ช่วง 15 นาทีสุดท้ายของ PHANTOM OF ILLUMINATION ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง
GOLDEN MOUNTAIN (2008, Wattanapume Laisuwanchsai, A+30) มากๆ
ในแง่การนำเสนอพิธีกรรมทางศ าสนา และความหลอนๆกึ่ง spiritual
พอเราย้อนไปดูข้อมูลของ GOLDEN MOUNTAIN ในสูจิบัตรเทศกาลหนังสั้นปี 2008 ก็รู้สึกว่ามันหนักมากที่หน ังที่เราชอบสุดๆ 4 เรื่องมาอยู่ในหน้าเดียวกัน โดยบังเอิญ ซึ่งได้แก่หนังของ Nichapoom
Chaianun, Chulayarnnon Siriphol, Witchuta Watjanarat และ Wattanapume
ตอนนี้เวลาผ่านมา 9 ปีแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าทั้ง
4 คนนี้สร้างผลงานที่ลืมไม่ลง จริงๆ
PHANTOM OF ILLUMINATION (2017,
Wattanapume Laisuwanchai, documentary, A+30)
1.สิ่งแรกเลยที่ชอบก็คือควา มเป็นหนังทดลองของมัน 555
คือถึงแม้หนังเรื่องนี้จะฉา ยในเทศกาลหนังสารคดี
แต่มันก็มีความเป็นหนังทดลอ งอยู่ในตัวของมันเองด้วย
โดยเฉพาะฉากเปิดและฉากปิดขอ งหนัง นอกจากนี้
หนังเรื่องนี้ยังดูเหมือนจะ ไม่ได้เน้นการให้ “ข้อมูล” แบบหนังสารคดีทั่วไป แต่เน้น “บรรยากาศ”, การจับจ้องมองวัตถุต่างๆอย่ างนิ่งนาน และการจับจ้องมองกิจวัตรประจำวัน ของคน
คือโดยพื้นเพแล้วเราเป็นคนท ี่ชอบหนังทดลองน่ะ
แต่เทศกาลหนังทดลองในกรุงเท พนี่จัดครั้งสุดท้ายในปี 2012 ได้มั้ง เพราะฉะนั้นช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเราก็เลยอยู่ในภ าวะขาดแคลนหนังทดลอง
นอกจากว่ามันจะไปแทรกตัวอยู ่ตามเทศกาลหนังต่างๆ อย่างเช่นในเทศกาลหนังสั้นม าราธอน,
World Film Festival of Bangkok หรือในงานเล็กๆอย่าง Rhizome
at Reading Room
เพราะฉะนั้นพอในเทศกาลหนังส ารคดีมีการจัดฉายหนังสารคดี ที่มีความเป็นหนังทดลอง
หรือมีความ “ไม่เน้นการเล่าเรื่อง” อยู่ด้วย
อย่างเช่น PHANTOM OF ILLUMINATION, RAILWAY SLEEPERS, SELF AND OTHERS และ VOYAGE TO TERANGGANU เราก็เลยแฮปปี้มากๆ
ความเป็นหนังทดลองใน PHANTOM OF ILLUMINATION ก็ช่วยให้มันแตกต่างจากหนัง ไทยในกลุ่มเดียวกันด้วย
ที่พูดถึงโรงหนังเก่าหรือคน ที่เกี่ยวพันกับโรงหนังเก่า อย่างเช่น POISON 5: FILM RUNNER (2012, Eakarach Monwat,
documentary), หนังของกิตติพัฒน์ กนกนาค, SOMWANG 2553 (2010,
Norachai Kajchapanont), THE SCALA (2015, Aditya Assarat), PATTANI RAMA (Suporn
Choosongdej) (จริงๆแล้วมีมากกว่านี้ แต่ต้องกลับไปค้นข้อมูลก่อน )
เพราะหนังกลุ่มนี้ส่วนใหญ่แ ล้วจะค่อนข้างเป็นสารคดีแบบ ตรงไปตรงมา
และไม่มีความเป็นหนังทดลองม ากเท่านี้
2.ชอบที่ตัว subject มันทำในสิ่งที่ขัดใจเรา และนี่แหละคือเสน่ห์ของหนัง สารคดี
คือในช่วงครึ่งหลังของหนังเ รื่องนี้ เราจะพยายามลุ้นให้ตัว subject ลุกขึ้นมา “ปรับตัวเอง” ให้ก้าวเดินในชีวิตต่อไปได้ หรือค้นหาทางออกที่ happy ending ในระดับหนึ่งได้
แต่ดูเหมือนว่า ตัว subject ไม่ได้ทำเช่นนั้น
เขาก็ยังคงเป็นเขาอยู่เหมือ นเดิม และไม่ได้ทำในสิ่งที่เราต้อ งการจะให้เขาทำหรือคาดหวังจ ะให้เขาทำ
เราว่าสิ่งนี้มันน่าสนใจมาก สำหรับเรา
และมันหาไม่ค่อยได้ในหนัง fiction เพราะในหนัง fiction
นั้น ตัวละครมันจะทำในสิ่งที่ผู้ สร้างหนังต้องการ พระเอกก็จะทำในสิ่งที่ผู้สร ้างหนังต้องการให้พระเอกทำ
ผู้ร้ายก็จะทำชั่วในแบบที่ผ ู้สร้างหนังต้องการให้ผู้ร้ ายทำ
แต่พอมันเป็นหนังสารคดี หรือหนัง fiction ที่สร้างจากเรื่องจริง เราจะพบว่าคนจริงๆมันไม่ได้ ทำในสิ่งที่เราต้องการหรือค าดหวัง
เพราะเขาไม่ใช่สิ่งที่เกิดจ ากจินตนาการของเรา เขาเป็นคนจริงๆ
เพราะฉะนั้นเขาจะทำในสิ่งที ่เขาเลือกที่จะทำ เขาจะไม่ทำในสิ่งที่เราคาดห วัง
จุดนี้จะทำให้นึกถึงหนังสาร คดีที่ชอบมากๆอีกสองเรื่อง
ซึ่งก็คือ MODERN LIFE (2008, Raymond Depardon) ที่ subject
คนนึงไม่ยอมพูดอะไรเลย แต่จ้องกล้องถ่ายหนังโดยไม่ พูดอะไรเป็นเวลาราว
5 นาที และ ZEN & BONES (2016, Takayuki
Nakamura) ที่ subject อยู่ดีๆก็ไม่ให้ความร่วมมือ กับผู้สร้างหนังในช่วงท้ายข องชีวิต
การที่ subjects เหล่านี้ไม่ยอมทำในสิ่งที่เ ราคาดหวัง
หรือไม่ยอมทำในสิ่งที่ผู้สร ้างหนังคาดหวัง เป็นอะไรที่ “ชีวิตจริง” ดีมากๆ
3.เรามักจะอินกับหนังกลุ่มน ี้ด้วยแหละ
นั่นก็คือหนังเกี่ยวกับชีวิ ตคนที่ได้รับผลกระทบจากความ เปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
เพราะเราเองก็เป็นคนหนึ่งที ่ “หวาดกลัวเทคโนโลยี”
และ “ปรับตัวตามเทคโนโลยีไม่ทัน ” คือนอกจากหนังเกี่ยวกับ “โรงหนังเก่า” ที่เราระบุไว้ในข้อหนึ่งแล้ ว หนังกลุ่มนี้ที่เราชอบสุดๆอ ีกเรื่องหนึ่งก็คือ
READY IN 5 MINUTES (2016, Swam Yaund Ni, Myanmar) ที่พูดถึงอาชีพช่างภาพตามวั ดในพม่า
ซึ่งเป็นอาชีพที่คงใกล้จะสู ญพันธุ์ในเร็วๆนี้ เพราะการมาถึงของกล้องถ่ายร ูปมือถือ
พอดูหนังกลุ่มนี้แล้ว เรามักจะรู้สึกเศร้ามาก เพราะมันเป็นความทุกข์ยากขอ งชีวิตมนุษย์ที่ไม่มีใครผิด เทคโนโลยีมันก็ต้องก้าวหน้า ไปเรื่อยๆ มันไม่ผิด
มนุษย์ที่ประกอบอาชีพต่างๆอ ย่างสุจริต ก็ไม่ผิด แต่ในวันนึงคุณอาจจะซวยขึ้น มาเท่านั้นเอง
เมื่ออาชีพที่คุณทำไม่เป็นท ี่ต้องการของโลกทีเปลี่ยนแป ลงไปเรื่อยๆอีกต่อไป
เราเองก็กลัวว่าเราจะเป็นหน ึ่งในคนที่ประสบภัยนี้ในอนา คต
เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบหนัง กลุ่มนี้มากๆ
4.อีกจุดที่ชอบมากใน PHANTOM OF ILLUMINATION ก็คือช่วงครึ่งหลังของหนังน ี่แหละ
เพราะช่วงครึ่งหลังของหนังเ รื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า ชีวิตหลังจากการเป็น “คนฉายหนัง” มันเป็นยังไงบ้าง และมันช่วยให้ตัว subject
ไม่ถูก freeze ไว้กับการเป็นเพียงแค่คนฉาย หนัง
แต่แสดงให้เห็นว่าเขามีแง่ม ุมอื่นๆในชีวิตด้วย subject ของหนังไม่ได้ถูกลดความซับซ ้อนของชีวิตลงเหลือเพียงแค่ การเป็นคนฉายหนังเท่านั้น
คือถ้าหากเทียบกับ READY IN 5 MINUTES แล้ว มันจะเห็นได้ชัด คือเราชอบ READY IN 5 MINUTES อย่างสุดๆนะ แต่ subjects ของหนังสารคดีพม่าเรื่องนี้ มีบทบาทเป็นเพียงแค่
“ตากล้อง” เท่านั้น
เราไม่ได้เห็นแง่มุมความเป็ นมนุษย์อื่นๆในตัวเขา และเราก็ไมได้รู้ด้วยว่า
ตากล้องแต่ละคนในหนังเรื่อง นี้ จะหาทางปรับตัวอย่างไรกันบ้ างในอนาคต
และพอเราไม่รู้ข้อมูลในเรื่ องนี้ เราก็อาจจะปลอบใจตัวเองได้ว ่า
ตากล้องแต่ละคนก็คงจะต้องดิ ้นรนหาอาชีพอื่นกันได้เองนั ่นแหละ
เพราะฉะนั้นช่วงครึ่งหลังขอ ง PHANTOM
OF ILLUMINATION ก็เลยเป็นสิ่งที่เราชอบมากๆ เพราะมันเล่าเรื่องไปไกลกว่ าหนังสารคดีในกลุ่มเดียวกัน และมันไม่เปิดโอกาสให้เราได ้ปลอบใจตัวเองเหมือนอย่างหน ังสารคดีเรื่องอื่นๆ
5.ดูแล้วรู้สึกว่ามันรวมองค ์ประกอบของหนังอีก
4 เรื่องของวรรจธนภูมิมาไว้ด้ วยกัน อย่างเช่น
5.1 ฉากพิธีกรรมทางศาสนา และการสร้างความหลอนๆกึ่ง spiritual ทำให้นึกถึง GOLDEN MOUNTAIN (2008)
5.2 การจับจ้องมองผิวหนังมนุษย์ แบบ
extreme close up ทำให้นึกถึง PASSING THROUGH THE
NIGHT (2011)
5.3 ประเด็นเรื่องโรงหนังเก่า มาจาก LUCID REMINISCENCE (2015)
5.4 ประเด็นเรื่องชีวิตและความฝ ันของชนชั้นแรงงาน
ทำให้นึกถึง DREAMSCAPE (2015)
1.สิ่งแรกเลยที่ชอบก็คือควา
คือโดยพื้นเพแล้วเราเป็นคนท
เพราะฉะนั้นพอในเทศกาลหนังส
ความเป็นหนังทดลองใน PHANTOM OF ILLUMINATION ก็ช่วยให้มันแตกต่างจากหนัง
2.ชอบที่ตัว subject มันทำในสิ่งที่ขัดใจเรา และนี่แหละคือเสน่ห์ของหนัง
เราว่าสิ่งนี้มันน่าสนใจมาก
แต่พอมันเป็นหนังสารคดี หรือหนัง fiction ที่สร้างจากเรื่องจริง เราจะพบว่าคนจริงๆมันไม่ได้
จุดนี้จะทำให้นึกถึงหนังสาร
3.เรามักจะอินกับหนังกลุ่มน
พอดูหนังกลุ่มนี้แล้ว เรามักจะรู้สึกเศร้ามาก เพราะมันเป็นความทุกข์ยากขอ
เราเองก็กลัวว่าเราจะเป็นหน
4.อีกจุดที่ชอบมากใน PHANTOM OF ILLUMINATION ก็คือช่วงครึ่งหลังของหนังน
คือถ้าหากเทียบกับ READY IN 5 MINUTES แล้ว มันจะเห็นได้ชัด คือเราชอบ READY IN 5 MINUTES อย่างสุดๆนะ แต่ subjects ของหนังสารคดีพม่าเรื่องนี้
เพราะฉะนั้นช่วงครึ่งหลังขอ
5.ดูแล้วรู้สึกว่ามันรวมองค
5.1 ฉากพิธีกรรมทางศาสนา และการสร้างความหลอนๆกึ่ง spiritual ทำให้นึกถึง GOLDEN MOUNTAIN (2008)
5.2 การจับจ้องมองผิวหนังมนุษย์
5.3 ประเด็นเรื่องโรงหนังเก่า มาจาก LUCID REMINISCENCE (2015)
5.4 ประเด็นเรื่องชีวิตและความฝ
หนังอีก 3 เรื่องทึ่นึกถึงตอนดู PHANTOM OF ILLUMINATION คือ
เร่หนัง หนังเร่ (2008, Panu Saeng-xuto), PLEASE CHECK YOUR BELONGING
BEFORE LEAVING (2015, Theerapat Wongpaisarnkit) และ
โรงหนังชั้นสอง (2006, Norachai Kajchapanont) ที่สัมภาษณ์พนักงานบางคนในโรงหนังชั้นสอง
หนังสารคดีเรื่อง "โรงหนังชั้นสอง"
นี่เหมือนกระทบใจเราเป็นการส่วนตัวในระดับนึง
เพราะมันทำให้นึกถึงคุณป้าขายตั๋วในโรงหนังแมคเคนนา ซึ่งเป็นโรงหนังที่เราดูเป็นประจำในปี 1986-1995 และคุณป้าขายตั๋วก็ดูเหมือนจะเป็นคนหน้าเดิมๆ
(อารมณ์ประมาณคุณป้าขายขนมในโรงหนังสกาล่า) คือพอแมคเคนน่าปิดตัวลง
เราก็จะสงสัยค้างคาใจมาจนถึงบัดนี้ว่า
พนักงานวัยกลางคนในโรงหนังเหล่านี้จะไปทำอะไรต่อ
เพราะพวกเขาไม่ใช่คนวัยหนุ่มสาวที่จะไปสมัครงานโรงมัลติเพลกซ์ได้
และหนังเรื่องโรงหนังชั้นสองก็สัมภาษณ์คุณป้าคนนึงที่ทำงานในโรงหนังเหมือนกัน
เราไม่แน่ใจว่าคุณป้าคนนั้นวางแผนจะไปทำร้านขายของที่ต่างจังหวัดหรือเปล่าหลังโรงหนังปิดตัวลง
คือมันเป็นหนังที่เราดูในปี 2006 น่ะ คุณป้าอาจจะพูดอย่างนั้นจริงๆ
หรือเราอาจจะแต่งเรื่องส่วนนี้ขึ้นมาปลอบใจตัวเอง แล้วพอเวลาผ่านไป เราก็เริ่มแยกแยะไม่ออกว่ามันเป็นสิ่งที่เราได้ดูจากหนัง
หรือเป็นสิ่งที่เราจินตนาการต่อเพื่อปลอบใจตัวเองหลังจากหนังจบลงแล้วก็ได้
สรุปว่าชอบ PHANTOM OF ILLUMINATION เพราะมันตามไปสำรวจชีวิตหลังโรงหนังล่มสลายนี่แหละ เราจะได้รู้จริงๆว่าชีวิตพนักงานโรงหนังเป็นอย่างไรหลังจากนั้น
ใครชอบหนังกลุ่มนี้ ก็อย่าลืมซื้อหนังสือ สวรรค์ 35มม. นะจ๊ะ
สรุปว่าชอบ PHANTOM OF ILLUMINATION เพราะมันตามไปสำรวจชีวิตหลังโรงหนังล่มสลายนี่แหละ เราจะได้รู้จริงๆว่าชีวิตพนักงานโรงหนังเป็นอย่างไรหลังจากนั้น
ใครชอบหนังกลุ่มนี้ ก็อย่าลืมซื้อหนังสือ สวรรค์ 35มม. นะจ๊ะ
No comments:
Post a Comment