Friday, April 14, 2017

Films seen in the Mini Wathann Film Festival in Bangkok in 2017

Films seen in the Mini Wathann Film Festival in Bangkok in 2017

All films are from Myanmar

In roughly preferential order

1.THE MONK (2014, The Maw Naing, 93min, A+30)

--ชอบวิธีการเล่าเรื่องในฉากจบมากๆ

--ดูแล้วรู้สึกว่ามันเป็นด้านกลับของธุดงควัตร WANDERING (2016, Boonsong Nakphoo) ในแง่ที่ว่า THE MONK นำเสนอพระโดยเน้นไปที่ ประเด็นทางโลกย์ และสังคมส่วน WANDERING นำเสนอพระโดยเน้นไปที่ “spiritual satisfaction ในใจตัวละครคือหนังสองเรื่องนี้ไม่ได้เป็นขั้วตรงข้ามกันซะทีเดียวนะ แต่เรารู้สึกว่าพอมันนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว มันสนุกดี 

--ส่วนที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างหนังสองเรื่องนี้ก็มีอย่างเช่น บทบาทของพระผู้เคร่งครัด โดยใน WANDERING นั้น พระผู้เคร่งครัดถูกนำเสนอในฐานะของผู้ที่ควรเคารพนับถือบูชา ส่วนใน THE MONK นั้น พระผู้เคร่งครัดถูกนำเสนอในแบบที่กระตุ้นให้ผู้ชมตั้งคำถามว่า ท่านเคร่งครัดเกินไปหรือเปล่า, ท่านตึงเกินไปหรือเปล่า และสิ่งที่ท่านทำนั้นเข้ากับสังคมและชาวบ้านจริงๆหรือไม่ โดยตัวละครที่ตั้งคำถามต่อพระเจ้าอาวาสในหนังเรื่องนี้ได้อย่างน่าสนใจ ก็คือตัวละครเจ้าของโรงสีข้าว ที่ไม่ยอมบริจาคเงินช่วยเหลือเจ้าอาวาส

แต่ THE MONK ก็ไม่ได้นำเสนอพระเจ้าอาวาสในทางลบนะ หนังเพียงแค่นำเสนอพระเจ้าอาวาสที่เคร่งครัดในฐานะของมนุษย์คนนึงที่มีนิสัยแบบนี้ ส่วนเราจะมองว่าท่านทำถูกหรือทำผิด ผู้ชมแต่ละคนก็ตัดสินใจได้เอง 

--พระเอกของ THE MONK กับ WANDERING ก็เป็นคู่เปรียบเทียบที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจดี พระเอกของ THE MONK มีจิตใจฝักใฝ่ในทางโลกย์, อยากฟังเพลง, อยากมีเมีย แต่เขาต้องจำใจต้องเป็นพระต่อไป เพราะดูเหมือนเขาไม่เหลือทางเดินอื่นๆในชีวิตให้เลือกเดินมากนัก ความจำเป็นทางการเงินและชะตาชีวิตที่อับจนเป็นเหตุผลสำคัญให้เขาตัดสินใจเป็นพระต่อไป 

ส่วนพระเอกของ WANDERING นั้น ถ้าเราจำไม่ผิด ความสุขทางใจที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมน่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาเป็นพระต่อไป

--ชอบความยากลำบากของพระเอกในคืนที่ตระเวนหาผู้บริจาคเลือดมากๆ เขาต้องเดินทางเร่ร่อนอย่างเหน็ดเหนื่อยไปทั่วเมืองในคืนนั้น และเราก็รู้สึกอินกับความลำบากของตัวละครในเหตุการณ์นี้น่ะ มันทำให้นึกถึงตัวเราเองที่รู้สึกว่า การพยายามจะมีชีวิตอยู่ต่อไปมันเป็นสิ่งที่ยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยเสียเต็มประดา

หนังอีกเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกอินในแบบเดียวกันคือ THE CASTLE (1997, Michael Haneke) ที่ตัวละครพระเอกก็เดินทางแสวงหาปราสาทอย่างเหน็ดเหนื่อยไม่หยุดพักตลอดทั้งคืนเหมือนกัน (ถ้าจำไม่ผิด) ความเหน็ดเหนื่อยของพระเอกใน THE MONK กับ THE CASTLE นี่เป็นสิ่งที่เราอินด้วยมากๆ

2.FOURTEEN DEGREES CELSIUS, A HUNDRED MILES PER HOUR (2015, Nyi Lynn Htet, A+30)

3.MAWTIN JETTY (2015, Ten Men, A+30)

4.SAMANERA (2016, Tay Zar Win Htun, Zaw Win Htwe, documentary, 45min, A+30)

5.READY IN 5 MINUTES (2016, Swam Yaund Ni, documentary, A+30)

6.NOW I’M 13 (2014, Shin Daewe, documentary, A+30)

7.PERIOD@PERIOD (2016, Hnin Ei Hlaing, A+30)

8.UNFINISHED PAINTING (2015, Wai Mar Nyunt, documentary, 70min, A+30)

9.LIKE UMBRELLA, LIKE KING (2015, Moe Satt, A+30)

10.MRAUK OO STORY (2015, Aung Min, Tha Kyaw Htay, A+30)

11.TRANSIT (2014, Saw Min Maw, documentary, A+25)
ผู้กำกับหนังเรื่องนี้น่ารักมาก กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
https://www.facebook.com/saw.m.maw

12.MOVE (2015, Khong Soe Moe, documentary, A+25)

13.4 BLOOMING SOUND (2016, Phyu Mon, A+25)

14.THE PLACE (2015, Khin Khin Su, A+25)

15.THE SPECIAL ONE (2016, Lamin Oo, documentary, A+20)

16.THE KITE (2015, L. Minpae Mon, A+15)

17.SPORADIC RAIN (2015, Mg Sun, A+15)

18.SAW KAE (ONCE UPON A TIME) (2016, Zaw Bo Bo Hein, A+15)

19.MOTHER (2016, Shun Wint Aung, A+15)

20.RHYTHM (2015, Pyin Nyar Zeya, A+10)

21.ACROSS THE RIVERWIND (2016, Kriz Chan Nyein, A+5)

22.CHASING ROSES (2015, Kriz Chann Yein, A+)

23.THE RED IN RED (2016, Khin Su Kyi, documentary, A-)

24.SILENCE (2015, Htoo Paing Zaw Oo, A-)

FOURTEEN DEGREES CELSIUS, A HUNDRED MILES PER HOUR (2015, Nyi Lynn Htet, Myanmar, A+30)

ชอบความบ้าๆบอๆของมัน รู้สึกว่าในแง่นึงมันเหมือนเป็นญาติห่างๆของหนังอย่าง THE PHANTOM OF LIBERTY (1974) และ THE DISCREET CHARM OF THE BOURGEOISIE (1972) ของ Luis Buñuel เพราะตัวละครในหนังพวกนี้มักจะทำอะไรที่ผิดหลักเหตุผลอย่างตั้งใจ เหตุการณ์ประหลาดๆที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีคำอธิบายในหนังเรื่องนี้ก็ทำให้นึกถึงหนังของบุนเยลและพวกหนัง magical realism ด้วย

ดูจบแล้วก็ไม่สามารถตีความอะไรในหนังได้เลย แต่รู้สีกดีกับหนังมากๆ

MAWTIN JETTY (2015, Ten Men, Myanmar, A+30)

ชอบที่หนังเหมือนจับเอา 3 เหตุการณ์เล็กๆที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรมาทำให้เกิดผลกระทบทางอารมณ์อย่างประหลาด เหตุการณ์แรก WOMAN เป็นเรื่องของหญิงชาวบ้านคนนึงที่ตามหาชายหนุ่มคนนึงไปเรื่อยๆ และในที่สุดเธอก็เอาอาหารไปให้ชายหนุ่มคนนั้นกินที่ท่าเรือ แล้วก็นั่งมองเขากินอย่างมีความสุข

ทำไมเราถึงอินกับ WOMAN มากๆก็ไม่รู้ รู้สึกเหมือนเราเข้าใจผู้หญิงในเรื่องเป็นอย่างดี เราเข้าใจว่าเธอคงเอาข้าวกลางวันไปให้ผัวกินน่ะ และเราเดาเอาเองว่าผัวของเธออาจจะเป็นแรงงานรับจ้างที่ไม่ได้มีงานประจำทำ แต่อาจจะเปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าวันไหนจะถูกจ้างไปใช้แรงงานที่ไหน (เธอก็เลยไม่รู้ว่าผัวเธอทำงานที่ไหนในวันนั้น) และการได้นั่งมองผัวหนุ่มกินข้าวที่ตัวเองทำคงเป็นอะไรที่ทำให้เธอมีความสุขสุดๆแล้ว เราว่าหนังถ่ายทอดกิจวัตรที่ดูเหมือนธรรมดาและเรียบง่ายนี้ออกมาได้อย่างงดงามและทรงพลังมากๆสำหรับเรา

ช่วงที่สอง GALLERY นี่เป็นช่วงที่หวาดเสียวมากๆสำหรับเรานะ เพราะเนื้อหาของมันสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นหนัง ซาบซึ้งเกินเหตุได้ง่ายมากๆน่ะ เราเข้าใจว่ามันเล่าเรื่องของคนจนคนนึงที่อยากเข้าไปดู paintings ในแกลเลอรี่ แต่ไม่กล้าเข้าไป เพราะมันเป็นพื้นที่ของชนชั้นกลางและคนรวย แต่ในที่สุดคนดูแลแกลเลอรี่ก็สังเกตเห็นเขา และชวนให้เขาเข้ามาดูภาพวาดในแกลเลอรี่

เราว่าช่วงที่สองหนังคุมโทนอารมณ์ได้ดีมาก เพราะถ้ามันใส่ดนตรีประกอบมากเกินไป หรือพยายามบีบคั้นอารมณ์จากคนดูและตัวละครมากเกินไป มันจะกลายเป็นหนังแย่ในทันที แต่การที่หนังไม่ได้บอกว่าคนดูควรรู้สึกยังไง และตัวละครในหนังก็ไม่ได้ทำเหมือนกับว่านี่เป็นเหตุการณ์แห่งความกรุณาปรานีเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์อย่างยิ่งใหญ่ มันเป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น มันก็เลยทำให้เราชอบช่วงที่สองของหนังมากเช่นกัน

ช่วงที่สามของหนัง WAITING เล่าเรื่องของพระที่ต้องการลงเรือข้ามฟาก แต่ดูเหมือนคนดูแลเรือข้ามฟากไม่สนใจ และไปนั่งหลับ ปล่อยให้พระนั่งรอเงกในเรือไปเรื่อยๆเป็นเวลานาน

ดูแล้วเราก็ไม่แน่ใจว่า WAITING ต้องการสื่ออะไร แต่ก็ชอบมากๆอยู่ดี

เราว่า MAWTIN JETTY เหมือนเป็นญาติห่างๆของหนังของ Tossapol Boonsinsukh นะ เพราะหนังของทศพลบางเรื่องก็มีการจับเอา moments เล็กๆน้อยๆที่น่าประทับใจมาเรียงร้อยเข้าด้วยกันเหมือนกัน แต่แตกต่างกันตรงที่หนังของทศพลจะสะท้อนมุมเล็กๆน้อยๆในชีวิตชนชั้นกลาง ในขณะที่ MAWTIN JETTY ใช้ฉากหลังที่เต็มไปด้วยคนจน

อีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือว่า หนังของ Tossapol Boonsinsukh และ MAWTIN JETTY ไม่ได้บอกว่าคนดูควรรู้สึกยังไง แต่หนังกลุ่มนี้กลับทำให้เรารู้สึกอะไรบางอย่างที่รุนแรง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แปลกๆ หาคำ adjective มาบรรยายไม่ได้ มันไม่ใช่ สุข”, “เศร้า”, “เหงาอะไรแบบนี้ซะทีเดียว มันเป็นความรู้สึกที่อยู่นอกเหนือคำในภาษา


SAMANERA (2016, Tay Zar Win Htun, Zaw Win Htwe, Myanmar, documentary, 45min, A+30)

ชอบการที่หนังจับสังเกต moments เล็กๆน้อยๆของชาวบ้านมาเรียงร้อยเข้าด้วยกันตลอดทั้งเรื่อง ในแง่นึงมันเหมือนกับ RAILWAY SLEEPERS (2016, Sompot Chidgasornpongse) น่ะ คือมันเต็มไปด้วย moments เล็กๆน้อยๆที่งดงามในตัวมันเองมากมาย และ moments เล็กๆน้อยๆเหล่านี้ไม่ได้ส่ง message ที่ชัดเจนใดๆ 

เราว่าการตัดต่อหนังแบบนี้ยากมากๆ คือหนังอย่าง SAMANERA จริงๆแล้วมันก็อาจจะมี message และมีธีมหลักของมันน่ะแหละ แต่หลายฉากของมันเหมือนไม่ได้ถูกครอบงำด้วยการส่งสารที่เฉพาะเจาะจงต่อคนดู แต่เป็นเพียงการจับสังเกตอิริยาบถ, อากัปกิริยา, กิจวัตรเล็กๆน้อยๆของมนุษย์ในพื้นที่หนึ่งๆเท่านั้น และพอฉากเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกันเพื่อส่งสารที่เฉพาะเจาะจง มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากมากๆในการตัดสินใจว่า จะเลือกฉากใดบ้างเข้ามาไว้ในหนัง และจะเรียงฉากไหนต่อกับฉากไหนดี และแต่ละฉากควรจะยาวสั้นเพียงใด คือพอมันไม่ถูกครอบงำด้วย message แล้ว มันก็เลยมีอิสระมากๆในการเลือกฉาก, การเรียงฉาก และการกำหนดความสั้นยาวของฉาก

มันต้องใช้ sense ที่ดีมากจริงๆในการทำหนังแบบนี้ออกมาได้ และเราว่าทั้ง Sompot Chidgasornpongse และผู้กำกับ SAMANERA ทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ

No comments: