมนสตรีมที่ดูสนุก
ประเภทที่มีการเร้าอารมณ์ชัดเจนในทุกๆฉาก คือหนังกลุ่มนี้มันดูมีความเรื่อยๆเฉื่อยๆในระดับนึง
คือจริงๆแล้วเนื้อเรื่องของหนังมันเดินไปข้างหน้าตลอดเวลานะ แต่หนังกลุ่มนี้มันจะไม่กล้าเร้าอารมณ์มากเกินไปน่ะ
เพราะฉะนั้นอารมณ์สนุก หรืออารมณ์รุนแรงมันจะถูกกดไว้ในหนังประเภทนี้
ไม่ค่อยโผล่ออกมาให้เห็นสักเท่าไหร่
2.ตอนดูจะนึกถึงหนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดเมื่อสองปีก่อน
ซึ่งก็คือเรื่อง WE ARE YOUR FRIENDS (2015, Max
Joseph) ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่จมปลักในเมืองบ้านเกิดเหมือนกัน,
ชอบใช้เวลาขลุกอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆผู้ชายเหมือนกัน, หลงรักผู้หญิงที่มีฐานะดีกว่าตัวเองเหมือนกัน
และพยายามสร้างผลงานดนตรีในแบบของตัวเองเหมือนกัน เพียงแต่ว่า WE ARE YOUR
FRIENDS มันพูดถึงวงการเพลงแดนซ์ ซึ่งเป็นแนวเพลงสุดโปรดของเรา เราก็เลยชอบ
WE ARE YOUR FRIENDS มากกว่า และ WE ARE YOUR FRIENDS
ก็เร้าอารมณ์ได้สนุกกว่าด้วย
3.สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเพลิดเพลินกับมหาลัยวัวชน
อาจจะเป็นเพราะว่าเรามองมันแบบ exotic ก็ได้
คือการดูหนังเรื่องนี้ทำให้เราได้สัมผัสกับสิ่งที่เราไม่ได้สัมผัสในชีวิตของเราเองน่ะ
ซึ่งก็คือ “สังคมชนบทพัทลุง” และ “สังคมหนุ่มๆ straight” และเราว่าหนังมันมีความ
realistic ในระดับนึง
การดูหนังเรื่องนี้สำหรับเราก็เลยอาจจะให้ความสุขในแบบที่คล้ายๆกับการดูหนังอย่าง AGRARIAN
UTOPIA (2009, Uruphong Raksasad) คือมันพาเราไปสัมผัสกับชีวิตคนอีกกลุ่มหนึ่งที่แตกต่างจากเรา
และมันมีมากกว่า” เนื้อเรื่อง” น่ะ หนังกลุ่มนี้มันมีการถ่ายทอดบรรยากาศ
และมีการถ่ายทอดรายละเอียดต่างๆในชีวิตประจำวันหรือในสังคมชนบทออกมาได้อย่างดีมากด้วย
เพราะฉะนั้นการดูหนังอย่าง SONG FROM PHATTALUNG และ AGRARIAN
UTOPIA ในสายตาคนนอกอย่างเรา ก็เลยทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินมากๆ
4.จริงๆแล้วรู้สึกชอบพระเอกและพี่โอ
โดยเฉพาะพี่โอนี่เร้าใจดิฉันมากค่ะ 555คือพอพูดถึงตรงนี้แล้วจะรู้สึกว่ามันย้อนแย้งกันดี
คือสำหรับเราแล้ว พี่โอในมหาลัยวัวชน กับพระอาจารย์ในธุดงควัตร นี่ถือเป็น objects
of desire สำหรับเรามากๆค่ะ ทั้งๆที่เราว่าตัวผู้สร้างหนังคงไม่ได้ตั้งใจจะให้พี่โอกับพระอาจารย์เป็น
objects of desire แต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้าม
เรายอมรับว่าเราเบื่อๆเล็กน้อยกับ การใช้ “เด็กหนุ่มผิวขาว” เป็น objects
of desire ในหนังเกย์ของไทยและหนังเมนสตรีมของไทยน่ะ
คือในขณะที่หนังไทยหลายๆเรื่องนำเสนอเด็กหนุ่มผิวขาวในฐานะ objects
of desire เรากลับรู้สึกเบื่อๆ และเรากลับถูกดึงดูดด้วยผู้ชายในหนังของบุญส่ง
นาคภู่แทน ทั้งๆที่ตัวหนังไม่ได้ตั้งใจนำเสนอตัวละครเหล่านี้ในฐานะ objects
of desire 555
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่อยากกินเด็กหนุ่มผิวขาวในหนังไทยเรื่องต่างๆนะ
คือกูก็อยากกินอยู่ค่ะ แต่กูต้องการความหลากหลายน่ะค่ะ กูชอบผู้ชายผิวคล้ำๆด้วย กูชอบผู้ชายชนชั้นแรงงาน
กูชอบผู้ชายวัย 30-50 ปีด้วย 555
5.ชอบการพูดคุยกันแล้วร้องเพลงแทรกขึ้นมาในหนังมากๆ
ดูแล้วนึกถึง SAME OLD SONG (1997, Alain Resnais)
6.ทำไมเราถึงรู้สึกค่อนข้างดีกับตอนจบของหนังก็ไม่รู้
และมันอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราชอบหนังในระดับ A+30
เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่เรารู้สึกดีเป็นเพราะเราอินกับความมักน้อยของตัวละครหรือเปล่า
เพราะตัวเราเองก็เป็นคนที่ “ไม่มีความทะเยอทะยาน” อะไรเลยอยู่ในตัวเองเหมือนกัน 555
คือเราเรียนได้เกรดดี แต่เราก็ไม่เรียนต่อปริญญาโท (เพราะเรารู้ว่าถึงแม้หัวสมองของเราเรียนได้
แต่สภาพจิตเราไม่ไหว), เราทำงานตำแหน่งเดิมมานาน 22 ปีแล้ว
โดยไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเลย (คือเงินเดือนปรับขึ้นเรื่อยๆ แต่ตำแหน่งคือตำแหน่งเดิม
ไม่มีความก้าวหน้าในอาชีพการงานแต่อย่างใด) และเราก็อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์แคบๆมา
22 ปีแล้ว คือพอพิจารณาชีวิตตัวเองแล้ว เราก็เป็น loser
คล้ายๆกับตัวละครในหนังเหมือนกัน
เราเกลียดตัวละครที่ทะเยอทะยานแบบในหนังอย่าง
WHIPLASH
(2014, Damien Chazelle) มากๆเลยด้วย และตัวละครที่เรารักที่สุดคือตัวละครอย่างนางเอกหนังเรื่อง
SWANN (1996, Anna Benson Gyles) ที่เป็นกวีที่แต่งกลอนได้ดีมาก
แต่เธอก็ไม่เลือกความโด่งดัง
เธอพอใจที่จะทำเพียงแค่อ่านบทกวีให้เพื่อนๆฟังในตอนจบเท่านั้น
เราจำได้ว่าเราประทับใจกับความมักน้อยของนางเอก
SWANN
ในตอนจบอย่างรุนแรงมากๆ และพอถึงตอนจบของมหาลัยวัวชน
เราก็รู้สึกดีเหมือนกัน มันเหมือนกับว่า แทนที่หนังเรื่องนี้จะพูดถึง “การฝ่าฟันไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่”
เหมือนอย่างที่เราคาดไว้ในตอนแรก หนังเรื่องนี้กลับเลือกพูดถึง “ช่วงเวลาช่วงหนึ่งของคนตัวเล็กๆในสังคมบางคน”
เท่านั้น คือการที่หนังมันให้ความรู้สึกว่า มันเป็นการพูดถึง “ช่วงเวลาช่วงหนึ่ง”
ของ “คนตัวเล็กๆในสังคมบางคน” มันดูมักน้อยดีสำหรับเราน่ะ และเราชอบอะไรแบบนี้
7.อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาของหนัง
แค่อยากบันทึกไว้ว่า ตอนเราไปดู มหาลัยวัวชนที่ HOUSE RCA รอบประมาณทุ่มนึง
ปรากฏว่ามีคนดูแค่ 2 คนเท่านั้นน่ะ เราก็เลยเศร้าใจมากๆ คาดไม่ถึงเหมือนกัน
คือปีที่แล้วตอนเราไปดูธุดงควัตรนี่ คนดูประมาณ 75% ของโรงเลยนะ
ตอนเราดู SIAM
SQUARE (2017, Pairach Khumwan) ที่เอ็มควอเทียร์
คนดูก็น้อยมากๆเหมือนกัน น่าจะไม่ถึงสิบคน ทั้งๆที่หนังมันก็ดูง่ายมากๆ
เราว่าทั้งมหาลัยวัวชน, SIAM
SQUARE และ A GAS STATION (2016, Tanwarin Sukkhapisit) ทำให้นึกถึงศัพท์คำว่า “mindie” นะ
คือเป็นหนังที่อยู่ตรงกลางระหว่างเมนสตรีมกับอินดี้
คือหนังทั้งสามเรื่องนี้มีความเมนสตรีมอยู่ในตัว
แต่ก็มีความอาร์ตอยู่ในตัวสูงกว่าหนังเมนสตรีมทั่วไปเป็นอย่างมากด้วย (ตัวอย่างของหนังกลุ่มนี้ในต่างประเทศ
อาจจะเป็น SPRING BREAKERS (2012, Harmony Korine))
น่าเสียดายที่หนัง 3
เรื่องนี้ไม่ทำเงินมากเท่าที่คาด ทั้งๆที่มันเป็นหนังที่เราชอบมากๆ
เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำหนังอย่างไรถึงจะได้เงิน
เพราะถ้าเรารู้ เราก็คงทำเองไปแล้วล่ะ
คือก่อนหน้านี้หนังของ Kongdej
Jaturanrasmee และหนังของ Nawapol Thamrongrattanarit ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนัง mindie เหมือนกัน
และหนังของสองคนนี้ก็ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จทางรายได้ในระดับนึง
ตอนนี้เราก็คงได้แต่เป็นกำลังใจให้ผู้สร้างหนังไทยน่ะแหละ
ยังไงก็ขอขอบคุณที่สร้างหนังดีๆออกมาให้เราได้ดูกัน
No comments:
Post a Comment