กาหลมหรทึก (2014,
ปราปต์, นิยาย, A+30)
♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥
♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥
♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥
1.สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ลุ้นระทึก ตื่นเต้นดีจริงๆ (คล้ายๆกับการดูหนัง thriller/ murder
mystery) นี่เมื่อคืนเรากะจะเข้านอนตอนเที่ยงคื น
แต่พอดีอ่านมาถึง 3 ใน 4 ของเล่มแล้ว
และมันกำลังลุ้นมากๆ เราก็เลยต้องอ่านต่อให้จบไป เลย ก็เลยเข้านอนตอน 01.30
น.แทน
แต่เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญนิ ยายแนวนี้นะ
หรือจริงๆแล้วเราไม่ใช่ผู้เ ชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมอะไรด้ วย
ก็เลยไม่สามารถเปรียบเทียบอ ะไรได้ แต่เราว่ามัน “สนุก”
กว่าการอ่านนิยายของอกาธา คริสตี้ กับนิยายชุด Sherlock
Holmes น่ะ ไม่ใช่ว่ามัน “ดี” กว่านะ แต่เหมือนนิยายเรื่องนี้มี “การเร้าอารมณ์ลุ้น”
ในแบบที่คล้ายๆกับหนัง thriller ยุคปัจจุบันน่ะ
และการเร้าอารมณ์ลุ้นนี้มัน ก็เลยทำให้เราสนุกกับมันในแ บบที่อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆใ ห้จบไปเลย
ในขณะที่นิยายของอกาธา คริสตี้กับ Sherlock Holmes มันจะมี pacing
อีกแบบนึง ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจในส่วนนี้ เหมือนกัน
เพราะเราก็ไม่ได้อ่านนิยายข องสองคนนี้มานานราว 20 ปีแล้ว
แต่เหมือน pacing ของอกาธา คริสตี้มันจะไม่ลุ้นระทึกมา กเท่านี้
มันจะ “สุขุม” กว่า ถ้าหากเราจำไม่ผิด
2.เราว่าการสร้างความลุ้นระ ทึกในนิยายเรื่องนี้มันทำให ้นึกถึง
“การตัดต่อ” หรือ “การตัดสลับฉาก” ในหนังยุคปัจจุบันนะ
คือเราว่าผู้นำนิยายเรื่องน ี้ไปดัดแปลงสร้างเป็นหนังหร ือละครทีวีจะดัดแปลงได้ง่าย ในส่วนนึง
เพราะนิยายมันมีการตัดต่อฉา กแบบหนังไว้ให้แล้วในหลายๆจ ุด
คือการตัดสลับฉากในนิยายเรื ่องนี้ในหลายครั้งมันช่วยสร ้างความลุ้นระทึกได้ดีมากน่ ะ
คือการตัดฉากแต่ละครั้งบางท ีมันเป็นการตัดสลับระหว่างเ หตุการณ์ของตัวละครในต่างสถ านที่กัน
หรือเป็นการตัดต่อจากช่วงเว ลานึงไปยังอีกช่วงนึงของวัน แต่มันมักจะตัดต่อในจังหวะท ี่สร้างความลุ้นมากๆ
คือพอเนื้อเรื่องในฉากกำลัง ดำเนินไปถึงจุดที่ตึงเครียด นิยายก็จะหันไปเล่าเรื่องขอ งตัวละครอีกกลุ่มในอีกต่างส ถานที่แทน
ยกตัวอย่างง่ายๆก็คือว่า พอตัวละคร A เผชิญกับปัญหา B
ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆจนถึงจุดนึง
นิยายก็จะตัดไปเล่าเรื่องขอ งตัวละคร C ในอีกสถานที่นึง
เราคนอ่านก็เลยเหมือนถูกกระ ตุ้นให้ต้องรีบอ่านเรื่องขอ ง B ต่อไปเรื่อยๆให้จบฉากนั้นโด ยเร็ว เพื่อที่จะได้รู้ว่าชะตากรร มของ
A เป็นอย่างไร เมื่อนิยายกลับมาเล่าเรื่อง ของ A อีกครั้งในฉากต่อๆมา
เราว่าการตัดต่อฉากแบบนี้เป ็นอะไรที่นิยายเรื่องนี้ทำไ ด้ดีสุดๆ
คือคนเขียนต้องรู้วิธี build สถานการณ์ในแต่ละฉากให้ตึงเ ครียดขึ้นเรื่อยๆ
และต้องรู้ว่าต้องตัดจบฉากน ั้นตรงไหน ถึงจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกลุ้ นมากๆ
และอยากอ่านต่อไปจนหยุดไม่ไ ด้ และผู้เขียนต้องรู้วิธีแยกส ถานการณ์ของแต่ละตัวละครให้ ดำเนินเคียงคู่กันไปด้วย
คือมันต้องมีสถานการณ์ตึงเค รียด 2-3 สถานการณ์ดำเนินเคียงคู่กัน ไป
ผู้เขียนถึงสามารถตัดสลับฉา กระหว่างสถานการณ์เหล่านี้ไ ด้
และต้องรู้วิธีสร้าง “ความคล้องจอง” ระหว่างอารมณ์ตึงเครียดของแ ต่ละสถานการณ์
parallel เหล่านี้ด้วย อารมณ์ที่เกิดขึ้นเวลาตัดสล ับฉากต่างๆมันจะได้สอดประสา นกันได้อย่างงดงาม
การตัดต่อระหว่างสถานการณ์ต ึงเครียดแบบนี้ทำให้นึกถึงโ ครงสร้างของละครทีวีซีรีส์ข องฝรั่งด้วยนะ
คือในละครทีวีซีรีส์ของฝรั่ งประเภทสืบสวนสอบสวนนั้น
ในแต่ละตอนตัวละครที่มักจะเ ป็นตำรวจมักจะเผชิญกับคดีสอ งคดีในเวลาเดียวกัน
และละครตอนนั้นก็จะตัดสลับไ ปมาระหว่างการสืบสวนสองคดีน ั้น
แต่มันแตกต่างกันตรงที่ว่าเ วลาดูละครซีรีส์มันจะไม่ลุ้ นมากเท่ากับตอนอ่านนิยายเรื ่องนี้น่ะ
เพราะละครซีรีส์ประเภทสืบสอ งคดีให้จบในหนึ่งชั่วโมงมัน ไม่มีเวลาสร้างสถานการณ์ลุ้ นระทึกต่อเนื่องได้อย่างสุด ขีดแบบในนิยายเรื่องนี้
คือมันต้องเสียเวลาปูพื้น, สร้างผู้ต้องสงสัยหลายๆคน,
เหยาะเบาะแส, ใส่ชีวิตส่วนตัวของตำรวจเข้ ามานิดนึง
และค่อยทวีความตึงเครียดของ สถานการณ์ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเวลาหนึ่งชั่วโมงในซีรี ส์แต่ละตอนมันไม่เอื้อให้ทำ อะไรได้มากนัก
เหมือนสร้างความตึงเครียดไป ได้ 10 หน่วย
ละครก็ต้องรีบคลี่คลายสถานก ารณ์ให้จบภายในหนึ่งชั่วโมง แล้ว
แต่พอเป็นนิยายมันก็เลยมีโอ กาสทำอะไรได้มากกว่าเยอะ มันสะสมปม, เบาะแส, เงื่อนงำ, ผู้ต้องสงสัย,
เหยื่อฆาตกรรมไปได้เรื่อยๆ เหมือนมันทำให้สถานการณ์ทวี ความตึงเครียดไปได้
169 หน่วยแล้วถึงค่อยคลี่คลาย แทนที่จะตึงเครียดแค่ 10
หน่วยแล้วก็ต้องรีบคลี่คลาย แบบในทีวีซีรีส์
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
3.นิยายเรื่องนี้มันตอบสนอง fantasy ของเราอย่างมากๆ คือเราคิดมานานหลายปีแล้วว่ า
3.1 อยากให้มีคนแต่งนิยายแบบ Dan Brown, หรือแบบนิยายเรื่อง FLICKER (1991, Theodore Roszak) หรืออย่างละครทีวีเรื่อง THE AVIGNON PROPHECY (2007, David Delrieux) ที่เน้นการสืบปริศนาฆาตกรรม ที่เกี่ยวพันกับอะไรโบราณๆ
เพียงแต่เปลี่ยนฉากหลังมาเป ็นไทย โดยเฉพาะวัดวาอาราม โบราณวัตถุของไทย
3.2 อยากให้มีความจิ้นวายในนิยา ยที่ไม่ใช่แนวโรแมนติก/ อีโรติก
ซึ่งตัวละครตำรวจหนุ่มสองคน กบี่กับแชนในเรื่องนี้ ทำหน้าที่นี้ได้ดีมากๆ
3.3 ตัวละครฆาตกรในเรื่องนี้ ก็เป็นตัวละครที่เข้าทางเรา มากในระดับนึง
4.ชอบการใช้กลบท, โคลงกลอน และลักษณะบางอย่างของภาษาไท ยในนิยายเรื่องนี้มากๆ
คือมันเป็นการใช้กลบทและโคล งกลอน ไม่ใช่เพื่อการเชิดชูความเป ็นไทยโดยตรง
แต่เพื่อนำมันมาใช้ตีความปร ิศนาฆาตกรรมน่ะ และเราว่ามันเป็นอะไรที่เข้ าท่าสำหรับเรามากๆ
คือโคลงกลอนโดยทั่วๆไปมันเป ็นสิ่งที่ต้องควบคู่กับการต ีความอยู่แล้ว
แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงแค่ก ารตีความว่า กวีต้องการจะสื่อถึงอะไร
เพราะฉะนั้นพอนิยายเรื่องนี ้นำโคลงกลอนมารวมเข้ากับปริ ศนาฆาตกรรม
มันก็เลยเป็นการตีความที่สน ุกมาก
เราเองก็เป็นคนที่ชื่นชม “กลบท” มากๆด้วย เราว่ามันเป็นอะไรที่แต่งยา กสุดๆ
และเป็นการผสมผสานระหว่าง “ความสามารถทางภาษา” กับ “การเล่นเกม” เข้าด้วยกัน
ในแง่นึง เราว่าความพยายามจะอ่านกลบท แบบซ่อนรูปคำประพันธ์ หรือ “กลแบบ” นั้น มันคล้ายกับการทำแบบทดสอบไอ คิวเลย
คือกูไม่รู้จะเชื่อมโยงมันย ังไง หรืออ่านมันยังไง เวลาเราเจอกับ “กลแบบ” แล้วเราหาวิธีเชื่อมโยงคำใน กลแบบเข้าด้วยกันไม่ได้
มันคล้ายๆกับความรู้สึกตอนท ำแบบทดสอบไอคิวจนถึงหน้าที่ เราเริ่มตอบไม่ได้อีกต่อไป
555
ในแง่นึง เรารู้สึกว่าเราอยากให้นิยา ยเรื่องนี้กลายเป็น
“หนังสืออ่านนอกเวลา” สำหรับเด็กม.3
เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็ก หลายๆคนรู้สึกอยากเรียนภาษา ไทยมากขึ้นเมื่อถึงเวลาต้อง เลือกวิชาเรียนเองในชั้นมัธ ยมปลาย
555
สรุปว่า การใช้ “กลบท” ในนิยายเรื่องนี้ถือเป็นหนึ ่งในสิ่งที่เราชอบมากที่สุด ในนิยายเรื่องนี้จ้ะและถือเ ป็นสิ่งที่เราไม่เคยพบเคยเจ อมาก่อนเลยด้วย
5.เรายอมรับว่า เราเดาฆาตกรไม่ถูกนะ อ่านแล้วนึกถึง THE MURDER OF ROGER ACKROYD (1926, Agatha Christie) ที่ทำให้เราอ้าปากค้างตอนเฉ ลยตัวฆาตกรเหมือนกัน
6.เราว่านิยายเรื่องนี้ “ไม่ตายตอนจบ” ด้วย คือนิยายแนวปริศนาฆาตกรรมส่ วนใหญ่
พอเฉลยตัวฆาตกรแล้ว เนื้อเรื่องคลี่คลายแล้ว มันจะไม่เหลืออะไรค้างคาใจอ ีกต่อไปน่ะ
มันเหมือนน้ำอัดลมที่ถูกเขย ่าอย่างแรง แล้วพอเปิดขวด
มันก็มีฟองฟู่ๆออกมาเยอะมาก ก่อนจะหายไปจนหมด ความรู้สึกเวลาที่เราดูหนัง แนวปริศนาฆาตกรรมหรืออ่านนิ ยายแนวปริศนาฆาตกรรมบางเรื่ อง
โดยเฉพาะนิยายของ Mary Higgins Clark มันจะออกมาแบบนั้น ความสนุกของมันเหมือนฟองฟู่ ๆของน้ำอัดลมที่จะสลายไปเมื ่อเนื้อเรื่องจบลง
แต่ช่วงลงเอยของนิยายเรื่อง นี้
ทิ้ง “ความค้างคาใจ ไม่ happy ending” ไว้ได้ดีมากน่ะ
คือถ้านิยายของ Mary Higgins Clark และ Dan Brown เป็นน้ำอัดลม นิยายเรื่องนี้ก็เป็น “น้ำกรด” น่ะ มันกัดเซาะและทิ้งร่องรอยบา ดแผลไว้มากกว่านิยายปริศนาฆ าตกรรมหลายเรื่อง
7.ดีใจที่นิยายเรื่องนี้จะไ ด้รับการนำมาสร้างเป็นละครท ีวีในเร็วๆนี้
แต่ในฐานะที่เราเป็น cinephile นั้น
เราขอจินตนาการต่อไปเองเล่น ๆว่า
ถ้าหากนิยายเรื่องนี้จะนำมา สร้างเป็นหนัง
มันสามารถดัดแปลงออกมาได้ใน หลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น
7.1 การดัดแปลงอย่างตรงไปตรงมา โดยสร้างเป็นหนังแบบ thriller หรือ murder mystery ที่เน้นการสร้างความลุ้นระท ึก และให้ความสำคัญกับประเด็นท ี่ว่า “ใครคือฆาตกร” โดยหนังที่เป็น reference ใกล้เคียงก็มีเช่น
7.1.1 THE BIG SLEEP (1946, Howard Hawks)
7.1.2 หนังที่สร้างจากนิยายของ Fred Vargas โดยเฉพาะเรื่อง THE CHALK CIRCLE MAN (2007, Josée Dayan) ที่นำแสดงโดย Charlotte Rampling และมีเนื้อหาเกี่ยวกับคดีฆา ตกรรมในกรุงปารีส
เมื่อมีคนทยอยวาดวงกลมสีน้ำ เงินตามจุดต่างๆในกรุงปารีส โดยตรงกลางวงกลมจะมีวัตถุบา งอย่างวางอยู่ และในเวลาต่อมา
ก็มีศพวางอยู่ตรงกลางวงกลมล ึกลับเหล่านั้น
7.1.3 หนังของ Brian de Palma อย่างเช่น THE BLACK DAHLIA (2006)
7.2 การดัดแปลงนิยายให้ต่างไปจา กเดิมอย่างสิ้นเชิง
โดยไม่เน้นอีกต่อไปว่า “ใครเป็นฆาตกร” แต่หนังจะบอกตั้งแต่ต้นเลยว ่า
“ใครเป็นฆาตกร” และหันมาเน้นความรู้สึกขัดแ ย้งกันเองภายในใจของฆาตกร
ว่าจะแก้แค้นดีหรือไม่ หรือว่าจะให้ความสำคัญกับคว ามรักมากกว่าการแก้แค้นดี
และหันมาเน้นปมทางจิตต่างๆใ นใจฆาตกรแทน
หนังที่เป็น reference ก็มีเช่น
7.2.1 BADLAPUR (2015, Sriram Raghavan, India)
7.2.2 หนังของ Claude Chabrol โดยเฉพาะเรื่อง LE BOUCHER (1970, Claude Chabrol) ที่สำรวจรักแท้ของฆาตกรโรคจ ิต
7.3 การดัดแปลงนิยายมาสร้างเป็น หนังโดยแทบไม่เหลือเค้าเดิม เลย
โดยใช้นิยายเรื่องนี้เป็นแค ่แรงบันดาลใจตั้งต้นเท่านั้ น
คือพอเราอ่านนิยายเรื่องนี้ จบลง เราก็นึกถึงหนังของ Peter Greenaway ที่ชอบทำหนังเกี่ยวกับ “แผนที่” และ “บทประพันธ์โบราณ” น่ะ
โดยเฉพาะเรื่อง PROSPERO’S BOOKS (1991)
คือในจินตนาการของเราเองนั้ น
ถ้าเราเอา “กาหลมหรทึก” มาสร้างเป็นหนัง
เราก็คงทำแบบ Peter Greenaway น่ะแหละ 555 คือหนังของเราจะยาว 3 ชั่วโมง และแบ่งออกเป็น 92
ช่วง (Peter Greenaway ผูกพันกับตัวเลข 92)
โดยแต่ละช่วงจะเริ่มต้นด้วย กลบทและโคลงกลอนไม่ซ้ำกัน 555
คือหนังจะเปิดฉากแต่ละช่วงโ ดยโคลง, กลอน
หรือกลบทหนึ่งบท และค่อยเล่าเรื่อง โดยบางช่วงจะเป็น narrative ต่อกันไป และคั่นด้วยกลบทหรือโคลงฉัน ท์กาพย์กลอนอะไรสักอย่าง
แต่บางช่วงอาจจะขึ้นต้นด้วย กลบท แล้วตามมาด้วยฉากนักศึกษาอั กษรศาสตร์สองคนวิเคราะห์กลบ ทนั้น
หรือบางช่วงอาจจะขึ้นต้นด้ว ยกลแบบ และตามมาด้วยตัวละครที่พยาย ามอ่านกลแบบนั้นด้วยวิธีต่า งๆกันไป
หรือบางช่วงจะขึ้นต้นด้วยกล บท และมีครูสอนภาษาไทยมาพูดอะไ รสักอย่างในช่วงนั้น
และบางช่วงอาจจะเป็นการสัมภ าษณ์ลูกหลานของนักโทษที่เกา ะตะรุเตา
คือประเด็นที่ว่าใครคือฆาตก รไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
เพราะหนังเรื่องนี้จะเน้นกา รเล่นสนุกกับองค์ประกอบบางอ ย่างในตัวนิยายต้นฉบับ
และเน้นกระตุ้นให้ผู้ชมได้ร ู้จักและทึ่งกับกลบทและโคลง ฉันท์กาพย์กลอนต่างๆในวรรณค ดีไทยแทน
คือกว่าผู้ชมจะดูชมหนังจบ ผู้ชมก็ได้เจอร้อยกรองไทยไป แล้วอย่างน้อย 92
บท
หนังในจินตนาการเรื่องนี้ขอ งเราอาจจะคล้ายๆกับ
ARABIAN NIGHTS (2015, Miguel Gomes) ด้วยแหละ
คือมันเป็นการนำเอาบทประพัน ธ์ “อาหรับราตรี” มาใช้เป็นแรงบันดาลใจเท่านั ้น และก่อให้เกิดหนังที่มีความ free form มากๆ และแทบไม่เกี่ยวกับบทประพัน ธ์เดิมเลย
สรุปว่าที่เขียนมานี้บางส่ว นอาจจะไม่ได้เกี่ยวตัวนิยาย โดยตรง
แต่เราไม่ใช่นักอ่านนิยายน่ ะ เราเป็น cinephile เพราะฉะนั้นพอเราอ่านนิยายเ รื่องนี้จบลง
เราก็เลยอยากบันทึกไว้ว่ามั นทำให้เราเกิดจินตนาการอะไร ต่อไปบ้าง
โดยเฉพาะมันทำให้เรานึกถึงห นังเรื่องไหนบ้าง
สรุปว่าชอบนิยายเรื่องนี้มา กๆ
และขอปวารณาตัวเป็นสาวกอีกค นของคุณปราปต์จ้ะ
♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥
♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥
♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥
1.สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ลุ้นระทึก ตื่นเต้นดีจริงๆ (คล้ายๆกับการดูหนัง thriller/
แต่เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญนิ
2.เราว่าการสร้างความลุ้นระ
คือการตัดสลับฉากในนิยายเรื
เราว่าการตัดต่อฉากแบบนี้เป
การตัดต่อระหว่างสถานการณ์ต
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
3.นิยายเรื่องนี้มันตอบสนอง
3.1 อยากให้มีคนแต่งนิยายแบบ Dan Brown, หรือแบบนิยายเรื่อง FLICKER (1991, Theodore Roszak) หรืออย่างละครทีวีเรื่อง THE AVIGNON PROPHECY (2007, David Delrieux) ที่เน้นการสืบปริศนาฆาตกรรม
3.2 อยากให้มีความจิ้นวายในนิยา
3.3 ตัวละครฆาตกรในเรื่องนี้ ก็เป็นตัวละครที่เข้าทางเรา
4.ชอบการใช้กลบท, โคลงกลอน และลักษณะบางอย่างของภาษาไท
เราเองก็เป็นคนที่ชื่นชม “กลบท” มากๆด้วย เราว่ามันเป็นอะไรที่แต่งยา
ในแง่นึง เรารู้สึกว่าเราอยากให้นิยา
สรุปว่า การใช้ “กลบท” ในนิยายเรื่องนี้ถือเป็นหนึ
5.เรายอมรับว่า เราเดาฆาตกรไม่ถูกนะ อ่านแล้วนึกถึง THE MURDER OF ROGER ACKROYD (1926, Agatha Christie) ที่ทำให้เราอ้าปากค้างตอนเฉ
6.เราว่านิยายเรื่องนี้ “ไม่ตายตอนจบ” ด้วย คือนิยายแนวปริศนาฆาตกรรมส่
แต่ช่วงลงเอยของนิยายเรื่อง
7.ดีใจที่นิยายเรื่องนี้จะไ
ถ้าหากนิยายเรื่องนี้จะนำมา
7.1 การดัดแปลงอย่างตรงไปตรงมา โดยสร้างเป็นหนังแบบ thriller หรือ murder mystery ที่เน้นการสร้างความลุ้นระท
7.1.1 THE BIG SLEEP (1946, Howard Hawks)
7.1.2 หนังที่สร้างจากนิยายของ Fred Vargas โดยเฉพาะเรื่อง THE CHALK CIRCLE MAN (2007, Josée Dayan) ที่นำแสดงโดย Charlotte Rampling และมีเนื้อหาเกี่ยวกับคดีฆา
7.1.3 หนังของ Brian de Palma อย่างเช่น THE BLACK DAHLIA (2006)
7.2 การดัดแปลงนิยายให้ต่างไปจา
หนังที่เป็น reference ก็มีเช่น
7.2.1 BADLAPUR (2015, Sriram Raghavan, India)
7.2.2 หนังของ Claude Chabrol โดยเฉพาะเรื่อง LE BOUCHER (1970, Claude Chabrol) ที่สำรวจรักแท้ของฆาตกรโรคจ
7.3 การดัดแปลงนิยายมาสร้างเป็น
คือในจินตนาการของเราเองนั้
หนังในจินตนาการเรื่องนี้ขอ
สรุปว่าที่เขียนมานี้บางส่ว
สรุปว่าชอบนิยายเรื่องนี้มา
No comments:
Post a Comment